ปัจจุบันแนวโน้มของผู้ติดเชื้อทางการร่วมเพศในเมืองไทยลดน้อยลง เนื่องจากมีการใช้ถุงยางมากขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าระยะหลังการรณรงค์ป้องกันเริ่มชะลอตัวไม่มากเหมือนเมื่อก่อนนี้ ทำให้บางโรคที่เคยควบคุมได้ดูเหมือนย้อนกลับมาใหม่ เช่น กามโรคที่ตรวจสอบพบในกลุ่มแรงงานต่างชาติเพิ่มขึ้น ขณะที่โรคเอดส์พบว่า กลุ่มเสี่ยงที่เป็นสถานบันเทิงอาบอบนวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงบริการและผู้ใช้บริการ ต่างให้ความสลักสำคัญกับถุงยางมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ปริมาณผู้ติดเชื้อเอดส์จากกลุ่มนี้ลดน้อยลงอย่างชัดเจน ถึงอย่างไรกลุ่มที่น่าเป็นห่วงกลับกลายเป็นกลุ่มชายรักชาย และกลุ่มวัยรุ่นที่นิยมจับคู่กันเอง โดยมีข้อมูลว่าทั้งสองกลุ่มนี้มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ไม่นิยมใช้ถุงยาง ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อเอดส์และการท้องโดยไม่พร้อมเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเหตุผลการไม่ใช้ถุงยาง น่าจะมาจากการไม่เห็นความสำคัญ หรือคิดว่าคู่ขาของตนเองสะอาด หรืออาจมีความรู้ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการป้องกัน เช่น การซื้อยาคุมกำเนิดมากินเอง การใช้วิธีหลั่งข้างนอก หรือใช้วิธีการนับวันของการมีรอบเดือน ซึ่งวิธีเหล่านี้ไม่ปลอดภัยและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
เราต้องมองภาพลักษณ์
ถุงยางเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องของการช่วยชีวิต และส่งเสริมสุขภาพ การซื้อถุงยางเป็นเรื่องที่ควรได้รับคำชมด้วยซ้ำไป เพราะถือเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ดังนั้นหากจะมีเซ็กซ์ ควรคิดถึงปัญหาที่จะตามมาก่อนเสมอ ถุงยางเป็นทางออกทางหนึ่งที่ดีมากในการป้องกันโรค ตราบใดที่เราไม่อาจลดการมีเพศสัมพันธ์ได้ จึงอยากให้มองภาพลักษณ์ถุงยางเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวัน เช่นเดียวกับการใช้ผ้าอนามัยของสุภาพสตรี