ถ้าพูดถึงอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทยแล้ว ส่วนใหญ่เราก็จะนึกถึงปลาดิบ ซูชิ เทมปุระ ข้าวหน้าเนื้อ ทงคัตสึ แกงกะหรี่ เบนโต๊ะ ราเมน ที่สั่งมาเป็นจาน ๆ หรือแบบบุฟเฟท์ ..... อะไรประมาณนี้เน๊าะคะ
แต่วันนี้เนี่ยพิมจะมาชวนเพื่อนๆ ไปทานอาหารญี่ปุ่นในอีกรูปแบบนึง ที่ใช้วัตถุดิบส่งตรงมาจากญี่ปุ่น แต่มีวิธีการทำแบบฝรั่งเศส และเสริฟแบบฝรั่งเศส กับ Fusion Steak Course 8 เมนูในราคาสบายๆ กระเป๋า เริ่มต้นเพียงแค่คอร์สละ 499 บาทเท่านั้น ที่ร้าน Tokiya อยู่ที่ Arena 10 ใจกลางทองหล่อซอย 10 ค่ะ
ร้าน Tokiya สาขาแรกจะอยู่ที่ Siam Discovery นะคะ แต่ปัจจุบันมีที่ Arena 10 ที่เดียว ซึ่งตัวร้านก็จะอยู่ที่อาคารด้านในฝั่งขวาของ Arena 10 และพอขึ้นชั้น 2 ไป ก็จะเป็นตัวร้านทั้งชั้นเลยอ่ะค่ะ
สำหรับอาหารของที่นี่ .... อย่างที่พิมบอกไปตอนต้นว่าเค้าจะเป็นอาหารแบบคอร์ส 8 คอร์สนะคะ คือมีตั้งแต่ Appetizer, Salad, Soup, Rice Dishes, Juice, Main Course, Dessert และก็ Drink เพราะงั้นตอนที่เราไปนั่งที่โต๊ะ พนักงานเค้าจะนำเมนูมาให้ เราก็จะต้องเลือกรวดเดียวเลยว่าในแต่ละคอร์สเราจะรับเป็นเมนูอะไรบ้าง (1 คอร์ส เลือก 1 เมนู) แล้วพอถึงเวลาทาน พนักงานเค้าก็จะทำและนำมาเสริฟให้เราอย่างไม่ขาดช่วงเลยค่ะ ^_^
สำหรับอาหารที่เป็น Appetizer ก็จะมีเห็ดออรินจิผัดซอสโทคิยะ กับเต้าหู้คินุเย็นนะคะ .... พิมสั่งเป็นเห็ดออรินจิย่างไป อร่อยดีค่ะ ตัวเห็ดจะหนึบๆ ผัดมาแบบอุ่น ๆ หน่อย รสชาติเค็มๆ หอมๆ เผ็ดนิดๆ ส่วนหัวไชเท้ากับแครอทหมักที่เป็นก้อนกลมอยู่ตรงมุมจาน อันนี้หลายคนอาจจะไม่ค่อยสนใจเพราะนึกว่าเป็นส่วนประกอบในการจัดจานสวยๆ แต่ขอบอกว่าอร่อยมากนะคะ รสชาติเปรี้ยวอมหวาน กินคู่กับอาหารอย่างอื่น จะทำให้รสชาติอาหารอย่างนั้นเด่นขึ้นมา และช่วยตัดเลี่ยนอีกด้วยค่ะ ^_^
อาหารในเมนูด้านขวา เป็น Side Dish สามารถสั่งเพิ่มได้ถ้าต้องการค่า
ส่วน Appetizer ของคุณสามีพิม จะเป็นเต้าหู้คินุเย็นนะคะ ตัวเต้าหู้จะรองด้วยรากบัวที่มีความนุ่มกรอบ และราดด้วยซอสสูตรของโทคิยะที่มีความหวานนิดๆ กินคู่กับหัวไชเท้าหมัก อร่อยไปอีกแบบค่ะ
ต่อมาในส่วนของคอร์สสลัด ก็จะมี 4 จานให้เลือกนะคะ คือ สลัดอกเป็ด สลัดแซลมอนคมควัน สลัดผลไม้รวมซีฟู้ด และก็สลัดทูน่างาดำค่ะ ซึ่งพิมมีโอกาสได้ลองชิม 3 จานด้วยกัน (จากของตัวเองและก็ของสมาชิกร่วมโต๊ะ) ^_^
โดยจานแรกเป็นสลัดแซลมอนรมควันนะคะ จานนี้ผักสดมาก น้ำสลัดหอมมาก รสเค็มๆ กินคู่กับแซลมอนรมควันและผักสดๆ เข้ากันดีเลยค่ะ
จานสองเป็นสลัดผลไม้รวมซอสซีฟู้ด .. จานนี้ก็จะประกอบไปด้วยผลไม้สดหลากหลายชนิดนะคะ ทั้งแตงโม แคนตาลูป แตงไทย และก็ยังมีปูอัดฉีกๆ ทานคู่กับซอสซีฟู้ด ที่มีรสหวานอมเปรี้ยว กินแล้วรู้สึกได้ถึงความสดชื่นเลยอ่ะค่ะ
ส่วนอีกจาน Salad ที่พิมได้ลองก็คือ สลัดทูน่างาดำ .... จานนี้พิมชอบเป็นพิเศษตรงซอสนะคะ ซอสเค้าจะมีมาให้ 2 แบบ แบบแรกออกเปรี้ยวหวาน แบบสองมีเผ็ดนิดๆ กินแล้วรู้สึกอร่อยดีทั้งสองซอสเลยค่ะ และสำหรับใครที่ทานทูน่าดิบไม่ได้ จะให้เค้าทำมาแบบสุกก็ได้อยู่นะคะ แต่ไม่อร่อยเท่าแบบดิบค่า (เนื้อปลาจะกระด้างๆ) - -"
หลังจากทานสลัดกันแบบเบาๆ แล้ว ต่อมาก็จะเป็นคอร์ส Soup และ Rice Dishes นะคะ สำหรับซุปที่นี่ก็จะมีให้เราเลือก 3 ซุปด้วยกันก็คือ ซุปเนื้อ ซุปถั่วแระ และก็ล๊อปสเตอร์ซุป ส่วน Rice Dishes หรืออาหารจานข้าว ก็จะมี ข้าวหน้าหมูชาชู ข้าวทอดไส้กุ้งสไตล์ญี่ปุ่น และก็ข้าวปั้นทอดสอดไส้สลัดปูอัด ค่ะ ^_^
สำหรับซุปล๊อบสเตอร์ รสชาติค่อนข้างเข้มข้นนะคะ ออกเค็มๆ มันๆ กลมกล่อม แต่พิมว่ากลิ่นความเป็นล๊อปสเตอร์ยังน้อยไปนิดนึง ถ้าเพิ่มอีกหน่อย แจ่มเลยค่ะ
ส่วนซุปเนื้อ จะเป็นซุปใสนะคะ ในถ้วยก็จะมีหอมใหญ่ มีต้นอ่อนทานตะวันอยู่ด้วย ถ้วยนี้ของคุณสามีพิม เค้าบอกว่าอร่อยดี น้ำซุปซดคล่องคอ เนื้อในถ้วยก็นุ๊มมมนุ่มค่ะ
ถ้วยนี้เป็นซุปครีมถั่วแระญี่ปุ่นนะคะ มาในแบบซุปข้น สำหรับรสชาติอาจจะยังไม่คุ้นปากคนไทยสักเท่าไหร่ แต่พิมชอบค่ะ หวานๆ หอม ๆ มัน ๆ เหมือนกินพวกซุปเห็ดผสมซุปฟักทองประมาณนั้น อร่อยดีนะคะ ^_^
ต่อมา Rice Dishes จานนี้เป็นข้าวทอดไส้กุ้งที่คุณสามีพิมสั่งมาค่ะ ตั วข้าวจะผสมใบโหระพาสับ สอดไส้กุ้ง ทานคู่กับซอสวาซาบิ มายองเนส กรอบนอกนุ่มในดีนะคะ ส่วนจานด้านในจะเป็นข้าวปั้นทอดสอดไส้สลัดปูอัดของพิม ที่มาพร้อมกับเกล็ดเทมปุระกรอบๆ แต่ว่ารสชาติรสสัมผัสของอาหารจานนี้ ยังค่อนข้างธรรมดาไปนิดนึง และตัวข้าวนุ่มไปหน่อยนึง ทำให้เวลาใช้ตะเกียบคีบแล้วเหมือนเม็ดข้าวจะหลุดออกจากกันอ่ะค่ะ
จานถัดมา Rice Dishes ของสมาชิกร่วมโต๊ะ เป็นข้าวหน้าหมูชาชูที่เสริฟมาในหม้อใบจิ๋ว ที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ขอบอกว่าอร่อยเลยนะคะ คือเชฟเค้าจะเอาหมูสามชั้นไปตุ๋นด้วยไฟอ่อนจนเปื่อยนุ่ม แล้วเอามาคลุกกับซอส ก่อนจะนำไปอบรวมกับข้าว ทำให้ทั้งซอสและน้ำมันหอมๆ จากเนื้อหมูซึมลงไปในข้าว เพราะงั้นทั้งหมูและข้าวจึงอร่อยมาก (แต่ติดเค็มไปหน่อยนึง) ใครที่เป็นสาวกชาชูหรือสาวกหมูสามชั้น จานนี้พิมแนะนำเลยอ่ะค่ะ ^_^
จาก Rice Dishes ถัดมาก็จะเป็น Juice นะคะ ซึ่ง Juice ของที่นี่คือ Mulberry Vinegar Juice เป็นเครื่องดื่มที่เอาไว้ดื่มเพื่อล้างปากก่อนจะทาน Main Course (Steak) อ่ะค่ะ ตัว Mulberry ที่ใช้ทางร้านเค้าบอกว่าเป็น Mulberry สด แล้วนำมาผสมกับ Vinegar สูตรเฉพาะของทางร้าน และน้ำอัญชัน รสชาติเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นผลไม้ ที่สำคัญแช่มาแบบเย็นเจี๊ยบบบบจนเป็นเกล็ดน้ำแข็ง อร่อยจนอยากจะขอหลาย ๆ แก้วเลยค่า
ส่วน Main Course ของที่นี่ ก็มีให้เลือกหลายอย่างเลยค่ะ ทั้งเนื้อ หมู ไก่ ปลา รวมไปถึงซีฟู้ด ^_^
พิมเป็นคนที่ชอบทานเนื้อมาก แต่ในขณะเดียวกันก็อยากลองว่าเสต๊กหมูของที่นี่เป็นยังไง เพราะพิมว่าเสต๊กหมูอร่อย ๆ นี่หาทานยากนะคะ ส่วนใหญ่จะเจอแบบแข็งๆ กระด้างๆ พิมก็เลยสั่งมาเป็นเสต๊กสันคอหมู+เสต๊กเนื้อออสเตรเลียค่ะ ซึ่งจากที่ได้กินขอบอกเลยว่าอร่อยมาก ทั้งเนื้อและหมู นุ่มมากกกกกกก ตัวซอสที่ทางร้านเสริฟมาคู่กับเสต๊กก็อร่อยนะคะ แต่พิมไม่ค่อยได้จิ้มสักเท่าไหร่ เพราะว่าตัวเสต๊กอร่อยอยู่แล้วค่ะ แต่ตินิดนึงตรงที่ในเมนูบอกว่าเป็นเสต๊กสันคอ แต่พอมาเสริฟจริงเป็นคอหมู ทำให้เข้าใจผิดได้นะคะ
ส่วนคุณสามีพิม..แน่นอนค่ะ ต้องเป็นพอร์คช๊อบ เพราะคุณสามีพิมชอบทานพอร์คช๊อบมาก ไปร้านเสต๊กไหนก็ต้องสั่ง ซึ่งคุณสามีพิมเค้าบอกว่าพอร์คช๊อบของที่นี่จะหนากว่าตามร้านทั่วไป แต่ในขณะที่หนากว่ากลับย่างมาได้นุ่มกว่า และหอมกว่ามากๆ สรุปจานนี้ก็อร่อยค่ะ ^_^
ถัดมาอีก 4 จาน Main Course ของสมาชิกร่วมโต๊ะที่พิมมีโอกาสได้ชิม ก็คือ Pork on the rock หรือเสต๊กสันคอหมูบนหินร้อนนะคะ เสต๊กจานนี้เนี่ยเค้าจะย่างหมูให้สุกประมาณนึง แล้วหั่นเป็นชิ้นพอคำ วางมาบนหินร้อน (และหนัก ฮ่าๆ) พอถึงตอนที่พนักงานเค้าเอามาเสริฟให้เรา เค้าจะราด White Rice Sauce ลงไปบนหมูที่อยู่บนหินร้อน ทำให้เสต๊กหมูของเรามีความหอมและอร่อยมากขึ้นอีกอ่ะค่ะ
จานถัดมาก็จะเป็น Tokiya Aus. Beef Steak .... ซึ่งพิมขอบอกเลยค่ะว่าใครที่รักเนื้อ ชอบเนื้อ จานนี้ไม่ควรพลาดเลยค่ะ
ต่อมาจานนี้ก็จะเป็น Combination ระหว่าง Fish Fillet + Grilled Chicken นะคะ พิมไม่รู้ว่ารสชาติเป็นยังไง เพราะไม่ได้ชิมเลย >_< แต่หน้าตาสวยงาม และกลิ่นหอมดีค่ะ ^_^
ส่วนจานนี้คือ Seafood Lover นะคะ เป็นจานที่รวมทั้งกุ้งทะเล ปลาแซลม่อน และหอยเมลงภู่ ทุกอย่างรสชาติดี โดยเฉพาะกุ้งนี่ อร่อยเลยค่ะ เนื้อแน่นและก็หวาน (แต่พิมวว่าย่างแห้งไปหน่อยนึง) แต่ใครที่จะมากินจานนี้ พิมแนะนำว่าให้โทรถามทาง Tokiya ก่อนนะคะ เพราะเท่าที่พิมได้คุย ทางร้านบอกว่ากุ้งที่ใช้เป็นกุ้งทะเล ไม่ใช่กุ้งเลี้ยง ดังนั้นถ้าช่วงไหนไม่มีกุ้ง (มันจะไม่ได้มีทุกเดือน) หรือมีกุ้งแต่ไม่ได้ไซส์ที่ทางร้านต้องการ ทางร้านก็จะไม่ทำเมนูนี้ขายอ่ะค่ะ เพราะงั้นโทรถามก่อน ดีที่สุดค่ะ
จาก main course ถัดมาก็จะเป็นของหวานล่ะนะคะ สำหรับของหวานที่นี่ก็จะมีให้เลือก 4 อย่างด้วยกัน คือ Gelato Matcha, ทีรามิสุ, พานาคอตต้า และก็มูสเค้กราสเบอรี่ค่ะ
ตัวพิมเนี่ยเป็นคนที่ชอบทีรามิสุมากกกกกกก เพราะงั้นแน่นอนว่าพิมก็ต้องสั่งทีรามิสุเน๊าะคะ ^_^ ซึ่งทีรามิสุของที่นี่จะแตกต่างจากที่อื่นตรงไม่ใส่เหล้า แต่ก็หอมอร่อยไปอีกแบบ ที่สำคัญคือหวานกำลังดี ไม่หวานเจี๊ยบ อันนี้ทำให้พิมชอบที่สุดเลยค่ะ
ส่วนของคุณสามีพิมสั่งมาเป็นพานาคอตต้านะคะ ....... ปกติพานาคอตต้าที่เราเห็น ๆ กันมักจะถูกเสริฟมาในถ้วยทรงสูง แล้วราดด้วยซอส แต่พานาคอตต้าของที่นี่จะเสริฟมาในจานที่มีหลุมตรงกลาง แล้วราดด้วยซอสชาเขียวเป็นเส้นขวางไปมา โปะด้านบนด้วยถั่วแดงกวน สวยไปอีกแบบ ส่วนรสชาติก็ดีงามเช่นเดียวกับเมนูอื่นๆ ค่ะ
และก่อนจบคอร์ส เราก็สามารถสั่งเครื่องดื่มมาดื่มได้ 1 แก้วนะคะ ซึ่งเครื่องดื่มของที่นี่ก็มีให้เลือกทั้งแบบร้อนและเย็น ไม่ว่าจะเป็นชาร้อน กาแฟร้อน ชาเขียวนม Sweety Pink หรือจะเป็น Blue Lemon กับ Tokiya Sunrise อย่างที่พิมกับคุณสามีสั่งมาอ่ะค่ะ
สรุป .. หลังจากที่พิมได้ทานอาหารของที่นี่จนครบ 8 คอร์ส พิมก็รู้สึกว่าโอเคเลยนะคะ การบริการและรสชาติของอาหารคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป คือตอนแรกก่อนที่จะมาเนี่ยก็แอบคิดในใจว่าราคาเริ่มต้น 499 บาทนี้ (ถ้ารวม vat กับ Sc แล้วก็ 500 กว่าๆ) ไปกินบุฟเฟต์ดีกว่าไหมนะ แบบว่าได้กินอะไรที่หลากหลายกว่า เยอะกว่า แล้วด้วยความที่พิมเป็นคนกระเพาะใหญ่ ก็แอบคิดว่ามาเป็นคอร์สแบบนี่จะอิ่มไหมนะ แต่พอมาได้ลองกินจริงๆ ถึงกับแน่น และบางคนถึงกับกินไม่หมดเลยค่ะ แถมที่สำคัญคือ อาหารทุกจานที่นำมาเสริฟ ไม่ว่าจะเป็นจานเล็กจานน้อยจานใหญ่ เป็นของหวาน ของคาว จากลักษณะอาหาร จากการจัดตบแต่งจาน รับรู้ได้เลยค่ะว่าเชฟเค้าตั้งใจทำให้เรากินจริง ๆ เพราะงั้นถ้าถามพิมว่าจะกลับมากินอีกไหม คงจะกลับไปแน่นอนค่ะ
ส่วนเพื่อนๆ คนไหนที่จะตามรอยพิมไปชิม ร้านเค้าก็มีวันเวลาเปิดตามในภาพด้านล่างนะคะ คือวันจันทร์-ศุกร์ จะเปิดช่วง 11.00-14.00 และไปเปิดอีกทีช่วง 17.00-22.30 ค่ะ ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ จะเปิดยาวเลยตั้งแต่ 11.00-22.30 น. นะคะ
ทิ้งท้ายไว้กับภาพนี้ แล้วพบกับพิมกับรีวิวร้านอาหารอร่อยๆ ในครั้งถัดไปค่ะ สวัสดีค่า ^_^