สวัสดีเพื่อนๆ ทุกๆ คนเลยนะคะ วันนี้พิมขอมาพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวชมสวนผลไม้ของที่บ้านพิมซึ่งอยู่ที่ อ.ท่าใหม่ จ. จันทบุรีกันค่ะ ซึ่งปกติแล้วคนที่อยู่ที่บ้านสวนและทำสวน (ขอเรียกว่าบ้านสวนล่ะกันเน๊าะ) ก็คือแม่พิม น้องชายพิม 2 คน กะน้องสะใภ้อีก 1 คนค่ะ (แต่ทำจริง ๆ แค่ 2 คน) ส่วนพิมเนี่ยปกติใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นหลัก แล้วก็จะแวะไปทักทายกับต้นไม้ใบหญ้าที่บ้านสวนประมาณปีละ 2-3 ครั้งอ่ะค่ะ ^__^
...... จริง ๆ แล้วเนี่ย ก่อนที่จะตัดสินใจไปบ้านสวนที่จันฯ ในครั้งนี้ พิมก็คิดอยู่นานนะคะว่าจะไปวันไหนดี อาทิตย์ไหนดี เหตุผลก็คือปีนี้ผลไม้ที่สวนบ้านพิม (และสวนอื่นๆ) ออกกันแบบไม่พร้อมเพรียงน่ะค่ะ คือปกติในทุกๆ ปีเนี่ย พอทุเรียนเริ่มแก่ได้สักค่อนสวน ประมาณราวปลายพฤษภา ทั้งเงาะ มังคุด ลองกอง ก็จะแก่เกือบทั้งสวนแล้วค่ะ เรียกว่าถ้าเดินเข้าสวนไปเห็นแต่ผลไม้พรึ่บพรั่บไปหมด แต่ว่าปีนี้ด้วยความที่อากาศเมืองไทยประหลาดมาก มีนาคมแล้วยังหนาวจัดอยู่เลย แถมเมษาฝนก็ตกหนักเป็นระยะ ๆ อีกต่างหาก ผลไม้ที่สวนบ้านพิมก็เลยประหลาดไปด้วยค่ะ แทนที่จะออกพร้อม ๆ กัน ก็เลยออกตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย เรียกว่าไม่ได้ดั่งใจเลยค่ะ
... ซึ่งตอนแรกพิมก็กะว่างั้นรอไปอีกหน่อยแล้วกัน สักต้นมิถุนายน ค่อยไปสวนนะ แต่แม่ก็บอกว่าถึงตอนนั้นทุเรียนที่ต้นคงจะหมดแล้วแหละ ไม่มีให้ถ่ายรูปแล้วนะ พิมก็อืมๆๆ ..... งั้นไปก่อนก็ได้อ่ะ แบบว่ายังอยากถ่ายรูปทุเรียนที่อยู่บนต้นอยู่น่ะค่ะ เพราะงั้นหลังจากคิดสะระตะอยู่เป็นสิบรอบ (ต้องคิดดี ๆ จริงน๊า เพราะไปกลับใช้เวลาอยู่ค่ะ) ก็เลยตัดสินใจว่างั้นไปสักราวๆ วันที่ 20 ของเดือนพฤษภาก็ได้ ........... และนี่ก็เลยเป็นที่มาของการเริ่มต้นการเดินทางในครั้งนี้ล่ะค่ะ
............
และแล้วเมื่อตกลงใจได้ว่าพิมจะไปบ้านสวนวันไหน (คือตัดสินใจเย็นวันที่ 18 จะไปเช้ามึดวันที่ 20) พิมก็ต้องรีบสะสางงานก่อนเป็นอันดับแรกล่ะค่ะ และที่สำคัญพิมก็จะต้องวางแผนเรื่องอาหารการกินไว้ให้คุณสามีด้วย เนื่องจากปกติแล้วในทุก ๆ วันท้องของคุณสามีจะฝากไว้กับฝีมือพิมทั้ง 3 มื้อเลยอ่ะค่ะ (บางทีก็ทำ บางทีก็ซื้ออ่ะนะคะ ไม่ได้ทำเองทุกมื้อ) พิมก็เลยต้องวางแผนเรื่องอาหารของคุณสามีทั้ง 4-5 มื้อในช่วงที่พิมไม่อยู่ด้วยอ่ะค่ะ ... ก็คิด ๆ และก็เตรียมข้าวของไปตามประสาพิมอ่ะนะคะ แล้วพอเย็นวันที่ 19 พ.ค. พิมก็จัดแจงไปตลาดสดแถวบ้านล่ะค่ะ เพื่อเตรียมหาข้าวของมาทำกับข้าวให้คุณสามี ก็วางแผนคร่าว ๆ อ่ะนะคะว่าจะทำ ต้มหน่อไม้เห็ดหอมกับกระดูกอ่อนไว้ให้เค้าหม้อนึง ผัดวุ้นเส้นโป๊ะแตก และทำหมูทอดไว้ให้เค้าอีกอย่างละจานนึง (จานใหญ่อ่ะ) แล้วก็จะทำข้าวกล่องสำเร็จง่ายๆ จำพวกข้าวราดผัดกระเพรา ผัดพริกแกงแช่ตู้เย็นไว้ในเค้าอีกสัก 3 กล่องด้วยค่ะ .... ก็วางแผนไว้ประมาณนี้แหละ
แล้วพอกลับจากตลาดตอนเย็นวันที่ 19 พิมก็ลงมือทำๆ ทำเสร็จก็หันไปทำงานต่อ เก็บบ้านทำความสะอาดต่อจนกระทั่งถึงประมาณเที่ยงคืน คุณสามีก็ถามว่าพิมไม่ง่วงนอนเหรอ ... พิมก็ตอบไปว่าง่วงน่ะค่ะ แต่ไม่รู้สิ ไม่ได้ไปสวนตัวเองตั้งนาน มันตื่นเต้นอ่ะ บอกไม่ถูกเลย แล้วก็นะ ... กลัวนอนแล้วจะตื่นสายด้วยน่ะค่ะ ก็เลยคิดว่าคงจะไม่นอนดีกว่า แบบว่าเดี๋ยวไปนอนเอาในรถทัวร์น่ะค่ะ คุณสามีเค้าก็ อืมๆๆ ตามใจพิมล่ะ ..... จากนั้นพิมก็นั่งทำอะไรไปเรื่อยเปื่อยค่ะ เตรียมเสื้อผ้าข้าวของต่าง ๆ ที่จะเอาไปมั่ง แล้วสักประมาณตี 2 ครึ่งพิมก็เริ่มเดินเข้าครัวไปเตรียมทำอาหารไว้ให้คุณสามีล่ะค่ะ .... และหลังจากขลุกอยู่ในครัวประมาณ 2 ชม. (ก็มันทำเยอะนี่นา ตั้งหลายอย่างอ่า) พิมก็จัดการเรื่องอาหารทุกอย่างของคุณสามีเสร็จเรียบร้อยล่ะค่ะ จากนั้นพิมก็ไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมจะออกเดินทางไปจันทบุรีแล้วล่ะค่า
และแล้วเมื่อเวลาประมาณตี 4 กว่า ๆ การเดินทางของพิมในวันนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วค่ะ ^__^
พิมเริ่มต้นออกเดินทางจากบ้านตอนประมาณตี 4 กว่า ๆ ค่ะ ... จริง ๆ ตอนก่อนหลังจากแต่งตัวเสร็จเนี่ย คุณสามีเค้าโทรเรียกรถแท๊กซี่ให้ค่ะ แต่นะ...ทางศูนย์เค้าถามว่ารอประมาณครึ่ง ชม. ได้ไหม แบบว่ารถไม่ค่อยมี พิมก็เลยว่าไม่เอาล่ะค่ะ นานเกินอ่ะ เดินไปเรียกเอาเองแถวหน้าหมู่บ้านจะเร็วกว่า (กะว่าจะไปขึ้นรถเที่ยวตี 5 น่ะค่ะ ก็เลยคิดว่าถ้ารอเนี่ย ไปขึ้นไม่ทันแน่ๆ) .... ว่าแล้วหลังจากแต่งตัวเสร็จ ตรวจสอบความเรียบร้อยเสร็จ พิมก็จัดแจงหิ้วกระเป๋าใบเล็กออกจากบ้านทันที โดยมีคุณสามีมายืนส่งที่ประตูรั้วบ้านอ่ะค่ะ
มีเพื่อน ๆ หลายคนแอบถามพิมด้วยความสงสัยว่า (เพื่อความปลอดภัย) ทำไมพิมไม่ให้คุณสามีเดินมาส่งขึ้นรถแท๊กซี่ ขับรถมาส่ง หรือไปส่งที่เอกมัย ทำไมพิมถึงเดินทางออกจากบ้านคนเดียวตอนดึก ๆ อยู่ มันไม่น่ากลัวเหรอ ..... ก็อยากจะบอกว่ามันไม่น่ากลัวเลยค่ะ พิมเดินทางคนเดียวได้ (สบายๆ) แถมหมู่บ้านที่พิมอยู่เนี่ย โดยส่วนใหญ่เค้าจะรู้จักพิมกันทั้งนั้นเลยค่ะ ฮ่าๆ ...... โดยเฉพาะเส้นทางที่พิมต้องเดินผ่านไปขึ้นรถแท๊กซี่เนี่ย เป็นเส้นทางที่พิมเดินอยู่ทุกวัน ๆ ละหลายรอบ เพราะนั้นก็จะมีแต่คนที่พิมรู้จักทั้งนั้นเลยค่ะ แถมร้านรวงที่อยู่ในหมู่บ้านพิม สักประมาณตี 4 กว่า ๆ เค้ก็เปิดร้านกันแล้ว เพราะงั้นความปลอดภัยสำหรับพิมเนี่ยมีมากในระดับที่ไม่ต้องกังวลเลยจ้า
แถมนะคะพอเดินยังไม่ทันพ้นหมู่บ้านก็เจอแท๊กซี่ว่างคันนึงพอดีเลยค่ะ ..... โป๊ะเช๊ะพอดี ก็เลยเรียกให้เค้าช่วยไปส่งพิมที่เอกมัยหน่อยค่ะ
แล้วเผลอแป๊บเดียว ใช้เวลาแค่ประมาณไม่ถึงครึ่ง ชม. จากบ้าน พิมก็ถึงสถานีขนส่งเอกมัยแล้วล่ะค่ะ
พอถึงสถานีปุ๊บ สิ่งที่พิมต้องทำต่อทันทีก็คือการเลือกว่าจะซื้อตั๋วไปจันฯ ของทัวร์ไหนดีค่ะ ... ซึ่งเมื่อก่อนเนี่ย (สัก 10 กว่าปีที่แล้ว) พิมจะนิยมใช้บริการของพรนิภาทัวร์มากเลยค่ะ แต่มาระยะหลัง ๆ บริการเค้าแย่ลง พนักงานก็หน้าตาไม่ค่อยมี service mind ถามอะไรก็ตอบแบบกระโชกโฮกฮาก พิมก็เลยเปลี่ยนมาใช้บริการของเชิดชัยทัวร์แทนค่ะ (ไม่ได้ดีกว่ากันมากมาย แต่ดีกว่า)
และแล้วพิมก็เลยไปซื้อตั๋วของเฃิดชัยทัวร์มา 1 ใบนะคะ ซึ่งจริง ๆ ตามกำหนดเนี่ยรถทัวร์ไปจันทบุรี (โดยตรง) เที่ยวต่อไหนเค้าจะออกตอน 6 โมงเช้าค่ะ แต่ของพิมเนี่ยอยากไปเร็วหน่อยนึง อีกทั้งจุดที่พิมจะลงรถก็ไม่ใช่ตัวเมือง เพราะงั้นพิมก็เลยซื้อตั๋วรถตราดที่จะต้องผ่านจันทุบรีแทนอ่ะค่ะ ^^
พอซื้อเสร็จ พิมก็เดินกลับมานั่งรอที่มานั่งยาวตัวเดิมค่ะ ระหว่างนั้นก็นั่งดูโทรทัศน์ที่ทางสถานีขนส่งเค้าเปิดทิ้งเอาไว้ไปพลาง ๆ
พอสักประมาณตี 5 กะอีก 15 นาที พิมก็คิดว่าได้ฤกษ์เดินไปขึ้นรถแล้วล่ะ ก็เลยเดินเข้าสู่ตัวสถานีด้านในซึ่งเป็นจุดจอดรถทัวร์อ่ะค่ะ (ใครที่ไม่เคยมาใช้บริการที่เอกมัย อาจจะตกกะใจนิดหน่อยว่านี่สถานีขนส่งจริง ๆ เหรอเนี่ย ทำไมมันเก๊าาาเก่าาาา และแลดูน่ากลัวแบบนี้เนี่ย)
และนี่ก็คือรถทัวร์คันที่พิมจะต้องขึ้นนะคะ ^^ (ยังดีนะที่เป็นรถใหม่ไม่เก่าเหมือนสถานีอ่า)
ตอนแรกพิมกะว่าจะนั่งรอจนรถใกล้ ๆ จะออกถึงค่อยขึ้นไปนั่งบนรถทัวร์อ่ะค่ะ แต่ว่า......คิดแล้วคิดอีก ไปนั่งรอบนรถทัวร์น่าจะดีกว่า เพราะบนรถทัวร์มีโทรทัศน์ให้ดูด้วยอ่ะค่ะ ^^
แต่ปรากฎว่าโทรทัศน์บนรถทัวร์เป็นระบบ 3 มิติค่ะ พิมลืมเอาแว่นส่วนตัวมา (ฮ่าๆ) ก็เลยดูไม่ได้ >_<"
พอดูโทรทัศน์ไม่ได้ พิมก็เลยนั่งเอ้อระเหยเรื่อยเปื่อยรอเวลาที่รถจะออกอย่างเดียวเลยค่ะ ... สักพักไม่นาน ประมาณ 10 นาทีหลังจากนั้น ก็ราว ๆ ตี 5 กะอีก 25 นาทีล่ะค่ะ ก็มีพนักงานหญิงคนนึงของเชิดชัยทัวร์แหละ ขึ้นมาฉีกหางตั๋วและเช็คความถูกต้องว่าใครนั่งที่นั่งตรงกับที่ตัวเองซื้อไหมน่ะค่ะ
แล้วพอพนักงานหญิงคนนั้นตรวจตั๋วเสร็จและลงจากรถไปแล้ว พิมก็คิดว่า เออ...งั้นเดี๋ยวรถก็คงจะออกแล้วแหละ ก็เลยเตรียมขยับท่านั่งให้มันเข้าที่เข้าทาง (กะจะหลับยาว เพราะตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่ได้หลับเลย) ปรากฎว่าตี 5 ครึ่งแล้วรถก็ยังไม่ออกค่ะ ....... แต่รถไปออกเอาตอนตี 5 กะอีก 45 นาทีค่ะ ... แหมมมม อย่างนี้ออก 6 โมงซะให้มันรู้แล้วรู้แร่ด เอ๊ยย รู้รอดไปเลยดีกว่าม่ะเนี่ยยยยย แง่มๆๆ (แอบประชดเค้าอีกนะเราเนี่ย)
แล้วพอรถออกจากสถานีเอกมัยได้สักแป๊บนึง พิมก็เริ่มออกอาการตึง ๆ เคลิ้ม ๆ ล่ะค่ะ แบบว่าเริ่มง่วงนอน จะหลับแหล่มิหลับแหล่แล้วอ่ะ แต่ด้วยความที่ว่ารถทัวร์คันที่พิมนั่งเนี่ย เค้าจอดรับผู้โดยสารระหว่างทางเป็นระยะ ๆ (จากเอกมัยมาบางนา 3 จุด) แถมพิมเองก็นั่งอยู่แถวใกล้ประตูพอดี (หลังคนขับ) ก็เลยนอนไม่หลับซะทีค่ะ
จนกระทั่งรถเลยจากบางนาได้หน่อยนึง รถเริ่มวิ่งยาว พิมก็ไม่ไหวแล้วค่ะ >_<" หลับแล้วจ้า ................................ แถมหลับยาวอีกต่างหากค่ะ แล้วพอรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รถจอดส่งผู้โดยสารที่ ๆ นึงค่ะ (ประมาณ 8 โมงเช้า) ซึ่งพิมก็ไม่รู้ที่ไหนเหมือนกัน ..... แบบว่ายกนาฬิกาขึ้นมาดูนิดนึง แล้วก็หลับต่ออีกรอบค่ะ (บอกแล้วว่าง่วงมากๆ)
สักพักพิมก็รู้สึกตัวตื่นอีกรอบล่ะค่ะ เพราะได้ยินเสียงตะโกนของเด็กรถร้องบอกผู้โดยสารท่านอื่น "สามย่าน ใครจะลงเตรียมตัวด้วย" ..... พิมก็งัวเงียๆ ขึ้นมาดูนาฬิกาค่ะว่ากี่โมงแล้ว อ่าว...เพิ่งผ่านตะกี้มาแค่ 15 นาทีเองอ่ะ ..... แล้วหลังจากเงยหน้าเงยหน้าดูทิวทัศน์รอบทิศทาง พิมก็หลับต่ออีกรอบค่ะ (ฮ่ะๆ)
แล้วสักแป๊บเดียว (ในความรู้สึกพิมมันแป๊บเดียวจริงๆนะคะ) พิมก็รู้สึกตัวอีกรอบเพราะได้ยินเสียงแว่วๆ เบาๆ พูดว่า "หนองคล้าถึงแล้ว" ....... พิมก็เอ๊ยยย อะไรนะ หนองคล้า หนองคล้า ....... อ่าวกำ ถึงจุดที่พิมจะต้องลงรถแล้วนี่นา ฮ่วยยยย ว่าแล้วพิมก็เลยรีบลุก มือคว้ากระเป๋าและหมวก ทั้งที่ยังงัวเงียเดินลงจากรถทัวร์เลยอ่ะค่ะ (ลงจากรถทัวร์แล้วยังอุตส่าห์มายืนเอ๋ออยู่ข้างถนนอีกเกือบ 5 นาทีเลยนะคะ)
แล้วหลังจากตั้งสติได้ สายตาพิมก็เริ่มสำรวจไปบริเวณรอบ ๆ จุดที่พิมยืนล่ะค่ะ คือจะว่าไงดีอ่ะ .... พิมไม่ได้มาหนองคล้าแค่ไม่ถึงปีก็จริง แต่ทิวทัศน์ของหนองคล้าโดยเฉพาะตรงจุดที่พิมลงรถเนี่ย มันเปลี่ยนไปมากจริง ๆ อ่ะค่ะ คือ แบบว่าถนนกว้างขึ้น ต้นขนุนต้นใหญ่ที่เคยตั้งตะหง่านอยู่ริมถนน และพิมเห็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็หายไป อีกทั้งการจราจรที่พลุกพล่านในช่วงที่ผลไม้ออกเยอะ ๆ รถกระบะรถขนผลไม้ที่ขนผลไม้ออกมาขายกันมากมายอย่างในช่วงนี้ของทุกปีก็หายไป (เพราะปีนี้ผลไม้ออกล่าช้ากว่าทุกปี ออกน้อย แถมยังออกไม่ตรงกันด้วย) ...... มันก็เลยทำให้พิมรู้สึกแปลก ๆ น่ะค่ะ แต่ว่าก็เป็นความแปลกที่ไม่มีอะไรผิดปกติอ่ะนคะ ^^
ด้วยความที่ตั้งแต่เมื่อเย็นวานพิมยังไม่ได้กินอะไรเลยจนถึงตอนนี้ (หมายถึงอาหารหนักกะขนม น้ำไม่นับค่ะ) ระหว่างเดินสำรวจซอกนั้นซอกนี้ของหนองคล้าอยู่ พิมก็เกิดหิวขึ้นมาซะงั้นค่ะ แต่ว่าช่วงกลางวันแบบนี้ ร้านขายอาหารแถวนี้เค้าไม่ค่อยเปิดกันค่ะ คือมีบ้างอ่ะ แต่น้อย ไม่มีตัวเลือกมากมายเหมือนในกรุงเทพฯ ระหว่างเดินผ่านเจอร้านนี้ดูสะดุดตาดี (เพราะว่ามีป้ายอาหารหลากหลายเหลือเกิน) ก็เลยตัดสินว่าจะแวะกินที่ร้านนี้แหละค่ะ
อาหารของร้านนี้ที่พิมเห็นแล้วสะดุดตาและพิมคิดว่าจะสั่งกิน ก็คือ "ข้าวคลุกพริกเกลือ" ค่ะ ...... หลายคนที่ไม่เคยไปเที่ยวทางแถบระยอง จัน ตราด อาจจะไม่เคยได้ยินชื่ออาหารชนิดนี้ และอาจจะงง ๆ ว่า เอ๊ะ มันเป็นไงข้าวคลุกพริกเหลือ เอาพริกเกลือที่เราจิ้มผลไม้มาคลุกข้าวรึเปล่า ... ก็ขอบอกว่าไม่ใช่อ่ะค่ะ ข้าวคลุกพริกเกลือของคนแถบภาคตะวันออก ก็คือ ข้าวเปล่าหุงใหม่ ๆ ร้อนๆ โปะหน้าด้วยของทะเลลวกสุกแล้ว เช่น หมึก กุ้ง ปลา เนื้อปู รวมไปถึงบางคนอาจจะใส่เนื้อหมู เนื้อไก่ด้วย แล้วก็ราดด้วยน้ำจิ้มทะเลที่รสจัด ๆ กินกับผักชีและแตงกวาแช่เย็น ... ประมาณนี้แหละค่ะ ซึ่งเมื่อก่อนที่บ้านพิมทำกินกันบ่อยนะคะ แต่ระยะหลังมานี่ ไม่ค่อยได้ทำแล้วอ่ะค่ะ เพราะว่าไม่มีกุ้งหมึกสด ๆ เลย
เพราะงั้นในเมื่อวันนี้พิมมาถึงถิ่นของอาหารชนิดนี้แล้ว ก็ขอสั่งมากินซะหน่อยล่ะค่ะ แต่ว่านะ.... พิมอาจจะเลือกกินผิดร้านก็ได้ค่ะ เพราะว่าดูจากหน้าตาอาหารจานนี้ของร้านนี้แล้ว บางคนอาจจะบอกว่าน่าอร่อยจัง แต่เอาจริงแล้วไม่อร่อยเลยค่ะ ทั้งข้าวที่แข็งมาก น้ำจิ้มที่เปรี้ยวอย่างเดียว ไม่มีรสอื่นเลย และยังราดด้วยน้ำมันกระเทียมเจียวมาอีกในปริมาณมาก จนข้าวที่ก้นจานชุ่มไปด้วยน้ำมัน ทำให้ข้าวคลุกพริกเกลือจานนี้ไม่อร่อยเลยค่ะ
แต่อย่างน้อยยังดีว่า กุ้งที่เค้าใช้นั้นสดมาก แถมลวกมากำลังดี เนื้อกุ้งหวาน ส่วนเนื้อหมูก็หั่นชิ้นไม่บางเกิน แล้วยังมาพร้อมกับน้ำซุป 1 ถ้วย ซึ่งน้ำซุปอร่อยมากค่ะ ก็เลยทำให้พิมไม่ค่อยเสียดายเงินเท่าไหร่ค่ะ (แต่นะ .....ติดป้ายจานละ 25- พอเก็บตังค์คิดจานละ 35- ถามเข้าบอกว่าป้ายยังไม่ได้แก้ หุหุ)
พอกินข้าวเสร็จ ..... พิมก็ขอเติมพลังด้วยโอเลี้ยงขม ๆ ซะหน่อยค่ะ ของโปรดเลยอ่ะ ^^
จากนั้นก็แอบเดินเตร็ดเตร่แถว ๆ นั้นอีกนิดนึงค่ะ เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนไป อีกทั้งก็ไปแว๊บ ๆ ดูหน้าร้านรับซื้อผลไม้เพื่อไปส่งออก หรือที่ชาวสวนแถวนี้เค้าเรียกกันว่า "ล้ง" ว่าช่วงนี้เค้ารับซื้อผลไม้อะไรบ้าง..... ด้วยอ่ะค่ะ
แล้วหลังจากนั้นพิมก็ได้ฤกษ์ขึ้นรถมอไซด์รับจ้างที่หน้าปากทางเพื่อเข้าไปที่บ้านสวนแล้วล่ะค่ะ ซึ่งระหว่างทางเข้าพิมก็ถ่ายรูปมาได้แค่ 2-3 รูปเองค่ะ ตอนแรกกะว่าจะถ่ายไปเรื่อย ๆ ขณะนั่งมอไซด์ (พิมเคยทำอยู่) แต่งานนี้ไม่ไหวค่ะ คุณป้าที่ขับมอไซด์รับจ้างให้พิมนั่ง (แกอายุมากกว่าแม่พิมนะคะ น่าจกสัก 57-58) แกขับเร็วมาก ฮ่ะๆ แอบดูเกจวัดควาเมร็วแก โอ้วว ขับเกือบ 90 กิโลต่อ ชม. แน่ะค่ะ แถมนะเจอหลุมกี่หลุม ป้าเค้าไม่หลบเลยค่ะ ลงเป็นลงอ่ะ ก้นพิมสะบักสะบอมมาก >_<" ทีนี้พิมก็เลยคิดว่าขืนนั่งมอไซด์ไปถ่ายรูปไปด้วย สงสัยจะไม่รอด ไม่พิมก็กล้องจะต้องตกจากมอไซด์แน่นอนเลย เพราะงั้นก็เลยถ่ายแค่ช่วงแรก ๆ ที่ป้าแกยังขับเนิบ ๆ เท่านั้นอ่ะค่ะ ฮ่ะๆ ...... (บรรยากาศในภาพเหมือนจะสักบ่ายแก่ๆ นะคะ แต่จริงๆ แล้วเพิ่ง 9 โมงกว่าๆ เองค่ะ)
แล้วระหว่างทางที่พิมนั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์ของป้าแก ป้าแกก็ชวนคุยเรื่อยเปื่อยเลยนะคะ พิมก็เม้าท์แตกเหมือนกัน เสมือนคนรู้จักกันมานาน ฮ่ะๆ ทั้งที่เพิ่งเจอกันตะกี้ แถมป้าแกนะคะยังเล่าให้พิมฟังอีกค่ะว่า ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาอ่ะ ป้ามาส่งผู้หญิงคนนึงอายุพอ ๆ กับป้าเลยตรงจุดที่หนูจะไปนี่แหละ แถมหน้าคล้ายหนู (ป้าหมายถึงพิม) อีกต่างหาก พิมก็เลยหัวเราะแล้วก็บอกว่า "แม่หนูเองแหละค่ะ" ป้าแกก็เลยหัวเราะ ฮ่ะๆ แล้วก็บอกว่า "แหมมม ป้าว่าแล้ว" ^^
NOTE :: ภาพด้านล่าง ก็คือ ทางเข้าไปยังบ้านพิม ถ้าเป็นในเมืองกรุงเค้าก็จะเรียกว่าซอยอ่ะนะคะ
แล้วหลังจากที่ป้าเค้าใช้เวลาขับมอไซด์อยู่ประมาณสัก 20 นาที (กะๆ เอานะคะ ไม่ได้จับเวลาจริงๆ) ป้าเค้าก็พาพิมมาถึงบ้านสวนแล้วล่ะค่ะ
ถึงตรงจุดนี้ พิมก็ขอกล่าวคำว่า "ยินดีต้อนรับทุกคนสู่บ้านสวนเมืองจันฯ ของครอบครัวพิมเลยนะคะ" ....... ^____^ .... ขอให้ทุกคนขึ้นมากินน้ำกินท่าเย็น ๆ และพักให้หายเหนื่อยกันก่อนจ้า เพราะเดี๋ยวพิมจะพาเพื่อน ๆ ไปลุยสวนของจริงแล้วนะคะ อิอิ (บ้านรกมากหน่อย หาที่นั่งออกจะลำบาก แต่เจ้าของบ้านเต็มใจต้อนรับทุกคนเลยนะคะ)
ระหว่างพักเหนื่อย พิมก็ขอแอบไปเหล่ ๆ เดินสำรวจรอบ ๆ บ้านซะหน่อยค่ะว่ามีผลไม้อะไรถูกเก็บเข้ามาในบ้านแล้วบ้าง แต่ปรากฎว่าก็ยังไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ เพราะว่ายังเช้าอยู่ค่ะ
จะเห็นก็มีแต่ทุเรียนหมอนทองกองใหญ่น้ำหนักกว่า 1.5 ตันนี่แหละค่ะ กองอยู่เบ้อเริ่มเทิ่มเลยค่ะ ^__^
แล้วหลังจากพักผ่อนดื่มน้ำดื่มท่าให้หายเหนื่อยแล้ว พิมก็ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้าไปลุยในสวนกะเค้าบ้างล่ะค่ะ .... ก่อนอื่นก็ขอแนะนำวิวทิวทัศน์รอบ ๆ สวนบ้านพิมก่อนนะคะ ว่าเป็นยังไง เผื่อใครผ่านมาจะได้ไม่งงอ่ะค่ะ
ก็เมื่อเดินออกมาจากตัวบ้านพิม มายืนอยู่ที่หน้าประตูรั้วบ้านแล้ว เมื่อหันหน้าออก มองไปทางซ้ายมือ (ทางที่พิมนั่งรถมอไซด์เข้ามา) เพื่อนๆ ก็จะเจอกับทิวทัศน์ของสวนผลไม้ประมาณนี้นะคะ ซึ่งดูจากในภาพแม้ต้นไม้ใบไม้จะเขียวชอุ่ม แต่จริงๆ ค่อนข้างแห้งแล้งค่ะ เพราะว่าในไม่ตกมาหลายวันแล้วอ่ะ
และถ้ามองไปทางด้านขวา ก็จะเจอกับวิวประมาณนี้ค่ะ ซึ่งจะออกโล่ง ๆ กว่าทางซ้ายมือหน่อย แต่เรียกว่าหันไปทางไหนก็จะมีแต่ต้นไม้ล่ะ (ซอยบ้านพิมเป็นซอยตันค่ะ จุดทีสุดถนนในภาพ ก็คือสุดซอย ซึ่งตรงจุดนั้นมีสวนของที่บ้านพิมอีกแปลงนึงประมาณ 5 ไร่ได้พร้อมบ้านหลังเบ้อเร่อค่ะ เน้นปลูกเงาะซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ว่าแม่ทำไม่ไหวเลยให้เค้าเช่าไป 2-3 ปีแล้วอ่ะค่ะ
เมื่อชมวิวทิวทัศน์หน้าสวนกันไปพอควรแล้ว พิมก็ขอชวนเพื่อน ๆ ลุยเข้าสวนกันเลยค่ะ ^^
ก่อนอื่นขอเกริ่นนิดนึงนะคะว่าสวนที่บ้านพิมมีอยู่ 3 สวนค่ะ สวนที่หนึ่ง เรียกว่าสวนใหญ่ มีพื้นที่มากสุด ปลูกทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกองเป็นหลัก สวนที่ 2 เรียกว่าสวนหลังบ้านค่ะ ปลูกลองกอง เงาะ มังคุดเป็นหลัก ส่วนสวนที่ 3 ก็อย่างที่บอกด้านบนค่ะมีเงาะเป็นหลัก แต่ว่าสวนที่ 3 เนี่ย ให้คนอื่นเช่าทำไปแล้วน่ะค่ะ เพราะงั้นสวนที่บ้านพิมทำอยู่ตอนนี้ก็เลยมีแค่ 2 สวนหรือ 2 แปลงเท่านั้นอ่ะค่ะ (แต่แค่ 2 แปลงนี่ แม่ก็เหนื่อยสุดๆ แล้วค่ะ)
ว่าแล้ว ....... เราก็เข้าไปลุยในสวนใหญ่กันเลยนะคะ ^^
(ทางเข้าต้องลอดซุ้มต้นมังคุดไปด้วยน๊าา)
ที่สวนใหญ่เนี่ย นอกจากแม่พิมเค้าจะปลูกผลไม้ไว้หลากหลายชนิดแล้ว เค้าก็ยังเลี้ยงไก่ไข่ไว้ด้วยอ่ะค่ะ .... แต่จริง ๆ ไก่ไข่ที่เพื่อนๆ เห็นในภาพเนี่ยเป็นไก่ไข่ของพิมนะคะ พิมเคยให้แม่ซื้อมาให้เลี้ยงตอนสักประมาณ 2-3 ปีที่แล้ว ซื้อมาเลี้ยงเพื่อที่จะเอาไข่สด ๆ มาทำขนมน่ะค่ะ แต่ว่าเลี้ยงได้ประมาณปีเดียวก็ต้องเลิกเลี้ยง เพราะว่ามีช่วงนึงงูเหลือมเข้ามาบุกเล้าไก่ในช่วงกลางคืนอยู่เป็นประจำค่ะ เรียกว่าอาทิตย์นึงมาไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง แถมตัวใหญ่มากๆ ทั้งนั้น เคยเจอแบบตัวยาว 4 เมตรกว่าก็มีค่ะ มาทีก็กินไก่ไปบ้าง หรือทำไก่ตกใจไม่ออกไข่เป็นเดือนบ้าง สุดท้ายเลยต้องเลิกเลี้ยง และก็ยกให้แม่เอามาเลี้ยงที่บ้านสวนฯ แทนน่ะค่ะ ...... ซึ่งพอไก่มาอยู่ที่บ้านสวนนี่แล้ว เค้าใช้เวลาปรับตัวอยู่สักพัก ก็กลับมาออกไข่เหมือนเดิมล่ะค่ะ ^^ (ซึ่งแม่พิมก็เก็บไปให้กินเกือบจะทุกอาทิตย์ล่ะ หุหุ)
ระหว่างพิมกำลังเดินชมไก่อยู่นั้น (มันมีอะไรให้ชมเนี่ยย ยัยพิม >_<") ...... พิมก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อพิม แว่ว ๆ มาจากกลางสวนล่ะค่ะ ฟังดี ๆ อ้อ ... เสียงแม่พิมนี่เอง เค้าคงรู้แล้วแหละค่ะว่าพิมอ่ะมาถึงบ้านและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ก็เลยตะโกนบอกพิมประมาณว่า อือ..อ เค้าอยู่กันตรงจุดนี้ ๆ ในสวนนะ ถ้าจะมาหาก็ให้เดินมา อะไรทำนองนี้แหละค่ะ ซึ่งพอพิมได้ยินเสียงแม่ก็ดีใจ ประหนึ่งเหมือนได้เจอคนท่ามกลางป่าเขา (เว่อร์แหละ ฮ่ะๆ) ก็เลยรีบเดินไปหาเค้าเลยค่ะ และก็พบว่าทั้งแม่ น้องชายพิม น้องสะใภ้พิม และก็น้าสวนข้างๆ กำลังมะรุมมะตุ้มสอยหามังคุดแก่ ๆ (แต่ยังดิบ+เขียว) เพื่อเก็บไปส่งที่ล้งกันอยู่เลยค่ะ (ล้ง = รับซื้อผลไม้ในราคาสูง เพื่อเอาไปคัดส่งออกอีกที)
ป.ล. กิจกรรมในแต่ละวันของที่บ้านพิมในช่วงเดือนพฤษภาที่ผ่านมานี้ คือเช้าจะต้องเก็บมังคุดไปส่งที่ล้งก่อน กลางวันกลับมาให้น้ำต้นไม้ และพอบ่ายแก่ ๆ ก็เก็บเงาะอ่ะค่ะ เหตุที่ต้องเก็บเงาะตอนบ่ายเพราะว่าแดดไม่ร้อน เก็บแล้วเงาะไม่เหี่ยว ขนจะยังสวน และคนทำก็ไม่หงุดหงิดด้วยอ่ะค่ะ
จะว่าไปแล้ว ... ปกติในช่วงตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมของทุกปี มังคุดที่สวนพิมและสวนของบ้านอื่นเค้าจะสุกกันมากแล้วอ่ะค่ะ แต่มาปีนี้อาจจะเพราะอากาศที่ผิดเพี้ยนไป ทั้งฝนทั้งหนาวในเดือนที่ควรจะร้อน มังคุดที่ควรจะเริ่มแก่ตั้งแต่ต้น พ.ค. ก็เลยไปเริ่มแก่เอากลางเดือน พ.ค. อ่ะค่ะ เพราะนั้นผลผลิตที่มีสู่ตลาดก็เลยน้อย ทำให้มังคุดมีราคาสูงมาก (ในช่วงเดือนพฤษภาที่ผ่านมา) อ่ะค่ะ
แต่จะว่าไปแล้ว .... การเก็บมังคุดในช่วงที่มังคุดสุกน้อยเนี่ย มันยากลำบากมากเลยนะคะ อีกทั้งไม่ค่อยมีใครรับจ้างด้วยอ่ะ และถึงจะมีคนรับจ้างเก็บ แต่ก็จะรับจ้างเก็บในราคาที่แพงกว่าการเก็บมังคุดในช่วงที่แก่เยอะ ๆ หลายเท่าตัวเลยอ่ะค่ะ (รับจ้างเก็บคิดเป็นกิโล หรือไม่ก็ ชม.) เพราะว่าวิธีการเก็บมันไม่เหมือนเกัน อย่างตอนมังคุดแก่ ๆ ก็ยืนอยู่ด้านล่างต้น ถือที่สอยอันนึง เห็นลูกไหนดำหรือสีออกม่วง ๆ ก็เอาที่สอย ๆ ได้เลย แต่ถ้าเป็นการเก็บมังคุดในช่วงที่มังคุดสุกไม่มากเท่าไหร่แบบนี้ คนเก็บจะต้องปีนขึ้นไปบนต้น แล้วก็ยืนมองไปรอบ ๆ ต้น พินิจพิจารณาลูกมังคุดแต่ละลูกด้วยสายตาเลยค่ะว่า แก่หรือยัง (คือจะต้องแก่แบบยังดิบอยู่) หากลูกไหนคิดว่าใช้ได้แล้วก็จะต้องมือนึงเกาะต้นไว้ อีกมือนึงเอื้อมไปจับลูกมังคุด (ที่ยังติดอยู่กะกิ่ง) พลิกซ้ายพลิกขวาดูว่าใช่ไหม ..... ถ้าใช่ก็เด็ดลงมา ถ้าไม่ใช่ก็ไปพิจารณาลูกต่อไปอ่ะค่ะ ซึ่งบางทีบางต้นเสียเวลาเป็น 10 นาที แต่ได้แค่ 3-4 ลูกก็มีค่ะ ..... และด้วยความที่มันเก็บยากลำบากแบบนี้ ก็เลยทำให้ค่าตัวคนเก็บมังคุดแบบนี้ต่อ ชม. สูงกว่าคนเก็บในแบบปกติอ่ะค่ะ ^^
ป.ล. ในภาพบนที่สวมหมวกคือ น้องสะใภ้พิม (เดิมเป็นสาว office นี่แหละค่ะ) หนุ่มเสื้อเหลืองคือน้องชายพิม ส่วนในภาพด้านล่างที่สวมเสื้อลายสก๊อตกางเกงขายาวสีน้ำเงินก็คือแม่พิมนะคะ อายุจะ 56 เดือน ก .ค. นี้แล้วอ่ะ
ซึ่งแม่พิมเค้าเล่าให้พิมฟังว่า ทุกๆ ปีที่ผ่านมาช่วงนี้เคยเก็บมังคุดได้เกือบตันแล้ว (มังคุดที่บ้านพิมมีประมาณ 200 กว่าต้น) แต่ปีนี้ยังได้สองร้อยกว่าโลเองค่ะ ถึงแม้ว่าจะได้ราคาขายต่อกิโลสูงกว่า แต่ว่าค่าคนเก็บก็แพงกว่า วิธีการเก็บก็ยุ่งยากกว่า เวลาที่เสียไปก็มากกว่า (ปกติตะลุยสอยอย่างเดียวเลย) ก็ไม่รู้ว่ามันคุ้มกันหรือเปล่าอ่ะค่ะ แต่ก็ดีกว่าไม่มีให้เก็บเลยเน๊าะค่ะ ^^
และก็นี่ค่ะมังคุดที่พวกเราเก็บกันได้ในวันนี้ ดูเผิน ๆ หลายคนอาจจะงงว่าเขียวๆ แบบนี้แล้วพอทิ้งไว้มันจะสุกจริงเหรอ ..... ก็ขอบอกว่าสุกจริง แต่ว่าจะใช้เวลาหลายวันหน่อยค่ะ ซึ่งมังคุดที่เก็บในลักษณะสีแบบนี้ จะเหมาะกับการเอาไปส่งออกเท่านั้น แบบว่ากว่าจะถึงมือผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ ก็สุกพอดี ส่วนมังคุดที่เก็บเพื่อขายที่แผงขายผลไม้ของบ้านพิมหรือที่เก็บขายกันในบ้านเรานั้น ก็จะเก็บตั้งแต่ลูกที่สีออกแดงทั้งลูกไปจนกระทั่งสีดำ ๆ อ่ะค่ะ แบบที่เห็นในภาพด้านล่างอ่ะค่ะ ^^
และเนื่องจากว่าพิมไม่คุ้นเคยกับการเก็บมังคุดในลักษณะนี้ กลัวจะทำของเค้าเสียของ ก็เลยขอทำตัวเป็นผู้ชมอยู่แถว ๆ โคนต้นดีกว่าค่ะ และระหว่างที่เค้าเก็บกัน พิมไม่ได้ทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราว ครั้นจะไม่ช่วยทำอะไรเลย เดี๋ยวก็จะถูกหาว่าไม่ช่วย เพราะงั้นพิมก็เลยขอช่วยกินมังคุดสุกๆ ในตะกร้าไปเรื่อยเปื่อยแทนแล้วกันนะคะ ... ขอบอกว่าหวานหอมชื่นใจมากๆ เลยค่ะ ^^"
ที่สำคัญพิมแอบกินเผื่อเพื่อนๆ ด้วยนะคะ อิอิ
แล้วหลังจากที่เรา (พูดซะยังกะว่าตัวเองไปร่วมเก็บกะเค้าด้วยงั้นแหละ ฮ่ะๆ) เดินตะเวนเก็บมังคุดกันจนหมดทั่วทั้งสวน เสียเวลาไปหลาย ชม. (ตั้งแต่เช้ายันเที่ยง) ก็ได้เวลาที่พวกเราจะเข็นมังคุดออกจากสวนเพื่อไปขายที่ล้งกันแล้วล่ะค่า
และก็นี่ค่ะ ... หน้าตาของมังคุดแก่แต่ยังดิบที่บ้านพิมเก็บกันได้ในวันนี้ (เก็บอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง) รวม ๆ แล้วก็ประมาณ 60 กว่าโล ...... ซึ่งเดี๋ยวน้องชายกับน้องสะใภ้พิมเค้าจะเอาออกไปขายกันที่ล้งล่ะนะคะ แต่พิมไม่ได้ไปด้วย ส่วนพิมจะไปทำอะไรที่ไหนต่อ เดี๋ยวตามดูพิมในตอนถัดไปนะคะ ^__^
ป.ล. ราคาที่ล้งรับซื้อมังคุดในวันที่พิมไปที่สวนแม่ก็คือ ไซด์รวมโลละ 95 บาทค่ะ ... ฟังไม่ผิด 95 บาทจริง ๆ ค่ะ (ราคาแต่ละวันไม่เท่ากัน และล้งแต่ละล้งก็ให้ราคาไม่เท่ากันด้วยค่ะ) ..... แต่ช่วงที่พิมอัพเนื้อหานี้ ก็คือวันศุกร์ที่ 3 มิ.ย. 54 ราคามังคุดรับซื้อเหลือ เบอร์รวม (คละไซด์) แค่โลละ 22-23 บาทแล้วค่ะ แต่ถ้าลูกโต ๆ ก็โลละ 32 อ่ะค่ะ