หลังจากที่เราใช้เวลาเกือบจะทั้งวันในการเก็บมังคุด ตัดลองกอง และตัดเงาะ .... เมื่อถึงเวลาเกือบ ๆ จะ 5เย็น ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องไปลุยเก็บผลไม้ที่เหลือและผักกระจุกกระจิกกันแล้วค่ะ
สำหรับผลไม้ที่เหลือที่จะต้องเก็บกันในเย็นวันนี้ ก็คือ กระท้อนค่ะ ซึ่งกระท้อนที่พิมจะพาเพื่อนๆ ไปเก็บเนี่ย บอกตามตรงว่าพิมไม่รู้ว่าเป็นพันธุ์อะไรค่ะ แม่พิมก็ไม่รู้ .... >_<"..... เพราะว่ากระท้อน 2 ต้นนี้เนี่ย มันมีมาตั้งแต่แม่พิมเค้าซื้อสวนแปลงนี้ใหม่ ๆ น่ะค่ะ (คือมันมาพร้อมสวนเลย) แต่ถ้าให้เดา ๆ ก็คิดว่าน่าจะเป็นพันธุ์ปุยฝ้ายค่ะ เหตุผลไม่มีค่ะ เดาอย่างเดียว ........ ฮาาาาาาาาา
แต่จะว่าไปถึงพิมจะไม่รู้ว่ากระท้อนที่บ้านพิมปลูกอยู่ 3-4 ต้นใหญ่ ๆ นี่จะเป็นพันธุ์อะไร แต่ขอบอกว่ามันดกมาก.ก..ก.ก ค่ะ ต้นนึงออกนับเป็นพันลูกต่อปี (ปีนึงออกครั้งนึง) แถมแต่ละลูกก็ใหญ่เบ้อเร่อ น้ำหนักนี่แบบว่าหนักเป็นกิโล ๆ ก็มีค่ะ แถมนะ.....ไม่ต้องดูแลอะไรมากมายเลยค่ะ ปุ๋ยไม่เคยใส่ ยาไม่เคยฉีด สารบำรุงไม่เคยให้ น้ำไม่เคยรด แต่ก็ยังคงออกลูกให้ผลดกอย่างนี้ทุกปีเลยค่ะ ^^
ด้วยความที่เจ้าต้นกระท้อนทั้ง 3 ต้นเนี่ยสูงมาก สูงประมาณตึก 3 ชั้นได้ แถมลูกกระท้อนก็จะอยู่ตามกิ่งที่อยู่สูง ๆ หรือตามกิ่งยอดซะเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการจะปีนต้นขึ้นไปห่อกระท้อนหรือยืนอยู่ข้างล่างแล้วใช้ที่ห่อ..ห่อกระท้อน จึงเป็นไปได้ค่อนข้างยากลำบาก และทำให้ปวดเมื่อยตรงบริเวณคอและหลังมาก เพราะงั้นในปีๆ นึงแม่พิมกะน้องชายพิมเค้าก็เลยสามารถห่อกระท้อน (เพื่อทำกระท้อนห่อ) ได้ประมาณ 200-300 ลูกต่อปีเท่านั้นเองค่ะ ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายมาก เพราะว่ากระท้อนห่อของแม่พิมเนี่ยอร่อยกว่า แถมสามารถขายได้ราคามากกว่ากระท้อนธรรมดา (ที่ไม่ห่อ) ถึงกิโลละ 15-20 บาทเลยอ่ะค่ะ >_<"
แม้วิธีการห่อกระท้อนจะค่อนข้างลำบาก ยุ่งยาก แต่วิธีการเก็บกระท้อนนั้นง่ายมาก ๆ เลยค่ะ เพียงแค่เรามีตะกร้อสอยกระท้อน 1 อัน เดินไปรอบ ๆ ต้น เห็นลูกไหนแก่ สีผิวได้ หรืออยากจะสอย ก็จัดการสอยได้เลยค่ะ .... ซึ่งลูกที่แม่พิมกับพิมสอยมาเนี่ย ก็จะมีทั้งแบบแก่แล้ว กับแบบยังไม่แก่ค่ะ (แน่นอนว่าแม่พิมสอยแบบแก่ พิมสอยแบบยังไม่แก่ ฮาาาาาาาา) ซึ่งลูกที่แก่ มีรสหวานค่อนข้างมากแล้วเนี่ยก็จะเอามาขายคนที่อยากกินกระท้อนแบบกินเล่น หรือขายคนที่เอาไปทำพวกกระท้อนลอยแก้ว กระท้อนทรงเครื่อง ส่วนลูกที่ยังไม่แก่จัด ผิวยังมีสีเขียวๆ อยู่เยอะ ก็จะเอามาขายคนที่อยากซื้อไปทำพวกตำกระท้อน แกงกระท้อน ผัดกระท้อน กระท้อนดอง อะไรอย่างนี้อ่ะค่ะ
สำหรับคนที่สงสัยว่า กระท้อนเปลือกสีอ่อนกับกระท้อนเปลือกสีเข้มแบบในภาพด้านล่างนี้ ....... ผลที่เปลือกสีเข้มจะหวานกว่าเปลือกสีอ่อนจริงไหม ..... จากการทดลองกิน พิมขอตอบว่าไม่จริงค่ะ เพราะกระท้อนบางลูกที่อยู่กลางแดด โดนแดดทุกวัน เปลือกของเค้าจะมีสีเข้มแบบในภาพด้านล่างนี่อ่ะค่ะ ส่วนผลไหนที่อยู่ในร่่มตลอด ประมาณว่าเกิดอยู่ท่ามกลางใบกระท้อนที่ปกปิดมิดชิด ชีวิตนี้ไม่เคยถูกแดดเลย ก็จะมีเปลือกที่สีอ่อนแบบในภาพถัดไปอ่ะค่ะ ..... ดังนั้นแล้วสีเปลือกที่เข้มหรืออ่อนไม่สามารถบอกได้ค่ะว่ากระท้อนลูกนั้นหวานจริงไหม แต่ถ้าเป็นพันธุ์ที่หวานและตัดตอนแก่แล้ว (กระท้อนนะคะ มิใช่คนอ่ะ) รับรองว่าหวานแน่นอนค่ะ
ว่าแล้ว ...... ไหนๆ นั่งวางงานอยู่ (เพราะพิมปีนต้นไม้ไม่เป็น ฮ่าๆ) ........ ก็ขอลองผ่ากระท้อนมาชิมดูสักลูกสิว่าจะหวานจริงอย่างที่พิมโฆษณาเอาไว้ไหม ......... ก็ไม่เลือกมากล่ะค่ะ จับลูกนี้ขึ้นมาได้ ก็ขอเอาลูกนี้แหละ (ลูกนี้เป็นกระท้อนที่ไม่ได้ห่อนะคะ) ...... ซึ่งพิมขอบอกว่า ด้วยความที่เนื้อกระท้อนลูกนี้เค้านุ่มและฟูมาก ฟูจนเกือบถึงเปลือก อีกทั้งแก่จัด ทำให้แค่พิมเอาปลายเล็บจิกไปรอบ ๆ ลูก (คือไม่มีมีดน่ะค่ะ) แล้วก็ออกแรงบิดลูกไปทางซ้ายทีขวาที (แต่ใช้แรงเยอะหน่อย) กระท้อนลูกนี้ก็แยกออกจากกันเป็น 2 ซีกแบบในภาพด้านล่างแล้วอ่ะค่ะ ซึ่งพิมก็แอบตกใจอยู่เหมือนกัน เพราะว่าปกติพิมไม่กินกระท้อนอ่ะค่ะ เลยไม่รู้ว่า เออ..ออ ถ้าสุก ๆ หน่อย มันจะฉีกให้ขาดออกจากกันได้ง่ายขนาดนี้อ่ะค่ะ ^^
และไหนๆ ในเมื่อพิมฉีกลูกกระท้อนออกมาเป็น 2 ซีกแล้ว ก็เลยต้องขอชิมซะหน่อยล่ะค่ะว่ามันหวานจริงไหม ....... ซึ่งหลังจากได้ลองชิมแล้ว ขอบอกว่าหวานจริง ๆ ค่ะ เป็นความหวานแบบอมเปรี้ยวนิด ๆ ไม่ใช่หวานจืด ๆ กินเพลินมากเลย ที่สำคัญเนื้อและเม็ดของเค้าฟูสุด ๆ เลยค่ะ ฟูจนกระทั่งเปลือก (ดูตามในภาพด้านล่างนะคะ) มันก็เลยทำให้คนที่ไม่ค่อยชอบกินกระท้อนอย่างพิม เผลอกินไปจนหมดลูกเลยค่ะ แถมยังแอบต่อด้วยกระท้อนห่อลูกเล็ก ๆ อีกลูกนึงด้วยนะคะ อิอิ
แล้วระหว่างนั่งกินกระท้อนอยู่โคนต้นกระท้อน พิมก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีอ่ะค่ะ คือนั่งกินเฉย ๆ มันก็แอบหง่าวนะคะ พลันสายตาเหลือบไปเห็นเรื่องสุขภาพบนกระดาษหนังสือพิมพ์ที่แม่เตรียมมากรุลังกระท้อน พิมก็เลยขอหยิบเอาขึ้นมาอ่านฆ่าเวลาซะหน่อยค่ะ
และหลังจากกินกระท้อน 2 ลูกเป็นที่เรียบร้อย (ประมาณ 6 โมงเย็น) แม่พิมกะน้าข้างบ้าน (ที่ตามมาช่วยอีกรอบ) ก็จัดการเก็บกระท้อนกันเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ ทั้งห่อและไม่ห่อได้มาทั้งหมดประมาณ 7-8 ลัง (พิมก็ช่วยด้วยน๊าา ไม่ใช่ว่ากินอย่างเดียวอ่า)
จะว่าไปแล้ว .... ผลไม้ที่สวนบ้านพิมไม่ได้มีแค่ทุเรียน มังคุด กระท้อน เงาะ ลองกอง เท่านั้นนะคะ ..... จริง ๆ ยังมีอีกเยอะแยะหลากหลายเลยอ่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นขนุน ละมุด ลางสาด กล้วยไข่ กล้วยน้ำว้า กล้วยเล็บมือนาง กล้วยหักมุก
... กล้วยหอม กล้วยงาช้าง ขนุน ละมุด ลางสาด แก้วมังกร ลำไย องุ่น มะม่วง ฝรั่ง ชมพู่ มะเฟือง มะไฟ ส้มโอ ส้มเขียวหวาน มะตูม สาเก
... มะละกอแขกดำ มะละกอฮอลแลนด์
มะพร้าวน้ำหอม มะพร้าวกะทิ (อันนี้มีแต่ยังไม่ออกลูก) มะพร้าวไว้สำหรับทำแกง
แม้กระทั่งพวกระกำ และสละก็มีด้วยเช่นกันอ่ะค่ะ ^__^ (ผลไม้สัพเพเหระทั้งหมดที่ว่ามา บางอย่างก็มีเป็นสิบต้น แต่บางอย่างก็มี 2-3 ต้นเท่านั้นอ่ะค่ะ)
เมื่อพูดถึงสละกับระกำ ....... บางคนที่สงสัยว่า เอ๊ะ !! แล้วระกำกับสละต่างกันตรงไหน ก็ให้ดูที่รูปทรงของลูกนะคะ ........ ระกำ (ในภาพล่างภาพแรก) แต่ละผลจะมีลักษณะแน่นๆ อ้วนๆ และในแต่ละกระปุก..ผลระกำจะค่อนข้างอยู่กันอย่างอัดแน่น ส่วนสละจะมีลักษณะผลยาวรี ดูเหมือนพอง ๆ หน่อย แล้วกระปุกก็จะมีลักษณะหลวม ๆ ไม่แน่นเหมือนระกำอ่ะค่ะ (พิมอธิบายเข้าใจไหมหว่า ???)
จะว่าไปเมื่อก่อนที่บ้านพิมปลูกสละกับระกำเยอะเหมือนกันค่ะ แต่ว่าระกำกับสละเนี่ยตั้งแต่เค้าเริ่มออกดอกจนถึงโตเป็นผล แก่จนตัดได้เนี่ย ใช้เวลานานถึง 9 เดือนเลยนะคะ (พอ ๆ กับส้มเขียวหวานเลยอ่ะ) แถมในระยะหลังๆ มานี่คนไม่ค่อยนิยมกินสละกันเหมือนตอนมีใหม่ ๆ เลยค่ะ อาจจะเพราะว่ามันแกะยาก แกะแล้วเจ็บมือ มือเป็นแผล ดังนั้นจึงทำให้ราคาขายสละเนี่ยลดต่ำลงจากโลละประมาณ 70 บาท เหลือแค่โลละ 30 บาทเอง ซึ่งมันไม่คุ้มค่ากับพื้นที่ๆ เสียไปในการปลูกต้นสละ และเวลาที่เนิ่นนาน แม่พิมเค้าก็เลยตัดต้นสละทิ้งไปซะกว่า 90% ค่ะ เหลือไว้อยู่แค่ไม่กี่ต้น ซึ่งส่วนใหญ่ต้นที่เหลือ ๆ อยู่ ก็จะอยู่ริมชายเขตคู่กับต้นระกำแบบในภาพด้านล่างนี้อ่ะค่ะ
นอกจากผลไม้ที่เป็นไม้ยืนต้นแล้ว ที่บ้านพิมก็จะมีผักผลไม้จำพวกไม้ล้มลุกด้วยนะคะ ซึ่งคนปลูกก็ไม่ใช่ใครอ่ะค่ะ แม่พิมเอง ^^ (แม่พิมเป็นแม่ช่างปลูกค่ะ หุหุ) ........ อย่างนี่ก็ฟักทองค่ะ เก็บไปกินแล้ว 2 ลูกใหญ่ ลูกนี้เป็นลูกที่ 3 (แต่ยังไม่มีลูกที่ 4 อ่ะ) เนื้อเหนียว สีเหลืองสวยดีอ่ะค่ะ
ส่วนนี่ก็หน่อกระวานนะคะ ตัดต้นไปแกะเอาแต่ไส้ใน แกงกับหมูกับไก่ อร่อยมากค่ะ
และนี่ก็เห็ดหูหนูนะคะ ขึ้นเองตามธรรมชาติอยู่บนตอต้นเงาะเก่า ๆ ตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมาเลยค่ะ ....... (ด้วยความที่เค้าขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่ได้บำรุงอะไร ไม่ได้ดูแล เนื้อเห็ดเค้าก็เลยจะค่อนข้างบางมาก แต่หอมแล้วก็กรุบ ๆ ดีอ่ะค่ะ)
ส่วนนี่ก็ดงมะเขือสุดรักสุดหวง 1 ใน 3 ดงที่ทำเงินให้แม่เค้าอาทิตย์ละ 3-400 บาทเลยนะคะ
ซึ่งเจ้ามะเขือที่ว่าเนี่ย เป็นมะเขือพันธุ์อะไรพิมก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เดิมไม่ได้ลูกเล็กขนาดนี้ แต่พอปลูกไปปลูกมาเหมือนมันกลายพันธุ์ค่ะ กลายเป็นมะเขือที่ลูกเล็กจิ๋ว (ลูกที่ใหญ่สุด มีความอ้วนประมาณหลอดยาดมตราโป๊ยเซียนหลอดยาวๆ) เนื้อเยอะ เมล็ดน้อย รสชาติดี และที่สำคัญมันกรอบมากๆ เลยอ่ะค่ะ
ก็เลยทำให้เวลาแม่พิมเก็บมาขายที่กรุงเทพฯ ขายดีมากๆ ถึงขนาดมีคนสั่งจองล่วงหน้าด้วยนะคะ ^^
นี่ค่ะดูกันชัดๆ ลูกเล็ก เนื้อเยอะ และกรอบมากจริง ๆ แค่เอามาล้างน้ำให้สะอาด (ไม่ต้องล้างเยอะ เพราะไม่ได้ฉีดยาอะไร) เด็ดขั้วทิ้งไป แล้วเอามาจิ้มน้ำพริกกะปิ จิ้มเต้าเจี้ยวหลน ปลาร้าหลน ..... แค่นี้ก็อร่อยสุดยอดแล้วอ่ะค่ะ ^^
นอกเหนือจากฟักทอง และมะเขือแล้ว ที่บ้านสวนของพิมก็ยังปลูกพริกกับมะนาวด้วยนะคะ .......... สำหรับมะนาวเนี่ย ที่บ้านพิมก็ปลูกไว้เป็นสิบต้นใหญ่ ๆ เหมือนกันค่ะ ซึ่งส่วนนึงก็เก็บเอามาใช้ทำอาหารกินกันภายในครัวเรือนนี่แหละค่ะ แต่ถ้าช่วงไหนเยอะๆ ก็จะเก็บเอาไปขาย ซึ่งก็จะขายดีไม่แพ้ผักผลไม้อย่างอื่นเลยค่ะ เพราะว่าแม่พิมเค้าจะเก็บมะนาวที่แก่เต็มที่แล้ว ไม่เก็บมะนาวอ่อนไปขาย เพราะงั้นคนที่ซื้อไปจึงสบายใจได้อย่างแน่นอนค่ะว่า เป็นมะนาวที่มีน้ำอ่ะค่ะ ^^ ........ (ใจเค้าใจเราอ่ะนะคะ ถ้าเราเป็นคนซื้อเราก็ไม่อยากได้มะนาวอ่อนเหมือนกันอ่ะค่ะ)
ป.ล. จริง ๆ ผักอื่นๆ อย่างถั่วสารพัดถั่ว คะน้า ผักกาดเขียว ตำลึง ผักเลื้อย ๆ ทั้งหลาย ก็ปลูกค่ะ แต่หน้าผลไม้นี่ไม่ได้ปลูกอ่ะ เพราะไม่มีเวลาดูแล
ส่วนพริกที่บ้านพิมก็ปลูกไว้หลายพริกเหมือนกันค่ะ ไม่ว่าจะพริกชี้ฟ้า พริกหนุ่ม พริกขี้หนูแดงเม็ดใหญ่ แบบว่าแม่พิมเค้าปลูกไปเรื่อยๆ อ่ะค่ะ .... แต่ที่ปลูกมากสุดก็เห็นจะเป็นพริกขี้หนูสวนพันธุ์พื้นเมืองของจันทบุรีค่ะ ซึ่งพริกขี้หนูพันธุ์นี้เนี่ย ไม่ว่าเม็ดจะเล็กหรือใหญ่ (ต้นสาวเม็ดใหญ่ ต้นแก่เม็ดเล็ก) ก็จะเผ็ดและหอมกว่าพริกขี้หนูพันธุ์อื่น ๆ อ่ะค่ะ ...... เพราะนั้นปลูกพริกพันธุ์นี้ ขายได้ดีแน่นอนค่ะ
และก่อนที่ฟ้าจะมึด (เพราะตอนนี้มัน 6 โมงเย็นแล้วอ่ะค่ะ) พิมก็ขอพาเพื่อนๆ แว๊บไปดูธรรมชาติเล็ก ๆ น้อย ๆ รอบสวนบ้านพิมกันอีกสักนิด ก่อนที่พิมจะกลับเข้าบ้าน เพื่อไปช่วยน้องชายขนของขึ้นรถกลับกรุงเทพฯ ..... กันนะคะ
ภาพนี้ ..... เป็นสระน้ำ (บ่อน้ำ) 1 ใน 4 สระของสวนใหญ่อ่ะค่ะ ซึ่งเห็นผิวน้ำเรียบ ๆ แบบนี้ ขอบอกว่าในบ่อนี้มีปลาจีนตัวใหญ่มาก ขนาดเล็กกว่าถังผงซักฟอกที่ขายตามห้าง ถังละ 8-9 โลนิดนึงอยู่ 2 ตัว เคยมีคนเข้ามาพยายามจะขโมยหลายครั้งตอนช่วงที่แม่พิมกลับมาขายของที่กุรงเทพฯ แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถเอาไปได้ค่ะ
ภาพนี้ ... เป็นภาพเจ้าเขียด (หรือตะปาดหว่า) ที่เกาะอยู่บนยอดหญ้าแถวใต้ต้นมะนาว ใกล้ ๆ กับต้นกระท้อนต้นใหญ่ในภาพด้านบนอ่ะค่ะ ... แบบว่าเค้าดูเชื่องมาก พิมเอายอดหญ้าไปเขี่ย ๆ ที่หลังเค้าตั้งนาน เค้ายังไม่กระโดดหนีเลยค่ะ ^^" (แต่สักพักเค้าก็กระโดดไปล่ะอ่ะ)
ส่วนภาพนี้ก็เป็นภาพ 1 ในกล้วยไม้สุดรักสุดโปรดของพิมค่ะ เอื้องครั่งสายยาว ช่อสุดท้ายประจำปีนี้แล้ว ... ซึ่งเจ้าเอื้องครั่งสายยาวต้นนี้เนี่ย พิมซื้อมาปลูกที่กรุงเทพฯ เมื่อประมาณ 7-8 ปีก่อนค่ะ (สมัยนั้นบ้ากล้วยไม้มากๆ) แต่ว่าพอความบ้าหายไป พิมก็ยกกระเช้ากล้วยไม้ทั้งหมดประมาณ 20-30 กระเช้า มาให้แม่เลี้ยงที่บ้านสวนแทนอ่ะค่ะ
ส่วนกอนี้พิมก็ยกมาให้แม่เลี้ยงเมื่อหลายปีที่แล้วอีกเหมือนกันค่ะ (อย่าถามนะคะว่าต้นนี้ชื่ออะไร พิมจำไม่ได้ค่ะ)
ส่วนต้นนี้น่าจะเป็นเอื้องกุหลาบนะคะ (ถ้าจำไม่ผิดอีกอ่ะ) แต่หากผิดพลาดประการใดก็ทักท้วงกันด้วยนะคะ ^^
ส่วนกอสุดท้ายที่จะนำมาแนะนำในวันนี้ ก็คือเจ้าเอื้องตัวนี้ค่ะ ซึ่งเจ้าเอื้องตัวนี้เนี่ยเมื่อก่อนกอใหญ่มากค่ะ ปีๆ นึงออกช่อแบบดอกตรึม ๆ ดอกแน่นๆ ไม่ต่ำกว่า 20-30 ช่อทุกี แต่มาเมื่อหลายเดือนก่อน ช่วงจังหวัดที่แม่กลับมาขายของที่กรุงเทพฯ เจอมือดีเข้าไปแซะเอื้องกอนี้จากต้นกระท้อน หายไปเกือบหมดกอเลยค่ะ เหลือแต่เศษเสี้ยวที่หล่นตามพื้นอยู่นิดหน่อย แม่พิมก็เลยเก็บเค้ามาเลี้ยงอย่างประคบประหงม และเค้าก็เลยตอบแทนเราด้วยการออกช่อ (ที่ไม่สมบูรณ์เอาซะเลย) มาให้ชื่นชม 2 ช่ออ่ะค่ะ
ป.ล. จริง ๆ ยังมีกล้วยไม้ป่าอีกเยอะค่ะในสวน ทั้งที่พิมหามาปลูก และที่ขึ้นตามธรรมชาติ แต่ช่วงที่ไปนี่เค้าไม่มีดอกเลย ไว้วันไหนไปแล้วตรงกับช่วงเค้าออกดอก พิมจะค่อยถ่ายรูปมาฝากอีกทีนะคะ
และหลังจากที่พิมตระเวนถ่ายรูปผัก ผลไม้จนทั่วสวนแล้ว ..... ประมาณ 6 โมงเย็นกว่า ๆ พิมก็ได้ฤกษ์กลับเข้าบ้านล่ะค่ะ
ป.ล. ช่วงหน้าร้อนของที่บ้านสวนนี่ 6 โมงเย็นกว่าๆ ก็ยังไม่มึดเลยอ่ะค่ะ
ซึ่งช่วงระหว่างที่เดินกลับไปถึงบ้านเนี่ย สวนข้าง ๆ เค้ากำลังเอาเงาะลังที่ตัดไว้มาขายส่งให้ที่บ้านพิมพอดีเลยค่ะ (บ้านพิมนอกจากเอาของที่สวนตัวเองปลูกไว้แล้ว ก็ยังรับซื้อของสวนเพื่อนบ้าง ที่เค้าปลูกไว้ แต่ไม่สะดวกออกไปขายข้างนอกอ่ะค่ะ)
ก็ไม่มากไม่น้อยค่ะ ประมาณ 498 โล ๆ ละ 23.50 บาท ... แป๊บเดียวเจ้าของสวนก็รับไปเหนาะ ๆ แล้ว 11,703 บาทอ่ะค่ะ ^^ ซึ่งขอบอกว่าปีนี้เจ้าของสวนเงาะแห่งนี้โชคดีมากเลยค่ะ เค้าปลูกเงาะอย่างเดียวมาหลายปีแล้ว (ไม่ได้ปลูกผลไม้อื่น) แต่ปีที่ผ่านๆ มา เค้าขายเงาะไม่ได้ราคาเลยค่ะ ต้นทุนค่าปุ๋ยค่าโน่นค่านี่สูงกว่าเงินที่ขายเงาะได้ซะอีก เลยทำให้เป็นหนี้อยู่มากพอควร แต่มาปีนี้เงาะของเค้าออกในช่วงที่ราคาเงาะกำลังแพง เพราะงั้นปีนี้เค้าเลยขายเงาะเบ็ดเสร็จแล้วได้เงินกว่า 5 แสนอ่ะค่ะ ภาษาชาวสวนก็เรียกว่าฟลุ๊คมาก ๆ เลย ... ซึ่งพิมก็ดีใจไปกับเค้าด้วยอ่ะนะคะ เค้าจะได้เอาเงินไปปลดหนี้ปลดสินซะทีค่ะ ^^
และเมื่อพิมรับเงาะ + จ่ายเงินค่าเงาะไปเสร็จเรียบร้อย แม่พิม น้องสะใภ้พิม น้ากับยายที่สวนข้างๆ ก็กลับเข้ามาที่บ้านพิมพอดีเลยอ่ะค่ะ ^^ ซึ่งพอถึงที่หน้าบ้านพิมแล้ว น้ากับยายสวนข้าง ๆ ก็ขอแยกกลับไปจัดการเรื่องกับข้าวกับปลาให้ลูกหลานที่บ้านก่อน ส่วนแม่พิมกับน้องสะใภ้พิม เค้าก็ขอยืนกำเงาะช่อที่เก็บมาจากต้นตรงทางออกสวนเมื่อสักครู่นี้กันอีกแป๊บนึงอ่ะค่ะ
ระหว่างนี้พิมเลยขอเก็บภาพถนนหน้าสวนไว้เป็นที่ระลึกอีกนิดหน่อยอ่ะค่ะ (เพราะปีนึงมาแค่ 2-3 ครั้งเองเน๊าะ)
หลังจากเก็บภาพที่ระลึกด้านบนเสร็จ พิมก็เดินเข้ามาในบ้าน มาจัดการข้าวปลาอาหารให้แม่และน้องๆ อีกมื้อนึงค่ะ (แกงเลียงฟักทองอ่อน กับหมูผัดพริกหยวก) ..... หลังจากจัดการเรื่องอาหารเสร็จ พิมก็ไปอาบน้ำ แล้วก็มานั่งพักดูทีวีอยู่บนที่นอนของน้องชายอ่ะค่ะ (อยู่กรุงเทพฯ แทบไม่เคยดูทีวีเลย มาดูที่บ้านสวนนี่แหละค่ะ) จากนั้นพิมก็ผล๊อยหลับไปซะงั้นค่ะ รู้สึกตัวอีกที ...... อ่าว 3 ทุ่มแล้วเหรอเนี่ย ก็เลยวิ่งหน้าตื่นออกไปดูน้องชาย 2 คนที่กำลังขนผลไม้ขึ้นรถกันอยู่ พร้อมถามว่ามีอะไรให้พี่ช่วยไหม แต่น้องชายทั้งสองก็บอกว่า "นั่งเฉย ๆ อ่ะดีแล้วพี่" ........... >_<"
ด้วยเหตุที่เจ้าน้องชาย 2 คนพูดอย่างนั้น พิมก็เลยไม่มีงานมีการอะไรทำในช่วง 3 ทุ่มนี่ค่ะ เลยเดินเรื่อยเปื่อยไปรอบ ๆ กองผลไม้ที่ยังไม่ได้เอาขึ้นรถนั่นแหละ ก็พบว่ามีลองกองเข่งเล็ก ๆ เข่งนึงมาตั้งอยู่หน้าประตูบ้าน (เข่งประมาณ 10 โล) พิมก็เลยไปถามแม่ว่าเข่งนี้มันมาจากไหน ใครเก็บมาตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ แม่ก็บอกพิมว่าก็ไปตัดกันตอนที่พิมกำลังนอนหลับนั่นแหละ >_<" แบบว่าน้องชายเค้าเดินผ่านต้นนี้ตอนเดินเข้าไปปิดตาน้ำในสวนช่วงหัวค่ำ แล้วเค้าลองเด็ดมาชิมดู 4-5 ลูก ปรากฎว่ามันหวานทุกลูกเลย ก็เลยมาบอกให้แม่ไปตัดมาอ่ะค่ะ
ดูสิค่ะ ... แบบว่าลูกใหญ่อวบอั๋น และพวงก็ใหญ่เต็มไม้เต็มมือพิมมากๆ เลยค่ะ ^^
และหลังจากพิมนั่งเล่นนอนเล่น (ประมาณ 2 ชม.) รอน้องชายทั้ง 2 เอาผลไม้ขึ้นรถและจัดการคลุมรถด้วยผ้าและเชือก ประมาณ 5 ทุ่มกว่า ๆ ทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อยอ่ะค่ะ
หลังจากนั้นน้องชายพิมทั้ง 2 เค้าก็ขอตัวไปอาบน้ำอาบท่า ปะแป้งเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัว
ก่อนที่พวกเราทั้งหมด 5 คนจะออกเดินทางจากบ้านสวนเมืองจันฯ เพื่อกลับบ้านของเราที่กรุงเทพฯ กันตอนประมาณเกือบ ๆ เที่ยงคืนน่ะค่ะ ......... และพิมก็ขอจบทริปพาไปเที่ยวบ้านสวนของพิมในปี 2554 นี้ ไว้ตรงนี้เลยนะคะ ยังไงมีอะไรพูดคุยทักทายกับพิมได้ค่ะ
...... และพบกับทริปบ้านสวนเมืองจันฯ อีกครั้งในปีหน้า 2555 นะคะ ......... สวัสดีทุกคน และขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดจ้า ^__^