เช้าวันนี้เป็นเช้าวันสุดท้ายของทริปจันทบุรี 3 วัน 2 คืน ของพิมแล้วนะคะ ขอบอกว่าแพลนของวันนี้เนี่ย ทั้งเที่ยวทั้งกิน แน่นและเด็ดไม่แพ้สองวันที่ผ่านมาเลยอ่ะค่ะ ^_^
หลังจากที่พิมกับคุณสามีลุกจากที่นอนและอาบน้ำอาบท่า แต่งตัวกันเรียบร้อยแล้ว ระหว่างรอเช็คเอ้าท์ พิมก็เดินมากินกาแฟเบา ๆ ที่หน้าฟร้อนท์ของโรงแรมอยู่แป๊บนึงนะคะ จากนั้นพอคุณพนักงานโรงแรมมาบอกว่าทุกอย่างโอเค พิมก็เริ่มลุยต่อล่ะค่า
แต่ก่อนจะไปเที่ยวไหน สิ่งแรกที่พิมกับคุณสามีจะต้องทำในวันนี้ ก็คือไปหาข้าวเช้าทานกันก่อนเน๊าะคะ ไม่งั้นเดี๋ยวไม่มีแรงเที่ยวอ่ะ ซึ่งร้านที่พิมเลือกจะไปกินข้าวเช้านี้เนี่ย ก็เป็นร้านข้าวแกงธรรมดาๆ ชื่อว่า "ร้านข้าวแกงแสนตุ้ง" แต่แอบไม่ธรรมดานิ๊ดดนึง ตรงที่มีเมนูแกงป่าหน่อสับปะรด ซึ่งเป็นเมนูอาหารพื้นบ้านของเมืองจันทบุรีอยู่ด้วยอ่ะค่ะ
ข้าวแกงของที่นี่เนี่ย จะแบ่งกับข้าวออกเป็น 2 โซนนะคะ โซนนึงที่อยู่ในตู้คือโซนแกงป่า ก็จะมีอาหารป่า อาหารพื้นบ้านของจันทบุรี อยู่ประมาณ 10 กว่าอย่างอ่ะค่ะ ส่วนอีกโซนจะเป็นโซนอาหารธรรมดาทั่วไป อย่างไข่พะโล้ ผัดผัก ไข่ลูกเขย ทอดมัน ไก่ทอด ซึ่งโซนนี้ก็จะมีอาหารอยู่ประมาณ 30 -40 ชนิดได้นะคะ (เยอะจริงงงงง)
เจ้มล เจ้าของร้านแกงป่าเล่าให้พิมฟังว่า บรรดาอาหารต่างๆ เนี่ย ก็ได้ฝึกฝีมือมาจากแม่เจ๊มลที่เคยทำอาชีพขายข้าวแกงมากว่า 60 ปีนะคะ โดยแม่เนี่ยก็ได้ถ่ายทอดวิชาความรู้เกี่ยวกับการทำอาหารให้ลูกสาวทั้ง 3 คนได้เอาไปประกอบอาชีพกัน หนึ่งในนั้นก็คือเจ๊มลนี่แหละค่ะ
เจ๊มลบอกว่าเอกลักษณ์ของแกงป่าแสนตุ้ง ก็คือแกงป่าใส่หน่อสับปะรด ซึ่งลูกค้าชอบกันมากๆ นะคะ โดยเจ๊มลบอกว่าวัตถุดิบที่นำมาทำอาหารเนี่ย ไม่ว่าจะเนื้อสัตว์หรือพืชผัก สมุนไพรต่าง ๆ เจ๊เน้นใหม่สด กะปิก็ต้องเลือกกะปิอย่างดีที่หมักนานเกิน 1 ปี ที่สำคัญแกงของเจ๊เป็นแกงทำสด ขายกันวันต่อวัน เพราะงั้นรับประกันเรื่องความสดใหม่ และความอร่อยได้เลยอ่ะค่ะ
และหลังจากฟังเจ๊มลเล่าเรื่องแกงป่าให้ฟังแล้ว ก็ถึงเวลาชิมล่ะนะคะ (พิมสั่งมาเป็นแกงป่าหน่อสับปะรดกับหมู) ซึ่งหลังจากได้ชิมแล้วอยากบอกว่าแกงป่าเจ๊มลรสชาติจัดจ้านถึงใจ ดีจริง ๆ เลยค่ะ น้ำพริกแกงซึ่งเจ๊แกจะผสมเองทุกๆ เช้า มีความหอมเฉพาะตัว มีกลิ่นลูกผักชีไร่ กระวาน ข่า เร่ว รวมกันแล้วเป็นแกงป่าที่รสชาติดีงามมากเลยอ่ะ
แต่ขึ้นชื่อว่าแกงป่า ก็ต้องมีความเผ็ด อยากบอกว่าแกงเจ๊มลนอกจากจะจัดจ้านมาก แล้วก็ยังเผ็ดมากอีกด้วยค่ะ แต่ว่าถ้าใครไม่มีปัญหาเรื่องทานเผ็ดล่ะก็ แนะนำเลยนะคะ มาจันทบุรี ต้องมากินข้าวแกงแสนตุ้งของเจ๊มลค่ะ
กินแกงป่าเจ๊มลพอได้แรงแล้ว ก็ลุยกันต่อดีกว่าค่ะ จุดหมายต่อไปของพิมอยู่ที่น้ำตกพลิ้วนะคะ เป็นน้ำตกที่พิมอยากมานานมากๆ แล้ว แต่เพิ่งได้มีโอกาสมา ก็วันนี้แหละค่ะ -*-
น้ำตกพลิ้วเป็นน้ำตกที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้วนะคะ น้ำตกแห่งนี้เนี่ยมีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ใน 3 อำเภอ คืออำเภอแหลมสิงห์ อำเภอขลุง และก็อำเภอมะขามอ่ะค่ะ แล้วก็เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามตามธรรมชาติ เข้าถึงง่าย และที่สำคัญคือ มีน้ำไหลตลอดปีเลยจ้า
อันดับแรกก่อนเข้า ซื้อบัตรก่อนนะคะ คนละ 40 บาทเท่านั้น แต่เที่ยวได้ทั้งวันเลยค่ะ ^_^
จากจุดซื้อบัตร หากใครไม่อยากเดิน หรือแข้งขาไม่ดีอย่างพิม - -" (ไม่ค่อยดีหรือขี้เกียจเนี่ยยยย) ก็สามารถใช้บริากรรถกอล์ฟเข้าไปจอดใกล้ ๆ ตัวน้ำตกได้ ค่าบริการคนละ 10 บาทเท่านั้นเองนะคะ แต่พิมว่ามาถึงที่นี่แล้ว เดินเอาดีกว่า แค่ประมาณ 100 เมตรเอง ที่สำคัญธรรมชาติระหว่างทางสวยมากมาก มีทั้งต้นไม้เล็ก ต้นไม้ใหญ่ มีทั้งไม้เลื่อย ไม้ดอกสวยงาม เฟิร์นต่างๆ เรียกว่าไม่อยากให้พลาดเลยจริง ๆ อ่ะค่ะ
น้ำตกพลิ้วเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ ที่ประกอบด้วยสายธารสองสาย และก็มีหน้าตาน้ำตกสูงประมาณ 20 เมตรนะคะ และในแอ่งน้ำตกก็จะมีปลาชนิดนึงที่เรียกว่า "ปลาพลวงหิน" อาศัยอยู่มาก มากขนาดที่เรียกว่านับนิ้วกันไม่ถ้วนเลยเลยค่ะ ^_^
ปลาพลวงหินเป็นปลาที่พบได้ในแหล่งน้ำธรรมชาติทั่วไปนะคะ เป็นปลาที่ชอบอากาศเย็น ชอบน้ำเย็นๆ แบบที่พื้นน้ำเป็นพื้นทราย ลึกประมาณ 5- 10 เมตร ปลาพลวงโดยทั่วไปจะกินทั้งเศษพืช สัตว์น้ำตัวเล็ก ๆ และพวกเศษอาหาร แต่ขอบอกว่าปลาพลวงที่นี่พิเศษกว่าที่อื่น เพราะชอบกินถั่วฝักยาวมากอ่ะค่ะ ^_^ เพราะงั้นสมัยก่อนเค้าก็เลยมีบริการขายถั่วฝักยาวที่ด้านหน้าทางเข้า นักท่องเที่ยวก็ซื้อมาให้อาหารปลากันสนุกสนานนะคะ แต่เมื่อประมาณปลายปีที่แล้ว มีการตรวจสอบพบว่า ถั่วฝักยาวเป็นสาเหตุทำให้ปลาพลวงบางตัวตาบอด ก็เลยมีการยกเลิกไปอ่ะค่ะ -*-
พิมใช้เวลาเล่นน้ำอยู่ที่น้ำตกพลิ้วประมาณ 2 ชม. กว่า ๆ ก็เริ่มหิวแล้วเน๊าะคะ - -" ประกอบกับดูนาฬิกาแล้วก็พบว่าใกล้เที่ยงแล้ว (คือแบบว่าเพลิดเพลินมากจนไม่รู้เวลาเลยจ้า) เลยชวนคุณสามีว่าออกไปหาอะไรกินกันเป็นมื้อกลางวันเถอะค่ะ ^_^
จากน้ำตกพลิ้ว ขับรถออกมาประมาณ 10 นาที เราก็จะเจอกับร้านขาหมูลุงเสียงนะคะ .. ร้านนี้เนี่ยเป็นร้านที่ตอนแรกพิมไม่ได้ตั้งใจจะมา แต่พอคนในพื้นที่รู้ว่าพิมจะมาน้ำตกพลิ้ว ก็บอกพิมว่าอย่าลืมแวะมาร้านนี้ให้ได้ค่า
ร้านลุงเสียงจริง ๆ แล้วมีก๋วยเตี๋ยวขายมากมายหลายอย่างเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวหมูเลียง ก๋วยเตี๋ยวเนื้อเปื่อย ก๋วยเตี๋ยวหมูธรรมดา แต่ก๋วยเตี๋ยวที่เป็นที่นิยมมากสุดของลุงเสียงก็คือ ก๋วยเตี๋ยวขาหมู เพราะงั้นแล้วหลาย ๆ คนก็เลยเรียกร้านนี้ว่าก๋วยเตี๋ยวขาหมูลุงเสียงอ่ะค่ะ
ว่าแล้วมาถึงร้านลุงเสียง จะไม่สั่งก๋วยเตี๋ยวขาหมูก็คงไม่ใช่ที่ จัดมาเบา ๆ ก่อนกับเล็กขาหมูธรรมดา 1 ชามนะคะ
จากนั้นก็ตามมาด้วยเล็กหมูรวมทุกอย่าง อีก 1 ชามอ่ะค่ะ
ส่วนชามนี้เป็นใหญ่หมูรวมทุกอย่างเหมือนกัน แต่เป็นแบบแห้งนะคะ
ส่วนชามสุดท้ายที่สั่งมาลอง ก็จะเป็นหมี่ขาหมูธรรมดาอ่ะค่ะ
ซึ่งถ้าเพื่อน ๆ นึกไม่ออกว่าก๋วยเตี๋ยวขาหมูเป็นยังไง ขอให้นึกถึงรสชาติของข้าวขาหมูเอาไว้นะคะ รสชาติจะพอ ๆ กัน คล้ายกัน แต่ถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยว รสชาติจะอ่อนกว่า มีการใส่เครื่องเทศที่น้อยกว่า รวม ๆ แล้ว ...... อร่อยแบบไม่ผิดหวังเลยอ่ะค่ะ ที่สำคัญราคาถูกมาก ชามละ 30-45 กินกันจนอิ่มอืดแล้ว 2 คนยังจ่ายไปแค่ร้อยกว่าบาทเองจ้า
แล้วที่ร้านเตี๋ยวขาหมูลุงเสียง นอกจากจะมีก๋วยเตี๋ยวขาหมูที่อร่อยแล้ว ก็ยังมีทุเรียนหมอนทองกวนด้วยนะคะ เป็นแบบหวานน้อยไม่ใส่น้ำตาล พิมลองซื้อมากินแล้ว เค้ากวนได้ดีเลยค่ะ ไม่เละ ไม่แหยะ พิมซ์้อมาครึ่งค่อนเดือนแล้ว (เก็บในตู้เย็น) ก็ยังอร่อยเหมือนเดิมจ้า
จากร้านก๋วยเตี๋ยวลุงเสียง ... พิมขอแวะไปกินผลไม้สด ๆ ที่สวนสาวสุดใจก่อนกลับกรุงเทพฯ สักหน่อยอ่ะค่ะ
จริง ๆ สวนผลไม้ที่จันทบุรีนี่มีเยอะนะคะ ไม่ว่าจะเป็นสวน KP Garden สวนเจริญชัย สวนโถทอง สวนผู้ใหญ่คำนึง สวนป้าแกลบ .... ใจจริงพิมอยากไปที่อีกสวนนึงค่ะ เป็นสวนที่มีทุเรียนพันธุ์นวลทองจันท์ ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างทุเรียนพันธุ์หมอนทอง กับทุเรียนพันธุ์พวงมณีอยู่ด้วย แต่ปรากฎว่าปีนี้ทุเรียนพันธุ์นี้ออกน้อยมาก แถมช่วงที่พิมไป ก็ไม่ใช่ช่วงของทุเรียนพันธุ์นี้ด้วย พิมก็เลยเปลี่ยนเป็นสวนอื่น ที่เดินทางสะดวกกว่า ใกล้กับน้ำตกพลิ้วมากกว่าแทนอ่ะค่ะ ^_^
สวนสาวสุดใจ เป็น 1 ใน 14 สวนผลไม้ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวในเชิงการเกษตรที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปชมสวนผลไม้พร้อมกับชิมผลไม้ในสวนได้อ่ะนะคะ สวนสาวสุดใจเป็นสวนที่มีพื้นที่ประมาณ 7 ไร่ มีต้นทุเรียน มังคุด ลองกอง อย่างละเกือบ 100 ต้น และเงาะอีกประมาณ 20 ต้นอ่ะค่ะ
ภายในสวนสาวสุดใจ นอกจากจะเป็นพื้นที่ขายผลไม้ที่เป็นผลผลิตของทางสวนเองแล้ว ก็ยังมีพื้นที่ ๆ ให้บริการบุฟเฟท์ผลไม้อีกด้วยนะคะ โดยในปีที่ผ่าน ๆ มาเนี่ย บุฟเฟท์ผลไม้ของที่นี่จะมีราคาเดียวอ่ะค่ะ แต่เนื่องจากว่าปีนี้ทุเรียนออกน้อยมาก และราคาสูงมากกกกก ทำให้ปีนี้บุฟเฟท์ผลไม้ของที่นี่่เลยต้องแบ่งออกเป็น 3 ราคานะคะ นั่นก็คือ บุฟเฟท์ผลไม้ทุกอย่าง ยกเว้นทุเรียน หัวละ 200 / บุฟเฟท์ผลไม้ + ทุเรียน 1 พู หัวละ 300 และบุฟเฟท์ผลไม้ทุกอย่าง รวมทุเรียนด้วย หัวละ 500 บาทอ่ะค่ะ ซึ่งพิมว่าก็ยุติธรรมดีนะคะ ไม่กินทุเรียนก็ไม่ต้องจ่าย หรืออยากกินทุเรียนมากๆ ก็จ่ายมากหน่อยอ่ะค่ะ ^_^
พิมไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดยังไง แต่เท่าที่พิมได้ลองเดินดู บุฟเฟท์ผลไม้ของที่นี่ผลไม้สดมากค่ะ และสดกว่าสวนอื่น ๆ ที่พิมเคยได้ไปกินมานะคะ บุฟเฟท์ผลไม้ที่นี่จะไม่มีสละแบบแห้งเหี่ยว ลองกองเปลือกดำ เงาะขนดำ หรือมังคุดเปลือกร้าว ..... และเท่าที่พิมหยิบมาลองกินประมาณ 10 กว่าลูก กินได้ทุกลูกเลยอ่ะค่ะ (แต่ก็ต้องยอมรับว่า ความสดน้อยกว่าแบบซื้อกินเองแน่นอน)
ปล. เจ้าของสวน เค้าไม่รู้นะคะว่าพิมจะเข้าไปถ่ายภาพ และพิมจะมาทำรีวิว ก็เลยไม่มีการจัดฉากอะไรอ่ะค่ะ
แต่ถ้าเพื่อนๆ คนไหนไม่อยากทานบุฟเฟท์ผลไม้ หรือทานผลไม้ในบุฟเฟท่์แล้วรู้สึกถูกใจ อยากซื้อกลับไปฝากคนที่บ้าน ก็สามารถซื้อได้ที่โซนหน้าสวนเลยนะคะ สนนราคาก็ไม่ต่างกับราคาตามตลาดสดในกรุงเทพฯ มากสักเท่าไหร่ อาจจะราคาสูงกว่า 5 บาท 10 บาท ซะด้วยซ้ำ แต่ที่ต่างกันแน่ ๆ ก็คือเรื่องของความสดอ่ะค่ะ ^_^
และเมื่อช๊อปปิ้งผลไม้กันทีสวนสาวสุดใจจนเต็มรถแล้ว ก็ได้เวลาที่จะเดินทางกันต่อไปล่ะค่า
จากสวนสาวสุดใจ พิมกับคุณสามีมุ่งหน้าไปที่แถววัดบางสระเก้า ซึ่งเป็นทางผ่านระหว่างที่พิมจะเดินทางกลับบ้านที่กรุงเทพฯ นะคะ
ที่หน้าวัดบางสระเก้า จะมีตลาดเล็ก ๆ เป็นตลาดชาวบ้านอยู่ตลาดนึงอ่ะค่ะ และที่ตลาดแห่งนี้เนี่ย ก็จะมีชาวบ้านเอาของสด ของแห้งมาขายกันนับเป็นสิบยี่สิบเจ้าเลยนะคะ
ไม่ว่าจะเป็นพืชผักผลไม้อย่าง มะม่วงหลากหลายพันธุ์ เงาะ สละ ระกำ ทุเรียน มะพร้าวอ่อน มะพร้าวแก่ มะละกอ ผักบุ้ง ผักหนาม ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด สะตอ หน่อกระวาน ฟัก ถั่ว หรือผักสวนครัวที่ชาวบ้านปลูกเองอ่ะค่ะ ^_^
แล้วก็ยังมีอาหารทะเลสด ๆ อาหารทะเลแห้งๆ อย่างปลาตัวเล็กตัวน้อย กุ้งแชบ๊วย ปลาเค็ม หอยดอง กุ้งแห้ง หมึกแห้ง กะปิ น้ำปลา อีกด้วยนะคะ ^_^ ซึ่งขอบอกเลยว่านอกจากของแถวนี้จะสดกว่าของที่ขายตามตลาดทั่วไปแล้ว ก็ยังราคาถูกกว่าเยอะเลยอ่ะค่ะ (อันหลังนี่สำคัญสุดๆ) อย่างหน่อกระวาน ข้างนอกขายต้นละ 10 บาท ที่นี่ขาย 3 ต้น 10 หรืออย่างส้มจี๊ด ข้างนอกขายครึ่งถุง 20 แต่ที่นี่เต็มถุง ก็ 20 เท่ากันอ่ะค่ะ หรืออย่างกุ้งลายเสือตัวโต ๆ ที่อยู่ในมือพิม ข้างนอกอาจจะ 6-700 ร้อยบาทต่อกิโล แต่ที่นี่ 400 บาทต่อกิโลเท่านั้นเองนะคะ เพราะนั้นถ้าเพื่อนๆ มาแถวน้ำตกพลิ้ว แล้วจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในวันนั้น ลองมาแวะที่ตลาดแห่งนี้ดู อาจจะได้ของติดไม้ติดมือกลับกรุงเทพฯ ไปเพียบเลยก็ได้ค่ะ ^_^
จากตลาดวัดบางสระเก่า ตอนแรกพิมกะว่าจะขับรถเลียบริมทะเล แล้วก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ เลย เพราะไม่อยากจะกลับดึกมากนะคะ แบบว่าพรุ่งนี้มีงานต่ออ่ะ แต่ระหว่างทาง จังหวะที่ผ่านริมทะเลชายหาดแหลมสิงห์ พิมก็ได้ยินเสียงคลื่นเบา ๆ เห็นหาดทรายขาว ๆ ก็เลยอดลงไปโบกมือบ๊ายบาทะเลสักนิดไม่ได้อ่ะค่ะ ^^"
ชายหาดแหลมสิงห์ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำจันทบุรี หรือที่เรียกกันว่าปากน้ำแหลมสิงห์นะคะ ชายหาดแห่งนี้เนี่ย เป็นชายหาดที่เต็มไปด้วยต้นสนจำนวนมาก ขึ้นยาวเรียงรายกันไปตามหน้าหาดที่มีระยะทางกว่า 1.5 กิโลเมตรอ่ะค่ะ ซึ่งในสมัยก่อนเนี่ยก็จะมีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งร้านขายอาหาร พร้อมเก้าอี้ผ้าใบเยอะแยะมากมายเลยนะคะ (พิมดูจากรีวิวของคนอื่นๆ) แต่เหมือนปัจจุบันชายหาดแห่งนี้จะได้รับความนิยมน้อยลง ตอนที่พิมไป ก็เลยไม่ค่อยมีร้านค้า และไม่ค่อยมีเก้าอี้ผ้าใบเลยอ่ะค่ะ >_< (แต่ก็ดีไปอีกแบบนะคะ)
แล้วระหว่างที่พิมเดินเล่นซึมซับบรรยากาศชิว ๆ อยู่ริมทะเล พิมก็เห็นว่ามีคนหลายกลุ่มเดินก้ม ๆ เงย ๆ เอามือคุ้ยทรายเป็นระยะ ๆ แล้วพอเหมือนเจออะไรในทรายสักอย่าง ก็หยิบใส่กระป๋องหรือถุงที่ถือติดมือมาด้วยอ่ะค่ะ O_O
พิมก็เลยเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็พบว่าสิ่งที่พิมสงสัย มันคือ #หอย นั่นเองนะคะ คุณลุงคนในภาพด้านบนเล่าให้พิมฟังว่า ที่หาดทรายแห่งนี้ยังมีหอยอยู่เยอะค่ะ ไม่ว่าจะหอยแครง หอยครง หอยลาย และหอยขาวนะคะ ซึ่งชาวบ้านแถวนี้เนี่ย พอหลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน ถ้ามีเวลาว่าง ก็มักจะชวนครอบครัวมาขุดหอยกันอ่ะค่า
พิมเลยถามคุณลุงว่า แล้วครั้งนึงเก็บกันได้มากน้อยแค่ไหนนะคะ คุณลุงก็บอกว่า ไม่มากอที่จะเอาไปขายได้ แต่ก็มากพอจะทำอาหารกินได้มื้อสองมื้อเลยอ่ะ แถมคุณลุงยังชวนพิมอีกว่า มาลองเก็บหอยดูไหม ซึ่งพิมก็สนใจนะคะ แต่ลองเดินดูประมาณ 5 นาที ไม่เจอหอยสักตัวเลย แต่คุณลุงกะคนอื่น ๆ เก็บได้คนละหลายสิบตัวเลย ฮ่าๆ ดูแล้วท่าทางพิมคงไม่เหมาะเก็บหอย .. ซื้อหอยเค้ากินอย่างเดิมอ่ะดีแล้วค่า >_<
จากชายหาดแหลมสิงห์ พิมกับคุณสามีก็ขอแวะไปเติมกาแฟใส่ท้องแบบเบา ๆ ที่ร้าน KAYS สักหน่อยก่อนจะขับรถยิงยาวกลับกรุงเทพฯ นะคะ (ปกติพิมไม่ค่อยกินกาแฟนะ แต่เวลาเดินทางมักต้องกิน - -")
ซึ่งที่ร้าน KAYS เนี่ย นอกจากกาแฟแล้ว เค้าก็ยังมีขนมหน้าตาน่ากินหลายอย่างด้วยอ่ะค่ะ คุณสามีพิมก็เลยสั่งมาลองชิมซะ 1 อย่าง นะคะ
เมื่อโด๊ปกาแฟเสร็จแล้ว เพื่อไม่ให้กลับถึงบ้านดึกเกินไป (มีน้องงานรออยู่ >_<) ก็ได้เวลาเดินทางกลับกรุงเทพฯ จริงจังล่ะค่า ^_^
และแล้วทริป #เที่ยวไปชิมไปแบบสบาย ๆ ที่จันทบุรี 3 วัน 2 คืน ของพิมก็จบลงอย่างสวยงามนะคะ ทริปนี้เนี่ยบอกเลยว่าเป็นอีกทริปที่พิมสนุกมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ และการได้ออกเดินทางไปยังสถานที่ใหม่ ๆ ได้ทำอะไรใหม่ ๆ ได้กินอาหารดี ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องราคาสูง ทำให้พิมและคุณสามีมีความสุขมากเลยอ่ะค่ะ เพราะงั้นแล้วหากเพื่อน ๆ พอจะมีเวลาบ้าง อาจจะแค่วันสองวัน ก็ลองออกไปเที่ยวกันดูนะคะ (ไม่รู้จะไปไหน ปรึกษาพิมได้นะ) .... เพราะงานนี้ #เที่ยวเมืองไทยไม่ไปไม่รู้จริง ๆ ค่ะ ^_^