เช้าวันนี้พิมแอบตื่นสายนิ๊ดดดนึงค่ะ ใจจริงตั้งใจว่าจะตื่นสัก 6 โมงเช้า มานั่งรับแสงแดดแบบเบาๆ แต่เพราะเมื่อคืนฝนตกหนักมาก อากาศเย็นสบายสุดๆ เช้านี้พิมก็เลยตื่นเอา 7 โมงกว่าเลยจ้า (อยู่กรุงเทพฯ ไม่เคยตื่นเวลานี้เล๊ยยยยยจริงๆ) ^^"
พอตื่นมาแล้ว พิมก็นึกได้ว่าเช้านี้พิมนัดกับคุณยายขายขนมเทียนแก้วคนนึงเอาไว้ ก็เลยรีบลุกไปล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วชวนคุณสามีขับรถไปหาคุณยายกันอ่ะค่ะ (พิมเจอคุณยายเมื่อเย็นวาน ขณะกำลังนั่งเจียรใบตองสำหรับห่อขนม ระหว่างที่พิมเดินเล่นอยู่ริมน้ำค่ะ)
จากที่พัก .... ประมาณสัก 10 นาที พิมก็ขับรถไปถึงร้านขายขนมเทียนแก้วของคุณยายที่พิมเจอเมื่อวานแล้วนะคะ ร้านอยู่บริเวณต้นชุมชนริมน้ำจันทบูร จริง ๆ เดินไปก็ได้ สบาย ๆ เลย ประมาณ 650 เมตร แต่พิมแพลนว่าจะไปหาอะไรอร่อยๆ กินแถวตลาดสดท่าใหม่ ก็เลยขับรถไปทีเดียวเลยเลยอ่ะค่ะ
พูดถึงขนมเทียนแก้ว พิมเชื่อว่าหลายคนน่าจะไม่รู้จักนะคะ ^^" ... ขนมเทียนแก้ว เป็นขนมที่ดูเผิน ๆ ภายนอกก็หน้าตาเหมือนขนมเทียนทั่วไปอ่ะค่ะ เพียงแต่จะอันเล็กกว่า ตัวแป้งจะใสๆ เพราะทำจากแป้งถั่วเขียว ส่วนไส้ก็จะทำจากถั่วเขียวกวนรสหวานๆ เค็ม ๆ อร่อยดีนะคะ โดยขนมของคุณยายเนี่ยเป็นสูตรโบราณมากๆ เพราะคุณยายบอกว่าทำขายมาหลายสิบปีแล้ว และไม่ได้ปรับสูตรเลยอ่ะค่ะ แต่คงความอร่อยเหมือนเดิมนะคะ ^_^
ปล. ขนมอันนี้ซื้อมาตุนไว้ก่อน แล้วไว้ดึก ๆ ค่อยแกะมากินค่า ^_^
จากขนมเทียนแก้ว พิมกับคุณสามีขับรถไปที่ตลาดท่าใหม่นิดนึงอ่ะค่ะ (แบบว่าอยากไปตั้งแต่เมื่อวานแหละ) ตลาดแห่งนี้เนี่ยเป็นตลาดแห่งความหลังของที่บ้านพิมเลยนะคะ เพราะสมัยก่อนตอนน้องชายพิมเรียนอยู่ประถมเนี่ย เค้าเรียนอยู่ที่โรงเรียนประถมยอแซฟใกล้ ๆ ตลาดท่าใหม่ แล้วทุกเช้าแม่ก็จะพาไปหาของกินอร่อย ๆ ที่ตลาดแห่งนี้เป็นประจำก่อนเข้าโรงเรียนเลยอ่ะค่ะ หรือบางทีพอส่งน้องเสร็จ แม่ก็จะแวะไปซื้อของสดอย่างผัก หรือปลาทะเล กลับไปทำอาหารกินที่บ้านด้วยนะคะ
ซึ่งของอร่อย ๆ ที่ตลาดนี้เนี่ย พิมบอกเลยค่ะว่ามีหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นปลาทูต้มเค็มหวาน หอยดอง ข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง เย็นตาโฟ ก๋วยเตี๋ยวทะเล เต้าหู้ทอด ตือฮวน กล้วยทอด เผือกทอด และหอยปากเป็ดดองเค็มหวานนะคะ
แต่ที่พิมอยากแนะนำที่สุด เพราะเป็นเมนูที่พิมว่ามันแปลก ไม่เคยเห็นที่ไหนทำแบบนี้ขายเลย ก็คือ #ปาท่องโก๋ที่ต้องกินคู่กับน้ำจิ้ม อ่ะค่ะ ^__^
คือปกติเวลาเรากินปาท่องโก๋ เราก็จะกินคู่กับชา กาแฟ โจ๊กอะไรประมาณนี้เน๊าะคะ แต่ที่นี้เนี่ย เค้ากินคู่กับน้ำจิ้มกันค่ะ สมัยตอนพิมยังเด็กๆ จะมีทั้งน้ำจิ้มแบบน้ำจิ้มใสออกรสหวานเปรี้ยว และน้ำจิ้มดำๆ ที่เหมือนน้ำจิ้มกุยช่ายด้วยนะคะ แต่ว่าในสมัยนี้เนี่ย เหมือนจะเหลือแต่น้ำจิ้มใสเท่านั้นค่ะ ^^
จะว่าไป ลำพังน้ำจิ้มใสก็ไม่ได้อร่อยโดดเด่นอะไรเลยนะคะ รสอออกจะแปร่ง ๆ ปร่าๆ ซะด้วยซ้ำ คือมันจะเปรี้ยวก็ไม่เปรี้ยว จะหวานก็ไม่หวาน แต่พอกินคู่กับปาท่องโก๋สูตรหนานุ่มแบบจันทบุรีแล้ว กลับเข้ากันได้ดี และอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อเลยอ่ะค่ะ เรียกว่าถ้าได้กินปาท่องโก๋จิ้มน้ำจิ้มของที่นี่ เราจะลืมปาท่องโก๋จิ้มชา กาแฟ ไปชั่วขณะเลยอ่ะค่า ^_^
ที่สำคัญปาท่องโก๋ที่นี่ถูกมากก.ก.ก.กก.. เห็นในภาพตัวใหญ่ ๆ อย่างนั้น ตัวละ 2 บาทเองนะคะ ที่สำคัญ 2 บาทนี่แถมน้ำจิ้มด้วยจ้า (กินปาท่องโก๋ 10 บาทก็อิ่มแหละ >_<)
หลังจากรองท้องด้วยปาท่องโก๋กันไปเรียบร้อยแล้ว พิมก็อยากจะชวนเพื่อน ๆ ไปหาอะไรกินเป็นอาหารเช้าแบบจริงจังกันสักหน่อยนะคะ กับ เย็นตาโฟอร่อย ๆ ที่ร้าน "มังกร ท่าเรือ เย็นตาโฟ" ค่า
จริงๆ ร้านเย็นตาโฟทะเลแถวนั้นมีมากมายนับสิบร้านเลยนะคะ แถมแต่ละร้านก็มีส่วนประกอบคล้าย ๆ กัน คือ หมึกสด กุ้งสด กั้งด และกุ้งทอด จนทำให้พิมตัดสินใจไม่ถูกเลยว่าจะไปกินร้านไหนดี - -" จนได้คนในพื้นที่นี่แหละค่ะมาช่วยแนะนำให้ค่ะ
ร้านมังกรเย็นตาโฟ เป็นร้านเย็นตาโฟที่เปิดมานานแล้วนะคะ แต่เมื่อก่อนเค้าเปิดขายที่อื่น เพิ่งมาเปิดที่แถวท่าใหม่นี่ก็เมื่อสัก 6 เดือนก่อนอ่ะค่ะ ก๋วยเตี๋ยวของที่นี่จะว่าไปก็ไม่ได้มีแต่เย็นตาโฟนะคะ ก๋วยเตี๋ยวหมู ก๋วยเตี๋ยวทะเล แบบน้ำใส ต้มยำทั่วไปก็มีค่ะ แต่ที่เด็ดสุดก็ต้องยกให้เป็นเย็นตาโฟนี่แหละค่า
เพราะงั้นชามแรกที่พิมต้องสั่ง ก็คือ เกาเหลาเย็นตาโฟทะเลแบบจัดเต็มนะคะ ซึ่งในชามก็จะมีทั้งกุ้งสด กั้งสด หมึกสด และก็กุ้งชุบแป้งทอด ... หลังจากได้ชิมไปแล้ว รสชาติไม่ต้องพูดถึง อร่อยจริง และจัดเต็มมาจริง ๆ ค่ะ ในชามมีกุ้งสดเนื้อหวานที่ลวกมาสุกกำลังดี 2 ตัว กั้งแกะเนื้อ 5 ตัว มีหมึกสดที่เนื้อหวานเด้งมาก มีกุ้งชุบแป้งทอด มีเก๊ียวกรอบ และเนื้อปู ... รวมแล้วดีงาม สมราคาเลยนะคะ
ส่วนชามสองเป็นของคุณสามีพิม ทุกอย่างจัดเต็มเหมือนพิม เพียงแต่เป็นเส้นเล็กและน้ำใส (ต้มยำ) ไม่ใส่ซอสเย็นตาโฟ แต่รสชาติก็ดีงามไม่แพ้กันเลยอ่ะค่ะ
สนนราคา 2 ชามนี้ 200 บาท หลายคนอาจจะคิดว่าราคาสูง แต่คุณภาพของวัตถุดิบดีประมาณนี้ สดอย่างนี้ แถมจัดเต็มมาขนาดนี้ พิมว่าไม่แพงเลย ยังไงถ้าเพื่อน ๆ ผ่านมา ลองแวะมาทานกันนะคะ ^_^
จากเย็นตาโฟร้านมังกร พิมกับคุณสามีขับรถกลับมายังที่พักอีกครั้ง เพื่อมาอาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนเสื้อผ้า และเช็คเอ้าท์นะคะ ซึ่งหลังจากเช็คเอ้าท์เรียบร้อยแล้ว ระหว่างเดินกลับไปที่รถ พิมก็ขอแวะชมความงามของโบสถ์พระแม่มารีอาสักหน่อยอ่ะค่ะ ^_^
โบสถ์พระแม่มารีอา หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาธอลิก ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2254 บนริมน้ำฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจันทบุรี (คนละที่กับปัจจุบัน) โดยชาวคาทอลิกจำนวน 120-130 คนที่อพยพหนีมาจากที่อื่นนะคะ ซึ่งสมัยนั้นโบสถ์ที่สร้างจะเป็นโบสถ์ขนาดเล็กกระทัดรัดค่ะ จนมาถึงในสมัยกรุงศรีอยุธยา ช่วงนึงเกิดความวุ่นวาย ทำให้ชาวคาทอลิกที่อยู่แถวนั้นต้องอพยพแยกย้ายแตกตัวกันไปนะคะ แล้วพอปี พ.ศ. 2295 ชาวคาทอลิกได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ก็เลยมีการสร้างโบสถ์แห่งใหม่แทนโบสถ์หลังเดิม ขึ้นที่ริมแม่น้ำฝั่งตะวันออก (ที่ปัจจุบัน) ในปี 2377 อ่ะค่ะ แล้วต่อมาเมื่อคริสตศาสนิกชนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ปี 2446 ก็เลยมีการสร้างโบสถ์หลังใหม่ที่ใหญ่กว่าหลังเดิมขึ้นนะคะ ^_^
โบสถ์พระแม่มารีอา ได้ชื่อว่าเป็นโบสถ์คริสต์ที่สวยที่สุดใดนประเทศไทยค่ะ ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับจะมาเดินดูโบสถ์ (ภายนอก) ก็จะเป็นเวลาช่วงบ่ายนะคะ เพราะจะไม่ย้อนแสง แต่ถ้าต้องการเดินชมภายในโบสถ์ เวลาไหนก็มาได้ เพราะสวยงามทุกเวลาอ่ะค่ะ ^_^
เวลาเข้าชม :: วันจันทร์-เสาร์ เช้า 8.30 – 12.00 น. และ บ่าย 13.00 – 16.30 น. วันอาทิตย์ ตั้งแต่ 10.00 – 16.30 น. แต่งกายสุภาพและสำรวมเวลาเข้าเยี่ยมชม ไม่มีค่าเข้าชม
ถัดจากโบสถ์พระแม่มารีอามาประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะเป็น #วัดไผ่ล้อม พระรามหลวง ซึ้่งเป็นวัดเก่าแก่ของจันทบุรี ที่มีอายุมากกว่า 200 ปีแล้วนะคะ ^_^ โดยภายในวัดจะมี่สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ จากในสมัยโบราณที่ยังหลงเหลืออยู่มากมาย เช่น กุฏิพระ ศาลาการเปรียญ ซึ่งล้วนแล้วแต่อายุร้อยกว่าปีทั้งนั้นเลยอ่ะค่ะ
วัดไผ่ล้อมแต่เดิมมีโบสถ์หลังเก่าเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้านะคะ สร้างขุึ้นในสมัยรัชการที่ 3 มีกำแพงล้อมรอบ 4 ด้าน และก็มีช่องเข้าหรือที่เราเรียกว่าประตู ทั้ง 4 ด้านเลยค่ะ ส่วนภายในโบสถ์ก็จะมีภาพจิตรกรรมฝาหนังแบบเต็มผนังตลอดทั้ง 4 ด้าน และด้านหน้าพระประธานก็จะมีภาพเขียนพุทธประวัติด้วยนะคะ ซึ่งจากหลักฐานประวัติของวัดไผ่ล้อม ไม่มีใครระบุอย่างแน่ชัดว่าโบสถ์นี้สร้างตั้งแต่ พ.ศ อะไร แต่คร่าว ๆ คือ ตั้งแต่รัชการที่ 3 เพราะงั้นสิริรวมเวลาแล้วก็น่าจะมากกว่า 220 ปี ถือได้ว่าเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่มาก และควรค่าแก่การเข้าไปชม เข้าไปศึกษา และควรค่าต่อการอนุรักษ์มากๆ เลยค่ะ
(ในภาพด้านล่างเป็นโบสถ์ใหม่ที่เพิ่งสร้างขึ้นนะคะ)
หลังจากเดินชมความงามของโบสถ์และแวะไหว้พระที่วัดไผ่ล้อมเป็นเวลาประมาณ 1 ชม. กว่าๆ อันดับต่อไป เราก็จะไปชิมของร่อย ๆ ของเมืองจัน กันต่อนะคะ (บอกแล้วววววว ทริปนี้มาชิมเป็นหลักค่า)
จากวัดไผ่ล้อม ขับรถมาประมาณ 10 กว่านาที เราก็จะมาเจอกับร้านก๋วยเตี๋ยวหมูเลียงร้านดังของจังหวัดจันทบุรี กับ ร้านพระยาตรัง นะคะ
#ก๋วยเตี๋ยวหมูเลียง เป็นอาหารขึ้นชื่อ อาหารพื้นถิ่นอีกอย่างนึงของจันทบุรีค่ะ ประมาณว่าใคร ๆ มาจันทบุรีก็ต้องมาหาชิมก๋วยเตี๋ยวอันนี้นะคะ แต่พิมเชื่อว่าหลายคนอาจจะสงสัย #ก๋วยเตี๋ยวหมูเลียงคืออะไร ทำไมต้องเลียง ทำไมก๋วยเตี๋ยวหมูเฉย ๆ ไม่ได้อ่ะค่ะ ^_^
คุณใหญ่ เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวหมูเลียงพระยาตรัง เล่าให้พวกเราฟังว่า “เลียง” เป็นภาษาคนจันฯ หมายถึงกิริยาของการโขลกส่วนผสมในการทำอาหารอะไรสักอย่างหรือหลายอย่างด้วยครก ไม่ได้หมายถึง #เลียงผา อย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจนะคะ ดังนั้นคำว่าก๋วยเตี๋ยวหมูเลียงจึงหมายถึงก๋วยเตี๋ยวที่มีส่วนผสมของอะไรสักอย่างที่โขลกกับครก แล้วเอามาทำน้ำซุป ซึ่งในทีนี้ก็คือสมุนไพร ที่ชาวจันทบุรีเรียกว่า “เร่ว” ที่มีลักษณะเป็นแง่งคล้ายข่า และมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์อ่ะค่ะ
ก๋วยเตี๋ยวหมูเลียงร้านพระยาตรัง จะมีเนื้อส้ตว์ 2 ด้วยกัน คือ หมู กับเนื้อนะคะ แน่นอนว่าสาวกคนชอบกินเนื้ออย่างพิมก็ต้องสั่ง เส้นเล็กเนื้ออ่ะค่ะ ... ซึ่งหลังจากได้ชิมแล้วอยากบอกว่าน้ำซุปเค้าหอมมากจริง ๆ นะคะ ได้กลิ่นดอกผักชี ได้กลิ่นเร่ว ได้กลิ่นตะไคร้ เครื่องเทศจีนหลายๆ อย่าง และเหมือนว่าจะใส่สับปะรดด้วย เพราะมีกลิ่นสับปะรดอ่อน ๆ อยู่ พอรวมกันแล้ว น้ำซุปของที่นี่หอมเป็นเอกลัษณ์เฉพาะตัวมากเลยค่ะ (ชามละ 40 บาท)
ส่วนคุณสามี ผู้ที่ไม่ทานค่อยชอบทานเนื้อสักเท่าไหร่ ก็เลยสั่งก๋วยเตี๋ยวหมูมาทานนะคะ .. คุณเธอบอกว่าถูกใจมาก น้ำซุปรสชาติกลมกล่อม มีกลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ มีความหวานแฝงมาในน้ำซุป หมูก็นุ่ม อร่อยถูกใจอ่ะค่ะ
และด้วยความที่อยากลองว่านอกจากก๋วยเตี๋ยวแล้ว อย่างอื่นจะอร่อยด้วยไหม ^_^ คุณสามีพิมก็เลยสั่งลวกจิ้มมาเพิ่มอีกจานนึงนะคะ (สั่งประหนึ่งว่าเมื่อเช้ายังไม่ได้กินอะไรมา - -") .... หลังจากชิมไปแล้วคุณสามีบอกว่าหมูนุ่ม ตับนุ่มดี แต่สำหรับพิมที่ไม่ค่อยชอบกินตับนิ่ม ๆ เลยรู้สึกว่าถ้าลวกตับนานกว่านี้อีกนิด น่าจะโอเคกว่า แต่โดยรวมก็อร่อยดีค่ะ
และอีกชามปิดท้าย ของคุณสามีพิม จะเป็นมาม่าแห้งหมูนะคะ ซึ่งจะเสริฟมาพร้อมกับมะปี๊ด หรือที่เรา ๆ เรียกกันว่าส้มจี๊ด 1 ซีกค่ะ รสชาติโดยรวมอร่อยไม่แตกต่างจากชามบน ๆ แต่พิมว่ามาที่นี่ กินแบบน้ำจะเข้าถึงรสชาติมากกว่าอ่ะค่า ^_^
จากร้านก๋วยเตี๋ยวหมูเลียงพระยาตรัง พิมได้ข่าวมาว่ามีร้านก๋วยเตี๋ยวหมูเลียงอีกร้านนึง ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันเลยนะคะ แถมยังขายมายาวนานกว่า 40 ปี ก็คือ ก๋วยเตี๋ยวหมูเลียงป้าติ๊ด ที่อยู่แถวๆ ท่าใหม่ ด้วยความอยากรู้ว่าทั้งสองร้านนี้แตกต่างกันยังไง พิมก็เลยขอชวนคุณสามีขับรถไปชิมต่ออ่ะค่ะ ^^
ร้านป้าติ๊ดเป็นมีลักษณะเป็นบ้านไม้เก่า ทรงโบราณ อยู่ในอำเภอท่าใหม่ ห่างจากร้านพระยาตรังไปไม่ถึง 10 นาทีนะคะ
แต่ที่ร้านป้าติ๊ดเนี่ย มีเมนูไม่หลากหลายเท่าร้านพระยาตรัง จะมีแค่ก๋วยเตี๋ยวหมู หรือก๋วยเตี๋ยวเนื้อเท่านั้นเองอ่ะค่ะ แต่ในความที่ไม่มีอะไรให้เลือกเยอะนี่แหละ ก็เลยทำให้พิมตัดสินใจได้ง่าย ว่ามื้อนี้จะทานอะไรดีนะคะ ^^
และเท่าที่พิมได้สั่งมาลอง กับก๋วยเตี๋ยวเนื้อและก๋วยเตี๋ยวหมูอย่างละชาม สิ่งแรกที่รู้สึกได้เลย คือ ถ้าเป็นเตี๋ยวเนื้อของป้าติ๊ดจะไม่มีพวกขอบกระด้ง ไม่มีลูกชิ้น ไม่มีเนื้อสด (หรือว่าหมด ?) แล้วเนื้อเปื่อยก็จะเป็นเนื้อเปื่อยที่ตุ๋นชิ้นใหญ่แล้วค่อยเอามาหั่นให้เป็นชิ้นพอคำอ่ะค่ะ อีกทั้งในเตี๋ยวเนื้อป้าติ๊ด จะใช้กะหล่ำปลีลวกพอสุกแทนถั่วงอกนะคะ ซึ่งเมื่อความหวานของกะหล่ำปลี กับความเข้มข้นของน้ำซุป และความหอมของสมุนไพรต่าง ๆ มาเจอกัน พิมว่ามันเข้ากันได้ดีมากๆ เลยอ่ะค่ะ นี่ถ้าไม่ติดว่าเมื่อกี้กินของพระยาตรังมาแล้ว จะสั่งเพิ่มอีกชามเลยค่า (ชามละ 40 บาท)
ส่วนเตี๋ยวหมูเลียงของป้าติ๊ด ความอร่อยก็แทบจะไม่แตกต่างจากเตี๋ยวเนื้อเลียงเลยนะคะ รสชาติน้ำซุปนี่หอมเหมือนๆ กัน เส้นก็ลวกมานุ่มพอ ๆ กัน เพียงแต่หมูที่ป้าติ๊ดใช้จะเป็นหมูสดหั่นชิ้นพอดีคำแล้วนำมาลวกพอสุก ไม่ใช่หมูตุ๋น แล้วก็มีลูกชิ้นให้ด้วยอ่ะค่ะ ^^ .. สรุปโดยรวมแล้ว เตี๋ยวของป้าติ๊ดจะมีรสน้ำซุปที่เข้มข้นกว่า กลิ่นสมุนไพรในน้ำซุปจะมากกว่า จะไม่ค่อยมีพวกเครื่องในใส่มา ผักรองก็จะเป็นกะหล่ำปลีซะส่วนใหญ่ ซึ่งจะออกรสหวาน แต่ถ้าเป็นของพระยาตรัง รสและกลิ่นน้ำซุปจะเบา ๆ กว่า เหมาะกับคนที่ชอบซด และจะมีพวกเครื่องในมาด้วย ..... ยังไงเพื่อนๆ ก็ลองเลือกดูตามความชอบได้เลยนะคะ ^_^
เลยจากร้านป้าติ๊ดมาหน่อย เป็นร้านขายเต้าหู้ทอด หรือที่คนจันทบุรี เรียกว่า "เต้ากั๋ว" หรือ "ตะกั๋ว" นะคะ จริงๆ แถวนี้เนี่ยมีร้านขายเต้าหู้ทอดอยู่หลายร้านมากๆ เลยอ่ะค่ะ ทั้งร้านที่ได้รับรางวัลพระราชทาน ร้านที่ขายมาเก๋าแก่หลายสิบปี แต่ร้านที่พิมจะพาเพื่อน ๆ มากินในวันนี้ เป็นร้านที่พิมกินมานานแสนนาน หลายปีแล้วนะคะ ตั้งแต่สมัยน้องชายพิมยังเรียนอยู่ประถม จนตอนนี้น้องชายพิม 24 แล้วแหละค่ะ ^^
เต้าหู้ทอดร้านนี้ ชื่อว่า เต้าหู้ทอดท่าใหม่นะคะ แต่ก็ไม่ได้มีขายแต่เต้าหู้ทอดอย่างเดียว จะมีขายพวกเผือกทอด และปอเปี๊ยะทอดด้วยอ่ะค่ะ
โดยปกติเต้าหู้ทอดของที่อื่น เค้าจะทอดไว้รอลูกค้าเน๊าะคะ แต่เต้าหู้ทอดของที่นี่ เค้าจะทอดแค่พอเหลืองนิด ๆ แล้วพอลูกค้ามาสั่ง เค้าก็จะค่อยเอาไปทอดต่อ เพราะงั้นแล้วลูกค้าที่มาทานเต้าหู้ทอดที่ร้านนี้ ไม่ว่าจะมากินเวลาไหนก็จะได้กินเต้าหู้ทอดสดใหม่ร้อน ๆ เหมือนกันทุกคนเลยอ่ะค่ะ ^_^
ที่สำคัญ .... นอกจากเต้าหู้จะอร่อย ปอเปี๊ยะจะอร่อยแล้ว อยากให้ได้มาชิมน้ำจิ้มของที่นี่มากๆ เลยนะคะ น้ำจิ้มของที่นี่แม้จะมีวิธีการทำเหมือน ๆ กับที่อื่น แต่รสชาติแต่ความกลมกล่อมนี่โดดเด่นกว่าที่อื่นมากๆ เลยค่ะ เพราะน้ำจิ้มของเค้าจะมีรสเปรี้ยวที่หอม รสหวานที่กลมกล่อม เผ็ดไม่มาก แล้วก็ใส่ถั่วลิสงเยอะ (แต่ถ้าใครชอบน้อย ก็บอกเค้าได้) แถมยังราคาแค่จานละ 30 บาทเท่านั้น สรุปทั้งอร่อยและราคาไม่แพง ถ้าผ่านมา อย่าลืมมาลองชิมกันดูนะคะ
ส่วนภายในร้านเดียวกันกับร้านขายตะกั๋ว ก็จะมีร้านขายขนมทองม้วนอยู่ด้วยอ่ะค่ะ (ไม่แน่ใจว่าเป็นพี่น้องหรือญาติกันไหมน๊าาา)
ทองม้วนที่ร้านนี้เนี่ยจะมีอยู่ 3 แบบ คือ ทองม้วนนิ่ม ทองม้วนกรอบ และทองม้วนทูโทนนะคะ ลำพังทองม้วนกรอบ (ถุงละ20) ทองม้วนนิ่ม (ถุงละ 10) ก็อร่อยอยู่แล้ว แต่ที่พิมอยากแนะนำคือทองม้วนทูโทนค่ะ เป็นการเอาทองม้วนนิ่มมาห่อทองม้วนกรอบ เวลากัดไปแต่ละคำก็จะได้รสสัมผัส 2 แบบ คือนุ่มแล้วก็กรอบ เป็นรสสัมผัสที่แปลกใหม่ แต่ก็อร่อยมากๆ เลยอ่ะค่ะ
ที่สำคัญ ไม่ว่าจะทองม้วนนิ่ม หรือทองม้วนกรอบ ที่นี่เค้าจะทำขายกันวันต่อวันเลยนะคะ ถ้าไม่หมด ไม่มีการเอามาขายต่อวันรุ่งขึ้นอ่ะค่ะ เพราะงั้นมาซื้อทองม้วนที่นี่ นอกจากจะอร่อย ราคามิตรภาพแล้ว ยังสดใหม่ปิ๊ง ๆ อีกด้วยค่า ^_^
หลังจากกินอิ่มกันแบบอิ่มแล้วอิ่มอีก ก็ได้เวลาที่เราจะไปหาที่พักคืนนี้แล้วนะคะ และหลังจาก search หาข้อมูลใน google อยู่พักนึง (แบบว่าพิมไม่ได้จองโรงแรมมา ^_^) ก็พบว่ามีโรงแรมนึงเพิ่งเปิดใหม่ไม่นาน ชื่อโรงแรม HOP INN ซึ่งมีอยู่หลายสาขาหลายจังหวัดในประเทศไทย และสาขาในจังหวัดจันทบุรี ก็อยู่ใกล้กับสถานที่ ๆ พิมจะไปเที่ยวต่อในวันนี้และวันพรุ่งนี้ พิมกับคุณสามีก็เลยตัดสินใจเลือกเอาที่นีอ่ะค่ะ
HOP INN เป็นโรงแรมอารมณ์เดียวกับ B2 นะคะ คือเป็นโรงแรมราคาประหยัด (คืนละ 650 บาท) ที่ใครๆ ก็สามารถมาพักได้อ่ะค่ะ ภายในห้องก็จะมีเฟอร์นิเจอร์หลัก ๆ ที่จำเป็น อย่าง เตียง ตู้เย็น ทีวี โต๊ะหนังสือ เก้าอี้ และโต๊ะวางของอย่างครบครัน แถมยังมีระเบียงเล็กๆ สำหรับออกไปนั่งระบายความเครียดคนเดียวได้ด้วยนะคะ ^_^ (ระบายความเครียด = สูบบุหรี่)
ส่วนห้องน้ำก็มีการแยกส่วนแห้งส่วนเปียกไว้อย่างชัดเจน น้ำฝักบัว สายชำระ และอ่างล่างหน้าก็ไหลแรงดี ไม่มีปัญหาเรื่องน้ำขัง สรุปว่าในราคา 650 บาท กับทำเลแบบนี้ ห้องพักแบบนี้ ถือว่าดีสำหรับพิมเลยอ่ะค่ะ
หลังจากเช็คอินที่พัก และนั่งพักหายใจกันแป๊บนึงแล้ว เห็นว่าฟ้ากำลังสวย แดดกำลังดี พิมก็เลยชวนคุณสามีไปไหว้ศาลหลักเมืองจันทบุรีเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยกันสักหน่อยนะคะ ^_^
ศาลหลักเมืองจันทบุรี ตั้งอยู่ในตัวเมืองจันทบุรี บนถนนท่าหลวง ใกล้ ๆ กับศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเลยค่ะ เดิมตัวศาลเนี่ยสร้างด้วยศิลาแลงในช่วงประมาณปี 2310 นะคะ แต่พอวันเวลาผ่านไป ตัวศาลก็ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา (เป็นเรื่องปกติเน๊าะ) เลยมีการสร้างศาลหลังใหม่ขึ้นมาเป็นอาคารไม้รูปทรงธรรมดาอ่ะค่ะ แต่ต่อมาศาลใหม่แห่งนี้ก็ชำรุดทรุดโทรมอีก พอปี 2524 เลยมีสร้างศาลหลักเมืองใหม่เป็นอาคารปูน พร้อม ๆ กับการฝังเสาหลักเมืองและหล่อองค์เจ้าพ่อหลักเมืองขึ้นมาใหม่ด้วยนะคะ แล้วก็ยังมีการปรับปรุงสภาพแวดล้อมโดยรอบ มีการสร้างศาลหลักเมืองขนาดเล็กในแบบสถาปัตยกรรมจีนขึ้นมาอีก จนในที่สุดก็กลายมาเป็นศาลหลักเมืองอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้อ่ะค่ะ เพราะงั้นแล้วถ้าเพื่อน ๆ ได้มาจันทบุรี อย่าลืมแวะมาสักการะสิ่งศักดิสิทธิ์ประจำเมืองจันท์ ณ ศาลหลักเมืองแห่งนี้ด้วยนะคะ รับรองจะได้แต่ความสบายใจกลับไปค่า ^_^
จากศาลหลักเมือง เราเดินต่อไปอีกนิดก็จะเป็นศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแล้วอ่ะค่ะ
ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก็เป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งนึงของเมืองจันทบุรีนะคะ ถึงกับมีคำพูดที่ว่า ถ้ามาเมืองจันท์ แต่ยังไม่ได้มาสักการะศาลพระเจ้าตาก ถือได้ว่ายังมาไม่ถึงเมืองจันท์อ่ะค่ะ ^^ ..... ภายในศาลพระเจ้าตาก ก็จะมีประดิษฐานพระบรมรูปของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเอาไว้นะคะ เพื่อให้คนจันท์ และนักท่องเที่ยวได้เข้ามากราบไว้สักการะบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคลอ่ะค่ะ
ศาลพระเจ้าตากแต่เดิมจะเป็นศาลไม้เล็ก ๆ สร้างไว้คู่กับศาลหลักเมือง แต่ต่อมาก็มีการขยับขยายไปสร้างไว้ที่ฝั่งตรงข้ามเป็นศาลคอนกรีตแทน และต่อมาในปี 2534 ก็มีการขยับกลับมาสร้างไว้ข้าง ๆ ศาลหลักเมืองเหมือนเดิมนะคะ
โดยทุกวันที่ 28 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเสด็จขึ้นครองราชย์ของพระองค์ ทางจังหวัดจันทบุรีเค้าก็จะจัดให้มีการทำบุญตักบาตรและถวายเครื่องราชสักการะขึ้นมา เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงกอบกู้เอกราชให้แผ่นดินไทยอ่ะค่ะ ยังไงเพื่อนๆ คนไหนที่สนใจ สามารถเข้าไปสักการะได้ทุกวัน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียวเลยค่า
หลังจากเดินชมความงามโดยรอบศาลหลักเมืองและศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ก็ได้เวลาอาหารเย็นของพิมกับคุณสามีแล้วล่ะค่า (บอกแล้วว่าทริปนี้เน้นกินเป็นหลัก เรื่องเที่ยวเป็นรอง ฮ่ะๆ) ซึ่งมื้อเย็นนี้เนี่ย พิมขอฝากท้องไว้ที่ร้านครัวลุงเชย ซึ่งเป็นร้านอาหารในตัวเมืองจันฯ ที่เปิดมากว่า 15 ปีแล้วอ่ะค่ะ
ร้านครัวลุงเชย เป็นร้านที่ขายอาหารแนวอาหารพื้นบ้านของจันทบุรีนะคะ โดยเมนูเด็ดเนี่ยก็จะมีหลายอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นหมูชะมวง น้ำพริกไข่ปู หลนปู ไก่ต้มกระวาน ไข่เจียวหอยนางรม แกงป่าปลาเห็ดโคน อ่ะค่ะ
ใจจริงพิมก็อยากสั่งมาลองทุกอย่างเลยนะคะ ว่าจะอร่อยเด็ดสมกับคำร่ำลือไหม แต่เนื่องจากว่าพิมไปกับแค่ 2 คนกับคุณสามี แถมวันนี้ยังกินมาทั้งวันแล้ว ก็เลยสั่งมาเบา ๆ แค่ 5 อย่าง ก็พออ่ะค่ะ ^^"
อย่างแรก #พล่าปลา (100 บ.) เป็นอาหารพื้นบ้านของจันทบุรีที่พิมเคยได้ยินชื่อมานานแล้ว แต่เพิ่งมาได้กินจริง ๆ ก็วันนี้นะคะ
#พล่าปลา จะเป็นการเอาเนื้อปลา (บางทีก็ปลาอินทรี บางทีก็ปลาสาก แล้วแต่ร้าน) มาสับเป็นชิ้นละเอียดๆ หน่อย จากนั้นบีบน้ำมะนาวลงไปคลุกเคล้า พอเนื้อปลาเปลี่ยนสีเป็นสีขาวขุ่น ก็บีบเอาน้ำมะนาวออก แล้วก็เอามาคลุกเคล้ากับผักต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกะหล่ำปลี ผักกาด ใบสะระแหน่ หอมแดง แครอทซอย และตะไคร้ซอยอ่ะค่ะ
ตัวพล่าปลาเนี่ย จะไม่มีรสอะไรเลย ดังนั้นแล้วเวลาทานจะต้องทานคู่กับน้ำจิ้มถั่วที่ออกรสหวานเปรี้ยวและเผ็ดนิดๆ นะคะ (แต่ที่นี่น้ำจิ้มค่อนข้างเผ็ดมาก) ... ซึ่งตอนแรกบอกเลยว่าพิมก็ไม่ค่อยกล้ากินค่ะ เพราะมันเป็นปลาดิบ !!! (ปกติพิมไม่กินปลาดิบ) แต่พอได้ชิมไปคำเดียว ที่เหลือกว่าครึ่งจาน พิมเหมาเกือบหมดเลยค่า
ความอร่อยของอาหารจานนี้อยู่ที่เนื้อปลาซึ่งสดมาก และทางร้านก็ทำออกมาได้ไม่คาว บวกกับน้ำจิ้มถั่วที่รสชาติกลมกล่อม ไม่เปรี้ยวเกิน ไม่หวานเกิน พอกินคู่กันแล้วช่วยเสริมความอร่อยมากๆ เลย ใครมาต้องลองสั่งจานนี้มาทานดูนะคะ
ส่วนอาหารจานที่สอง เป็นอีกจาน (หรือจะเรียกว่าอีกชามดีหว่า) ที่มาร้านลุงเชย หรือมาเมืองจันทบุรี ต้องสั่งมาลองทานดูนะคะ กับไก่บ้านต้มกระวาน หรือจะเป็นปลาต้มกระวานก็ได้อ่ะค่ะ
ไก่ต้มกระวาน (100 บาท) ของที่นี่ พิมบอกเลยว่าเค้าไม่ปรุงเยอะ แต่รสชาติเข้มข้นมาก ทุกคำที่ซดน้ำเข้าไป มีกระวานเต็มปากไปหมดเลยนะคะ อร่อยจริง ๆ ค่ะ
จานที่ 3 เป็น #ไข่เจียวหอยนางรม (100 บาท) แม้จะไม่ใช่อาหารพื้นบ้าน แต่คุณสามีพิมก็อยากสั่งมาลองนะคะ ซึ่งเค้าก็ถูกใจมากๆ บอกว่าเป็นไข่เจียวหอยนางรมที่เหมือนมีน้ำซุปอยู่ในไข่ในทุกๆ คำที่กินเข้าไปเลยอ่ะค่ะ
ส่วนอาหารจานที่ 4 เป็นชุดน้ำพริกไข่ปูนะคะ (150 บาท) จากที่เคยลองกินของที่อื่นมา บอกได้เลยว่าของที่ครัวลุงเชยเข้มข้นมากค่ะ เข้มข้นทั้งไข่ปู และเข้มข้นทั้งรสชาตินะคะ ถือได้ว่าเป็นอีกจานนึงที่ต้องลองสั่งมาทาน ถ้ามาที่ร้านครัวลุงเชยอ่ะค่ะ
และจานสุดท้ายเป็นจานที่พิมขาดไม่ได้เวลาไปร้านไหน ๆ ถ้าเค้ามีให้สั่ง พิมก็ต้องลองสั่งมาทาน นั่นก็คือ ผัดโป๊ยเซียนนะคะ ซึ่งผัดโป๊ยเซียนของที่นี่อารมณ์จะคล้ายผัดวุ้นเส้นแบบแห้งๆ แต่ด้วยเทคนิคการผัด ด้วยความสดของเนื้อสัตว์ (กุ้ง หมึก) แม้จะจานละ 100 บาท พิมก็ว่ามันโอเคมากๆ เลยอ่ะค่ะ
และนี่ก็คือหน้าตาอาหารมื้อนี้ของพิมนะคะ ตอนแรกแอบคิดว่าจะทานกันไม่หมด เพราะเยอะเหลือเกิน แต่สุดท้ายแล้ว ทานกันไม่เหลือแม้แต่ผักเลยอ่ะค่ะ -*- (ควรดีใจ หรือควรเสียใจดีนะเนี่ยยย) ที่สำคัญพอเช็คบิลมาแล้ว ราคาอยู่ที่ 500 กว่าบาทเองจ้า ทั้งอร่อยทั้งราคาไม่แพงอย่างนี้ น่ามาชิมบ่อย ๆ นะคะ
และหลังจากทานอาหารกันอิ่มเรียบร้อยแล้ว ก่อนออกจากร้าน คุณสามีพิมก็ขออุดหนุนหมูชะมวงลุงเชยไปสักกระป๋องนึงค่ะ ซึ่งขอบอกว่าเสียดายมากที่ซื้อมากระป๋องเดียว เพราะรสชาติเข้มข้นคล้ายพิมทำกินเองเลยจ้า ยังไงถ้ามาเมืองจันท์แล้วนึกไม่ออกว่าจะไปกินอาหารพื้นบ้านของเมืองจันท์ที่ร้านไหนดี พิมก็ขอแนะนำร้านนี้เลยนะคะ รับรองไม่ผิดหวังค่า
ส่วนตอนนี้พิมขอตัวกลับที่พัก ไปอาบน้ำอาบท่าก่อน เพราะได้ข่าวว่าวันพรุ่งนี้ทั้งเที่ยวยาวและกินยาวเลยอ่ะค่ะ ^__^ แล้วยังไงเจอกันอีกทีพรุ่งนี้ สวัสดีค่าาาา