ปลายเดือนมิถุนาที่ผ่านมา ตอนที่บางแสนจัดงานเทศกาลอาหารถิ่นประเทศไทย พิมมีโอกาสได้ชิมขนมอย่างนึง ที่เค้าเรียกกันว่า #ข้าวกระยาคู ซึ่งเป็นขนมพื้นบ้านของจังหวัดนครนายกนะคะ
แล้วตอนที่ซื้อเนี่ย ด้วยความที่ไม่คิดว่าขนมจะอร่อย ก็เลยซื้อมาแค่ 2 กระปุกเล็กๆ แต่พอกลับถึงโรงแรมแล้วเปิดชิม อยากจะวิ่งกลับไปซื้ออีกสักสิบกระปุกเลยอ่ะค่ะ เพราะว่าอร่อยมากกกก อารมณ์คล้ายๆ ขนมเปียกปูนราดด้วยกะทิ แต่ว่าพอเดินกลับไป คนขายเค้าก็เก็บร้านกลับบ้านไปแล้วอ่ะค่า >_<
เพราะงั้นพอเดือนนี้พิมมีวันว่าง และเห็นว่านครนายกก็ใกล้ ๆ บ้านพิมแค่นี่เอง เดินทางไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็ถึงนะคะ บวกกับอยากไปหาที่เที่ยวพักผ่อนสบาย ๆ หลังจากลุยงานหนักติดต่อกันมาเกินครึ่งเดือน ก็เลยลองถามคุณสามีดูว่าไปเที่ยวนครนายกกันไหม คุณสามีซึ่งกำลังเบื่อ ๆ งานหน้าคอมส์อยู่เหมือนกัน ก็ตอบกลับมาทันทีอย่างไม่มีลังเลว่า #ไป .... ก็เลยกลายมาเป็นที่มาของทริปนี้นี่แหละค่ะ ^_^
นครนายก ... เป็นเมืองที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ มาก ๆ ชนิดที่เดินทางจากอนุเสาวรีย์แค่ 1 ชม. กว่า ๆ ก็ถึงเขตจังหวัดนครนายกแล้วนะคะ และแม้จังหวัดนครนายกจะเป็นจังหวัดที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่กลับมีแหล่งท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศาสนา ตลาด และอาหารการกิน โดยเฉพาะอาหารถิ่นที่น่าสนใจมากมายเลยอ่ะค่ะ เพราะงั้นแล้วทริปนี้ เพื่อนๆ เตรียมเก็บกระเป๋าตาม #ครัวบ้านพิมออนทัวร์ มาได้เลยค่า
ทริปนี้ของพิมเริ่มต้นที่ช่วงสายๆ ของวันนึงกลางเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานะคะ หลังจากพิมกับคุณสามีหาอะไรกินเป็นมื้อเช้ากันเรียบร้อยแล้ว ก็ขับรถกันออกมาทางมอเตอร์เวย์ ประมาณ 1 ชม. นิด ๆ ก็เริ่มเข้าเขตจังหวัดนครนายกแล้วอ่ะค่ะ และที่แรกที่พิมแวะไปเที่ยว ก็คือ ตลาดต้นไม้ที่อยู่ตรงแถวคลอง 15 ในเขตพื้นที่จังหวัดนครนายกนะคะ ซึ่งพิมขอบอกเลยว่า ใครที่ชอบต้นไม้และได้มามานครนายก ... ไม่ควรพลาดที่นี่อย่างแรงเลยจ้า เพราะว่าที่นี่เนี่ยถือได้ว่าเป็นแหล่งจำหน่ายต้นไม้ ทั้งไม้ดอกไม้ประดับ ไม้ผล ไม้ยืนต้น และไม้อื่นๆ อีกมากมาย รวมไปถึงอุปกรณ์ วัสดุในการทำสวน ของตกแต่งสวนที่เรียกว่าใหญ่สุดแห่งนึงของประเทศไทยเลยอ่ะค่ะ
สมัยก่อนตอนที่พิมยังไม่รู้จักที่นี่เนี่ย เวลาพิมอยากจะซื้อต้นไม้แต่ละที พิมก็จะไปจตุจักรตรงหมอชิตบ้าง ตรงมีนบุรีบ้างนะคะ หมดเงินไปครั้งนึงก็ทีละหลายพันบาท แต่มาที่นี่เนี่ย ซื้อต้นไม้อย่างเดียวกัน ไซส์พอ ๆ กัน หมดเงินน้อยกว่าครึ่งค่ะ เพราะต้นไม้ที่นี่ทุกประเภทราคาถูก และบางอย่างก็ถูกมากกกกก โดยเฉพาะไม้ดอกล้มลุกอย่างดาวเรือง ดาวกระจาย บานชื่น หงอนไก่ แพงพวย หรือต้นไม้เล็กๆ อย่างมะลิ โกสน เฟื่องฟ้า มีเงินแค่ 3 บาท 5 บาท 10 บาท ก็ซื้อได้แล้วนะคะ ^_^ เพราะงั้นเวลาที่พิมมาเที่ยวนครนายกทีไร ตลาดต้นไม้คลอง 15 ก็เลยเป็นที่ ๆ พิมต้องแวะเป็นจุดแรกหรือไม่ก็จุดสุดท้ายอยู่ทุกครั้งไปเลยอ่ะค่ะ
แต่ถ้าใครไม่ถนัดปลูกไม้ดอก อยากปลูกอะไรที่ปลูกแล้วกินได้ อย่างผักสวนครัวมากกว่า ที่นี่เค้าก็มีผักสวนครัวต้นเล็กๆ ขายเหมือนกันนะคะ ไม่ว่าจะเป็นกะเพรา โหระพา แมงลัก ต้นหอม ขึ้นฉ่าย ผักชีไทย ผักชีฝรั่ง สะระแหน่ มะเขือ พริกสารพัดชนิด มะเขือเทศ มะเขือเปรี้ยว ตะไคร้ ข่า แถมยังราคาแค่ถุงละ 10 บาทเท่านั้นเองจ้า เวลาผ่านมาแถวนี้ทีไร พิมก็มักจะแวะมาซื้อไปปลูกอยู่บ่อย ๆ เลยอ่ะค่ะ แถมบางถุงแทนที่จะมีต้นเดียว กลับมี 4-5 ต้นใน 1 ถุง ก็มีนะคะ ^_^ หรือถ้าใครมีพื้นที่บ้านเยอะๆ อยากได้ไม้ยืนต้นใหญ่ ๆ อย่าง มะม่วง มะขาม ชมพู่ ทุเรียน เงาะ น้อยหน่า กระท้อน ลองกอง สะตอ ลางสด ฯลฯ ที่นี่เค้าก็มีขายด้วยอ่ะค่ะ เรียกได้ว่ามาที่ตลาดนี้ อยากได้ต้นไม้อะไรในเมืองไทย มีขายแทบจะทุกประเภทเลยค่า
ส่วนใครที่ชอบตกแต่งสวน ตกแต่งบ้าน ที่นี่เค้าก็มีของตกแต่งทั้งเล็กทั้งใหญ่ขายมากมายเลยนะคะ มีทั้งประเภทที่ทำจากไม้ ทำจากหิน ทำจากดิน และปูปั้นนับหลายสิบร้านเลยอ่ะค่ะ ..... เรียกว่าเดินกันจนเมื่อยขา ก็ยังเดินไม่ครบเลยนะคะ ซึ่งถ้าหากเพื่อนๆ คนไหนสนใจจะไปเที่ยวชม ไปซื้อของ ซื้อต้นไม้ที่นี่ ก็สามารถแวะไปได้ทุกวัน ตั้งแต่ประมาณ 8 โมงเช้าไปเรื่อย ๆ จนถึงราว 6 โมงเย็นเลยอ่ะค่ะ ^_^
เดินชมต้นไม้กันอย่างเพลิดเพลินแล้ว ท้องไส้ก็เริ่มหิวนะคะ >_< จากตลาดต้นไม้ พิมเลยบอกให้คุณสามีขับรถไปที่ตลาดสดอำเภอบ้านนาสักหน่อย เพราะได้ข่าวมาว่าที่นั่นมีกุยช่ายอร่อย ๆ ขายอยู่หลายเจ้าเลยอ่ะค่ะ ^_^
สำหรับเจ้าแรกที่พิมแวะไป แน่นอนว่าก็ต้องเป็นร้านกุยช่ายเจ๊หงอ กุยช่ายเจ้าเก่าแก่ที่ทำขายเป็นเจ้าแรกในตลาดบ้านนานะคะ ซึ่งจากริมถนนใหญ่ตรงหน้าตลาดให้เราเดินเข้าซอยมาจนถึงสะพาน ก็จะเจอร้านกุยช่ายเจ๊หงออยู่ฝั่งซ้ายมือค่ะ
ปกติเจ๊หงอจะทำกุยช่ายออกมาขาย 3 ไส้ด้วยกันนะคะ คือ ไส้กุยช่าย ไส้เผือก และก็ไส้หน่อไม้อ่ะค่ะ โดยไส้กุยช่ายกับไส้เผือกเนี่ย เจ๊หงอจะทำขายทั้งปีนะคะ แต่ถ้าเป็นไส้หน่อไม้ เจ๊จะทำขายในช่วงฤดูฝนเท่านั้น เพราะเป็นฤดูที่มีหน่อไม้หวานค่ะ ^__^
ปกติแล้วใครจะกินกุยช่ายเจ๊หงอ ต้องโทรมาสั่งไว้ก่อนแล้วค่อยมารับนะคะ เพราะว่ากุยช่ายเจ๊ ขายดีมากกกกกกกก ค่ะ แต่เผอิญว่าวันที่พิมไปเนี่ย เป็นวันที่คนส่วนใหญ่เค้าหยุดกันพอดี พิมก็เลยสบาย ไปถึงร้านไม่ต้องแย่งกับใคร ซื้อได้ทันทีเลยอ่ะค่า สนนราคากุยช่ายของเจ๊หงอก็จะมี 2 ราคานะคะ คือกล่องเล็กที่เป็นแบบกล่องพลาสติคใส อยู่ที่กล่องละ 60 บาท และแบบกล่องใหญ่ที่เป็นกล่องโฟม กล่องละ 100 บาทอ่ะค่ะ .... หากใครเป็นครอบครัวเล็ก แนะนำให้ซื้อกล่องเล็กนะคะ เพราะแค่กล่องเล็กก็ยังมี 10 กว่าชิ้นเลยอ่ะค่ะ ^^" แต่ถ้าใครชอบทานกุยช่ายมากๆ หรืออยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ หรือเอาไปทานกันในหมู่เพื่อนฝูงพีน้อง พิมแนะนำให้ซื้อกล่องใหญ่ไปเลย เพราะประหยัดกว่าหลายบาทเลยจ้า
จากกุยช่ายเจ๊หงอ กุยช่ายเจ้าถัดมาที่พิมแวะซื้อ ก็คือกุยช่ายเจ๊ตาซึ่งขายอยู่หน้าตลาด ริมถนนใหญ่เลยนะคะ .... ตอนแรกที่พิมซื้อเนี่ย พิมไม่รู้เลยค่ะว่าเจ๊ตากับเจ๊หงอเป็นพี่น้องกัน รู้แต่ว่าเดินผ่านกุยช่ายเจ๊ตาแล้ว รู้สึกว่ามันน่ากินอ่ะ ^^" โดยเฉพาะกุยช่ายเผือก ที่ทั้งสีและหน้าตาดูน่ากินมากที่สุดเลยอ่ะค่ะ ก็เลยจัดการแวะไปซื้อกล่องเล็กอีก 1 กล่องนะคะ ซึ่งกุยช่ายเจ๊ตาเนี่ยกล่องเล็กจะถูกกว่าของเจ๊หงอ 10 บาท แต่กล่องใหญ่ก็ราคาเท่ากันเลยอ่ะค่ะ
สำหรับความแตกต่างระหว่างกุยช่ายของเจ๊หงอ กับเจ๊ตา เท่าที่พิมได้ชิมนะคะ .... ความอวบอ้วน แป้งบาง ความนุ่มนวล ยกให้ฝั่งขวา แต่รสชาติของไส้ รสชาติของน้ำจิ้ม พิมยกให้ฝั่งซ้ายอ่ะค่า ^_^
จากกุยช่ายบ้านนา พิมแวะไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกันแบบเบา ๆ ต่อที่ #ร้านน้ำแข็งใสจูโหลยกี่ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับวงเวียนตลาดบ้านนานะคะ
หลายคนอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ กรุงเทพฯ ก็มีร้านน้ำแข็งใสเยอะแยะ แต่ทำไมพิมจะต้องมากินน้ำแข็งใสถึงตลาดบ้านนา ... เหตุผลก็เพราะว่าน้ำแข็งใสเจ้านี้เป็นน้ำแข็งใสแบบโบราณที่หาทานได้ยากมาก แม้ในกรุงเทพฯ จะมีร้านน้ำแข็งใสเยอะแยะ แต่ก็ไม่มีน้ำแข็งใสเจ้าไหนที่ใสด้วยเครื่องไสแบบโบราณอย่างนี้เลยอ่ะค่ะ ความอร่อยของน้ำแข็งใสเจ้านี้อยู่ที่เกล็ดน้ำแข็งที่ละเอียดมาก แม้จะไม่ละเอียดเท่ากับน้ำแข็งใสพวกบิงชูอย่างที่เค้านิยมกันในตอนนี้ แต่ความนุ่มละมุนนี่ไม่แพ้กันเลยนะคะ ที่สำคัญเครื่องน้ำแข็งใสจำพวกเชื่อมแต่ละอย่างไม่ว่าจะแห้ว สับปะรด มันเทศ ฟักทอง คุณยายที่อยู่ในภาพเป็นคนทำเองหมดเลยอ่ะค่ะ แล้วพอมาเจอกับน้ำกะทิคั้นสด ๆ ที่ราดด้วยนมข้นหวาน (พิมแนะนำน้ำราดแบบนี้ ไม่แนะนำแบบน้ำแดง) ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของทางร้าน ทำให้น้ำแข็งใสของที่นี่อร่อยชนะเลิศทุกร้าน (ที่เป็นน้ำแข็งใสแบบกะทิ) ที่พิมเคยได้กินมาเลยอ่ะค่า
โดยเฉพาะสับปะรดเชื่อมกับน้ำกะทิ ใครมากินที่นี่พิมแนะนำว่าต้องสั่งเลยนะคะ เพราะสับปะรดเชื่อมของที่นี่ไม่เหมือนใคร มีทั้งความหนึบ ความหอมหวาน และอมเปรี้ยวเล็ก ๆ พอมาเจอกับหัวกกะทิคั้นสด ๆ เจอกับน้ำแข็งละมุน ๆ มันเข้ากันได้ดีจนพิมกินหมดถ้วยไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ตัวเลยอ่ะค่ะ >_< ส่วนราคา อยู่ที่ถ้วยละ 25-30 บาท ซึ่งพิมถือว่าไม่แพงเลยนะคะ เมื่อเทียบกับปริมาณและความอร่อยขนาดนี้อ่ะค่ะ ^_^
จากน้ำแข็งใสจูโหลยกี่ .... พิมเริ่มอิ่มท้องแล้วอ่ะค่ะ เพราะงั้นก่อนจะแวะไปกินอาหารเที่ยง พิมเลยคิดว่าเราจะต้องไปเดินออกกำลังกายย่อยของในท้องกันสักหน่อยแล้วนะคะ ซึ่งจุดหมายของพิมก็คือ พ.ฟาร์ม ฟาร์มเมล่อนชื่อดังของจังหวัดนครนายกค่ะ ^_^
พ.ฟาร์ม เป็นฟาร์มเมล่อนแบบเกษตรอินทรีที่มีพี่ไหมเป็นเจ้าของฟาร์มนะคะ .... เท่าที่พิมได้คุยกับพี่ไหม เมื่อก่อนพี่ไหมเป็นพยาบาลวิชาชีพคนนึงค่ะ แต่ด้วยความที่พี่ไหมชอบกินเมล่อน และลองปลูกเมล่อนแล้วได้ผลดี พี่ไหมเค้าก็เลยอยากปลูกเมล่อนอร่อย ๆ แบบนี้ให้คนอื่นได้ทานกันบ้าง ก็เลยเป็นที่มาของฟาร์มเมล่อนแห่งนี้นี่นะคะ ^_^
ที่ พ. ฟาร์มนี่ นอกจากจะมีเมล่อนหลากหลายสายพันธุ์ให้เราได้เลือกซื้อกลับไปทาน หรือไปฝากคนที่บ้านแล้ว ก็ยังมีขนม มีอาหารที่ทำจากเมล่อนอีกด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นสาคูเมล่อน น้ำเมล่อนปั่น ซาลาเปาเมล่อน และก็สลัดเมล่อนอ่ะค่ะ ซึ่งเท่าที่พิมได้ชิม (ไม่อยากจะบอกว่าสั่งมาชิมทู๊กกกกกอย่าง เพราะแต่ละอย่างราคาไม่แพงเลย) .... ทั้งเมล่อนและขนม รสชาติดีทุกอย่างเลยนะคะ อะไรที่ต้องหวานก็ไม่หวานมากไป โอเคอ่ะค่ะ ^_^ (แต่ซาลาเปา ถ้าเป็นแบบอุ่นร้อน พิมว่าจะอร่อยมากกว่านี้อ่ะค่า)
และนอกจากเมล่อนกับขนมแล้ว นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่ พ. ฟาร์มนี่ ก็สามารถเดินเข้าไปชมเมล่อนที่อยู่ในโรงเรือนอย่างใกล้ชิดได้ด้วยนะคะ และหากใครอยากทดลองตัดเมล่อนด้วยตัวเอง เพื่อเอากลับไปฝากคนที่บ้าน ก็สามารถติดต่อที่เจ้าหน้าที่ของ พ.ฟาร์ม ได้เลยอ่ะค่ะ ^_^
นอกจากเมล่อนแล้ว ที่ พ. ฟาร์มเค้าก็ยังมีการปลูกแตงโม ฟักทองสายพันธุ์ญี่ปุ่นอีกด้วยนะคะ ซึ่งพี่ไหมบอกว่าถ้าปลูก (แตงโม) แล้วออกมาดีออกมาอร่อย (ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงทดลอง) พี่ไหมก็จะปลูกขายให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยว พ.ฟาร์ม ด้วยอ่ะค่า
และหลังจากเดินชมเมล่อน แตงโม ฟักทอง รวมไปถึงมะเขือเทศ ถั่วฝักยาว แตงกวา ใน พ.ฟาร์ม จนอิ่มกายอิ่มใจดีแล้ว ^_^ ก่อนจะไปเที่ยวที่อื่นต่อ พิมก็ขอซื้อเมล่อนกลับไปฝากแม่และคนที่บ้านสัก 2-3 ลูกนะคะ สนนราคากิโลละนึงแค่ 119- บาท ราคาถูกกว่าเมล่อนญี่ปุ่นที่ขายตามห้างเป็นไหน ๆ แต่รสชาตินี่หวานใกล้เคียงกันมากเลยอ่ะค่า ^_^
จากฟาร์มเมล่อน เหลือบดูนาฬิกาก็ปาเข้าไปบ่ายโมงจะครึ่งแล้วเน๊าะคะ ถึงเวลาที่พิมกับคุณสามีจะต้องไปหาอะไรอร่อย ๆ ทานเป็นมื้อกลางวันแล้วล่ะค่ะ (คุ้นๆ เหมือนว่าเมื่อกี้ก็เพิ่งกินไปไม่ใช่เร๊อะ - -") ซึ่งเท่าที่พิมลองถามคนพื้นที่ ลอง search ดูใน google ถ้าไม่ไปทานอาหารตามร้านอาหารดังๆ ก็จะมีร้านนึงน่าสนใจมาก ชื่อว่า #ร้านไม่น่าอร่อย ซึ่งอยู่ห่างจาก พ.ฟาร์ม เข้ามาทางอำเภอบ้านนา (คือย้อนกลับมานั่นเอง) ประมาณครึ่งชั่วโมงนะคะ
ร้านไม่น่าอร่อย เป็นร้านอาหารสไตล์บ้านๆ ที่อยู่ติดริมถนนใหญ่อ่ะค่ะ ร้านนี้ภายนอกดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ข้างในร้านกลับมีอาหารขายหลากหลายอย่างเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นข้าวผัด ข้าวคลุกกะปิ เสต๊ก เมี่ยง หมี่กรอบ สปาเกตตี้ ขนมเทียน ขนมเข่ง ไอศกรีมอายุ 102 ปี รวมไปถึงพายกรอบหลากหลายไส้ด้วยอ่ะค่ะ
ตอนที่มาถึงที่ร้าน คุณลุงคณป้าเจ้าของร้านเค้ากำลังยุ่งอยู่เลยนะคะ เพราะว่ามีลูกค้ามาซื้อพายกรอบ และสั่งอาหารใส่กล่องเยอะมากอ่ะค่ะ พิมกับคุณสามีก็เลยมีเวลาคิดว่าจะจะสั่งอะไรมากินดี ใจจริงคุณสามีอยากลองกินเสต๊คหมูนะคะ (ราคาสูงอยู่เหมือนกันนะเนี่ย) แต่เห็นคุณลุงบอกว่ารอนานนะ ก็เลยไม่เอาดีกว่าค่ะ สรุปไปสรุปมา ก็เลยตัดสินใจสั่งเป็นข้าวคลุกกะปิมา 1 จาน (เพราะในป้ายบอก จะเสียใจถ้าไม่ได้สั่ง ^^) ผัดไทโบราณมา 1 จาน และก็เมี่ยงก๋วยเตี๋ยวอีก 1 จานนะคะ
สำหรับจานแรก ..... ข้าวคลุกกะปิ (60 บาท) อยากบอกว่าข้าวคลุกกะปิของที่นี่แตกต่างจากที่อื่นมากเลยอ่ะค่ะ คือแบบคนละอารมณ์กันเลย ข้าวคลุกกะปิของที่นี่ในข้าวคลุกกะปิมันจะมีเนื้อปูอยู่ด้วย อารมณ์เหมือนข้าวผัดปูใส่กะปิประมาณนั้นนะคะ แล้วก็จะไม่มีหมูหวาน แต่จะมีเป็นหมูแดงแบบแห้ง ๆ แทนอ่ะค่ะ แล้วก็กินกับน้ำจิ้มที่มีส่วนผสมของซอสมะเขือเทศปรุงรสเค็มๆ หวานๆ + โรยงา โดยรวมก็จะเป็นข้าวคลุกกะปิสไตล์ที่แปลก ๆ ที่พิมไม่เคยเห็น แต่รสชาติก็ดีใช้ได้เลยนะคะ ^_^
ถัดมาจานที่สอง เป็นผัดไทของคุณสามีสุดที่เลิฟ (80-) ... ดูหน้าตาเผิน ๆ อาจจะไม่เหมือนผัดไท เพราะที่นี่เค้าเสริฟมาพร้อมกับผักชีหั่น มะม่วงซอย และหอมเจียว แต่กินรวม ๆ กันแล้ว ก็อร่อยไปอีกแบบอ่ะค่ะ ^^
ส่วนจานนี้เป็นเมี่ยงก๋วยเตี๋ยวนะคะ (70-) คุณป้าเค้าจะเอาเส้นใหญ่มาห่อผักสดผักลวก แล้วหั่นเป็นชิ้นพอคำ ทานคู่กับน้ำจิ้มออกรสเปรี้ยวหวานที่มีงาคั่วด้วย รสชาติโอเคเลยอ่ะค่ะ
แต่ที่พิมว่าเด็ดมากๆ และไม่ควรพลาดที่จะสั่งมาทานเลย ก็คือขนมเทียนกับขนมเข่งนะคะ (ดูเหมือนไม่น่าจะมีขายในร้านนี้เลยนะ ฮ่ะๆ) .. คือพิมเป็นคนชอบขนมเทียนมากๆๆๆๆ ค่ะ ถ้าเห็นที่ไหนมีขาย และหน้าตาดูน่ากิน พิมจะต้องซื้อมากินทันทีเลยนะคะ ซึ่งที่ผ่านมาก็เจออร่อยบ้างไม่อร่อยบ้างว่ากันไป แต่ขนมเทียน ขนมเข่งของที่นี่ เท่าที่พิมกินไป 15 ชิ้นในภาพด้านล่าง O_O (มาคิดตอนนี้ ยังงงว่ากินเข้าไปได้ยังไง) อร่อยจริงค่ะ
ขนมเข่งของที่นี่เค้าจะเป็นขนมเข่งไส้มะพร้าวแปะก๊วย ที่ไม่ใช่แบบว่าแค่เอามะพร้าวใส่ไปคนให้กระจายๆ อยู่ในแป้งนะคะ แต่ว่าเป็นจะไส้มะพร้าวกระจุกอยู่ตรงกลางกระทงเลย (เหมือนไส้ขนมเทียนที่อยู่กลางกระทง) แล้วไส้จะมีความหวานฉ่ำ นุ่มนวล พอกัดไปโดนนี่ ความอร่อยพุ่งเต็มปากเต็มคำเลยอ่ะค่ะ ส่วนขนมเทียน...ก็อร่อยไม่แพ้ขนมเข่งเลยนะคะ ขนมเทียนของที่นี่แป้งเค้าจะนุ่มแล้วก็หอมหญ้าชิวคักมาก ๆ ค่ะ พอมาเจอกับไส้ที่รสชาติเข้มข้น กลมกล่อม เผ็ดหอมพริกไทยพอประมาณ มันดีงามมากๆ เลยนะคะ .... ดีงามขนาดที่พิมสั่งมากินกล่องแรก 10 ชิ้น แล้วต้องเดินกลับไปสั่งมากินอีก 5 ชิ้นอ่ะค่ะ >_< ส่วนราคาไม่ว่าจะขนมเทียนหรือขนมเข่ง คุณป้าเค้าจะขายชิ้นละ 7 บาทนะคะ ฟังดูเหมือนแพง เมื่อเทียบกับขนาดชิ้น (เพราะตอนแรกพิมก็คิดแบบนั้น) แต่ลองไปกินดู แล้วจะรู้สึกว่า คุ้มค่าคุ้มเงินที่จ่ายไปมากๆ ค่ะ ^_^
ถัดจากขนมเขียนขนมเข่ง จุดหมายถัดไปของพิมอยู่ที่ร้านขนมไทยป้าแจ๋วแหวว ร้านขนมไทยที่เป็นทั้งศูนย์การเรียนรู้ในการทำขนมไทยและร้านขายขนมไทยอร่อย ๆ ในเขตอำเภอปากพลี นครนายกนะคะ (คิดไปคิดมา ทำไมทริปนี้มีแต่เรื่องกิน >_<)
ร้านขนมไทยป้าแจ๋วแหวว เป็นร้านขนมไทยสไตล์บ้าน ๆ ร้านนึงที่มีชื่อเสียงมากในอำเภอปากพลีค่ะ โดยปกติขนมที่ป้าแจ๋วแหววทำขายก็จะมีพวกขนมชั้น ขนมมัน ขนมเม็ดขนุนนะคะ แต่ว่ามีขนมนึงที่ปกติแล้วเราไม่ค่อยได้เห็นใครทำขาย แต่ที่ร้านป้าแจ๋วแหววมีขาย และเป็นสาเหตุที่ทำให้ดั้นด้นมานครนายกในครั้งนี้ ก็คือ ขนมข้าวกระยาคู อ่ะค่ะ
ข้าวกระยาคู หรือที่บางคนเรียกว่าข้าวยาคู (แต่ไม่ใช่ข้าวยาคูลย์น๊าาาาา) เป็นขนมไทยโบราณของภาคกลางที่ปัจจุบันหาดูและหาทานได้ยากมากๆ เลยนะคะ (ถ้าไม่ไปถึงถิ่นนะ) ขนมชนิดนี้แต่เดิมก็ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เพราะเป็นขนมที่จะทำได้เฉพาะช่วงก่อนฤดูการเก็บเกี่ยวข้าวนาปีเท่านั้นอ่ะค่ะ แถมด้วยความที่ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบค่อนข้างยุ่งยาก แล้วมีความเกี่ยวพันกับความเชื่อตามวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทยในเรื่องพระแม่โพสพอีก ก็เลยทำให้ยิ่งนานวันไป ขนมชนิดนี้ก็ยิ่งสูญหายไปตามกาลเวลานะคะ
จนเมื่อหลายปีที่ผ่านมา มีการรื้อฟื้นการทำขนมชนิดนี้ขึ้นมาอ่ะค่ะ แต่ด้วยข้อจำกัดหลาย ๆ อย่าง และด้วยความที่ต้องการให้ขนมนี้สามารถทำกินได้ทั้งปี ก็เลยมีการปรับปรุุงทั้งส่วนผสมและวิธีทำบางอย่างให้เหมาะสมกับยุคสมัยนะคะ บ้างก็ใช้วิธีการเอาข้าวหอมมะลิไปแช่ในน้ำใบเตยจนนิ่มก่อน แล้วก็นำไปโม่ให้ละเอียดค่ะ จากนั้นทับน้ำ พอแป้งแห้งดี (ได้เป็นแป้งข้าวเจ้าสด) ก็เอาไปนวดกับกะทิ น้ำตาล แล้วเอาไปกวนอีกทีจนข้นเหนียว ก็จะได้เป็นข้าวกระยาคูแบบนึงนะคะ ส่วนบางพื้นที่ก็จะใช้วิธีนำแป้งข้าวเจ้ามาผสมกับแป้งท้าวยายม่อมบ้าง แป้งมันบ้าง แล้วนำไปกวนกับน้ำใบเตย น้ำตาล และน้ำปูนใสจนข้นเหนียว ทานกับกะทิข้นที่เหมือนกะทิราดหน้าขนม ก็จะได้ออกมาเป็นข้าวกระยาคูอีกแบบนึงอ่ะค่ะ ..... ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็มีความหอมอร่อยไม่แพ้ข้าวกระยาคูแบบดั้งเดิมเลยนะคะ ^_^
สำหรับข้าวกระยาคูของป้าแจ๋วแหวว พิมไม่แน่ใจว่าป้าแจ๋วแหววทำแบบไหน เพราะถามแล้วป้าไม่บอก แฮ่ ^^" ....... แต่จากที่พิมได้ชิม และจากจำนวนลูกค้าที่เดินเข้ามาซื้อเรื่อย ๆ แบบไม่ขาดสาย ขอบอกว่าข้าวกระยาคูของป้าแจ๋วแหวว อร่อยชนิดที่ควรขับรถเข้ามาซื้อถึงบ้านจริง ๆ อ่ะค่ะ ที่สำคัญป้าขายไม่แพงเลย กล่องเล็ก 20 บาท กล่องใหญ่ (กินกันได้สัก 5 คน) แค่ 50 บาทเท่านั้นเองนะคะ (สังเกตุว่าเกินครึ่ง มีแต่คนซื้อกล่องใหญ่) ยังไงถ้าเพื่อน ๆ คนไหนผ่านมาแถวนครนายก หรือตั้งใจมาเที่ยวนครนายก อย่าลืมแวะซื้อข้าวกระยาคูของป้าแจ๋วแหววกลับไปทาน หรือกลับไปฝากคนที่บ้าน รับรองจะติดใจจ้า
จากร้านป้าแจ๋วแหวว พิมแพลนเอาไว้ว่าจะเข้าไปเช็คอินที่พักก่อน เพื่อถ่ายรูปสวย ๆ ของที่พัก แล้วค่อยออกมาเที่ยวชมต้นไม้ที่สวนศรียา และหาอาหารมื้อเย็นอร่อยๆ กินนะคะ แต่ .... ตอนขับรถออกจากร้านป้าแจ๋วแหวว เหลือบมองดูนาฬิกาหน้ารถ ปาเข้าไปจะ 4 โมงเย็นแล้วอ่ะค่ะ ก็เลยคิดว่าไม่ได้การล่ะ ถ้าไปเช็คอินที่พักก่อน แล้วค่อยมาสวนศรียาคงไม่ทันแน่ เพราะสวนศรียาปิดตอน 5 โมงเย็น เพราะงั้นก็เลยเปลี่ยนแผนขอไปเที่ยวสวนศรียาก่อน แล้วค่อยไปเช็คอินที่พักพร้อมหาอะไรกินนะคะ ^^
ถ้าเอ่ยชื่อสวนศรียา ... พิมเชื่อว่าหากเป็นคนที่อยู่นครนายก หรือเคยคิดจะมาเที่ยวนครนายก และชอบปลูกต้นไม้หรือทำสวนผลไม้ น่าจะรู้จักสวนศรียากันเกือบจะทุกคนอ่ะค่ะ เพราะว่าสวนศรียาเนี่ยเป็นได้ชื่อว่าเป็นศูนย์เรียนรู้ชุมชนในเรื่องของการใช้สารอินทรีย์แทนการใช้สารเคมี การผลิตปุ๋ยหมัก การผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำ ในระดับต้น ๆ ของจังหวัดนครนายกเลยนะคะ
จะว่าไปเมื่อก่อนสวนศรียาก็เป็นสวนผลไม้ธรรมดา ๆ ทั่วไปอ่ะค่ะ แต่ด้วยความที่คุณลุงไสว ศรียา เจ้าของสวน (ปัจจุบันอายุ 74 ปีแล้ว) เป็นคนที่ขยันหาความรู้ และขยันทดลองทำโน่นทำนี่เกี่ยวกับการเกษตรมากมาย ไม่ว่าจะทดลองปลูกต้นไม้กลับหัว ทดลองปลูกพืชผักสวนครัวบนต้นกล้วย ทดลองเอาผลไม้ใส่ขวดแก้ว ทดลองทำบวบยาว ทดลองทำไบโอดีเซล และทดลองต่อยอดส้มบนต้นมะสัง ซึ่งทั้งหมดนี่ ตอนที่คุณลุงเริ่มทำ ยังไม่มีที่อื่นทำ ก็เลยทำให้สวนของคุณลุงเป็นสวนที่มีคนรู้จักไปทั่วนะคะ ^_^
อย่างเรื่องการปลูกต้นไม้กลับหัว คนอื่นอาจจะคิดว่ามันคือความพิเรน แต่คุณลุงกลับมีความคิดว่าเวลาคนเราอยู่ในภาวะลำบากสุดๆ เราก็จะสู้จนสุดชีวิตเพื่อให้มีชีวิตรอด เพราะงั้นแล้วต้นไม้ก็น่าจะไม่ต่างกัน อ่ะค่ะ คุณลุงก็เลยทำการปลูกต้นไม้แบบกลับหัว (เอารากขึ้นฟ้า เอายอดลงดิน) ซึ่งเป็นการปลูกแบบไม่ปกติ เพื่อดูว่าต้นไม้มันจะเป็นยังไง จะตายไหม หรือจะรอดไหมนะคะ ปรากฎว่าพอคุณลุงทดลองอย่างจริงจัง นอกจากพริกกับกล้วยจะรอดแล้ว (คุณลุงทดลองสองอย่าง) ก็ยังโตไว และออกดอกออกผลเร็วกว่าปกติด้วยซ้ำอ่ะค่ะ
หรืออย่างการทดลองต่อยอดส้มสารพัดบนต้นมะสัง .. ด้วยความที่คุณลุงเห็นว่าต้นมะสังเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่ทนต่อทุกสภาวะอากาศ ไม่ว่าจะน้ำท่วมหรือน้ำแล้งก็ไม่ตายนะคะ ^^" บวกกับคุณลุงมีความสามารถในการขยายพันธุ์ต้นไม้ด้วยการเสียบยอด คุณลุงก็เลยมีความคิดที่จะเอาต้นมะสังมาเป็นต้นตอ แล้วก็นำยอดส้มสายพันธุ์ต่าง ๆ มาเสียบยอดต่อกับต้นมะสังอ่ะค่ะ (ส้ม กับมะสังเป็นพืชตระกูลเดียวกัน เสียบยอดกันได้ แต่ต้นส้มมีความอ่อนแอกว่าต้นมะสังมาก) และจากการผลการทดลองของคุณลุง ซึ่งพิมไม่แน่ใจว่าใช้เวลานานเท่าไหร่นะคะ แต่ก็ทำให้ต้นมะสังต้นเดียว ออกลูกมาเป็นมะกรูด มะนาวด่านเกวียน มะนาวแป้น มะนาวพวง มะนาวไร้เมล็ด ส้มเขียวหวาน ส้มเกลี้ยง ส้มเช้ง ส้มโชกุน ส้มมือ ส้มซ่า ส้มโอ ส้มจี๊ด และพืชชนิดอื่นที่อยู่ในตระกูลส้มมะนาว รวมกันทั้งหมด 18 ชนิด เป็นที่ประหลาดใจของคนทั่วไปเลยอ่ะค่ะ ^_^
หรืออย่างการทำผลไม้ในขวดแก้ว ... คุณลุงเห็นว่าฝรั่งและชมพู่ที่สวนนั้นขายได้ราคาถูก เลยพยายามคิดหาวิธีเพิ่มมูลค่าผลไม้สองอย่างนี้นะคะ และหลังจากคิดไปคิดมาสักระยะ คุณลุงก็เลยทดลองเอาขวดแก้วที่ไม่ได้ใช้แล้วล้างทำความสะอาด แล้วนำไปสวมผลไม้ตั้งแต่ตอนยังเป็นลูกเล็กๆ อ่ะค่ะ พอผลไม้โต มันก็จะโตไปตามรูปขวด และพอมันแก่เต็มที่ คุณลุงก็จะตัดขายพร้อมขวดในราคาขวดละ 100 บาทนะคะ (ขายให้นักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่เป็นคนจีน และต่างประเทศ) .... ซึ่งดูแล้ว วิธีการเพิ่มมูลค่าผลไม้ของคุณลุงก็ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรเลย แต่คุณลุงสามารถอัพราคาผลไม้ราคาสิบบาทให้เป็นร้อยบาทได้ ก็เลยทำให้สวนของคุณลุงเป็นที่สนใจของทั้งเกษตรกรคนอื่นและนักท่องเที่ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ อ่ะค่ะ
นอกจากต้นมะสังต้นเดียวที่ออกผลเป็นผลไม้ 18 ชนิด นอกจากการปลูกต้นไม้กลับหัว และการทำฝรั่ง+ชมพู่ในขวดแก้วแล้ว ...... ที่สวนคุณลุงก็ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำบวบลูกสั้น ๆ ให้กลายเป็นบวบลูกยาวเป็นเมตร การผลิตน้ำมันไบโอดีเซล การเพราะชำต้นช้อยนางรำ ต้นไม้ที่สามารถขยับไหว ๆ ได้เมื่อได้ยินเสียงเพลง รวมถึงการผลิตปุ๋ยหมักชีวภาพไว้ใช้เอง ซึ่งถ้าเพื่อน ๆ คนไหนสนใจ ก็สามารถติดต่อไปที่ลุงไสว หรือจะไปดูของจริงที่สวนศรียาเลยก็ได้นะคะ ^_^
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ สวนศรียา >> คลิ๊กที่นี่ <<
(ผลผลิตจากสวนศรียา)
(ผลผลิตจากสวนศรียา)
(ผลผลิตจากสวนศรียา)
หลังจากเดินชมสวนและคุยกับลุงไสว อยู่พักใหญ่ (เป็นชั่วโมง ^^") เหลือบตาดูนาฬิกาอีกที ก็พบว่าเวลาเดินไปที่ 5 โมงเย็นกว่า ๆ แล้วอ่ะค่ะ ซึ่งก็ได้เวลาที่เราควรจะไปเช็คอินที่พักแล้วนะคะ ^^
พูดถึงที่พักแล้ว ... พิมอยากจะบอกว่า เรื่องที่พักเป็นความผิดพลาดอย่างนึงของทริปนี้ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นกับพิมมาก่อนเลยอ่ะค่ะ คือก่อนมาพิมทำการจองที่พักแห่งนึงไว้ผ่านเวบจองโรงแรมแห่งนึง แต่พลาดตรงที่พิมไม่ได้โทรไป Confirm นะคะ ปรากฎว่าพอถึงที่พัก .. เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่มีชื่อพิมอยู่ในรายชื่อคนจองที่พักคืนนี้ค่ะ T__T และพอลองเข้าไปเช็คในเวบ ก็ไม่มีรายการจองที่พักของพิมในคืนนี้ด้วยนะคะ
ที่สำคัญวันนั้นเป็นวันแข่งเดินมาราธอน หรือแข่งปั่นจักยานอะไรสักอย่างของนครนายกซึ่งเป็นรายการใหญ่ โรงแรมกับที่พักในละแวกที่พิมอยากไปพักเลยถูกจองเต็มหมดอ่ะค่ะ พิมก็เลยต้องระเห็ดไปหาที่พักในโซนที่ไกลหน่อยก็คือแถวเขื่อนขุนด่าน ซึ่งกว่าจะหาได้ ต้องโทรศัพท์นับเป็นสิบโรงแรมเลยนะคะ และในที่สุดก็ได้ที่พักมาเป็นภูไอยรารีสอร์ทนี่แหละค่ะ >_< (นึกว่าจะไม่ได้ซะแล้วววว)
ภูไอยรารีสอร์ทเป็นรีสอร์ทสไตล์ธรรมชาติที่อยู่ใกล้ ๆ กับเขื่อนขุนด่านปราการชลนะคะ แต่จะอยู่เข้าไปลึกหน่อย ติด ๆ กับโซนที่เป็นป่าค่ะ .... ซึ่งที่นี่เค้าจะมีบ้านพักหลายแบบ ทั้งแบบเป็นหลังพัก 2 คน และเป็นหลังพักหลายคนนะคะ โดยห้องที่พิมได้พักในคืนนี้จะเป็นแบบหลัง 2 คน ในราคาคืนละ 1500 กว่าบาทค่ะ ซึ่งคุณภาพห้องกับราคา ก็โอเค พอไปกันได้อยู่นะคะ
และหลังจากเก็บกระเป๋าเข้าห้องพักเรียบร้อย และนั่งพักจนหายเหนื่อยแล้ว ก็ได้เวลาไปหาข้าวเย็นกินกันแล้วอ่ะค่ะ ^_^
ตอนแรกพิมแพลนเอาไว้ว่า จะไปหาข้าวมื้อเย็นกินกันนอกรีสอร์ทนะคะ แบบว่าไปนั่งชิว ๆ สวีท ๆ ท่ามกลางแสงไฟสลัว ๆ กันสองต่อสอง อะไรทำนองนั้นอ่ะค่ะ ^^ แต่ระหว่างทางที่จะเดินไปยังลานจอดรถ ก็มีนักท่องเที่ยวกลุ่มนึงเดินสวนมา (น่าจะมาจากทางห้องอาหาร) และหนึ่งในนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้น ก็พูดขึ้นว่าต้มยำไก่บ้านสมุนไพรของที่นี่อร่อยดีนะ ..... แค่ประโยคสั้น ๆ เท่านี้แหละค่ะ ทำให้พิมเปลียนใจเดินมากินมื้อเย็นที่ร้านอาหารของรีสอร์ทแทนเลยค่า (ใจง่ายเน๊อะ >_<)
สำหรับเมนูที่พิมสั่งมาทานในวันนี้ บอกเลยว่าเป็นเมนูที่ธรรมดามากๆ นะคะ เพราะที่ร้านแห่งนี้ แม้จะมีเมนูพวกต้มยำไก่บ้าน ต้มยำปลาแม่น้ำที่หลายคนบอกว่าอร่อยมาก แต่รายการอาหารเค้าก็ไม่ได้มีให้เลือกเยอะสักเท่าไหร่นักอ่ะค่ะ เพราะงั้นพิมก็เลยขอสั่งเมนูพื้น ๆ อย่างข้าวราดผัดกะเพราแบบเผ็ด ๆ มากินร่วมกับต้มยำและไข่ดาวนะคะ ซึ่งโดยรวมแล้วรสชาติก็ไม่ผิดหวัง ใช้ได้อ่ะค่ะ (มื้อนี้ 300 กว่าบาท) ^_^
และหลังจากกินข้าวมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว พิมกับคุณสามีก็กลับมาห้องพักเพื่ออาบน้ำอาบท่า และเตรียมตัวพักผ่อนนะคะ เพราะว่าพรุ่งนี้เนี่ยตามแผนที่พิมวางเอาไว้ ทั้งกิจกรรมและอาหารที่พิมจะตามไปชิม เพียบเลยอ่ะค่า ....... เพราะงั้นคืนนี้พิมขอตัวไปนอนเอาแรงก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวเจอกันใหม่ เช้าวันพรุ่งนี้จ้า ^_^