หลังจากที่เมื่อคืนนอนหลับพักผ่อนกันอย่างเต็มที่ เช้านี้เราก็มาลุยกันต่อดีกว่าเน๊าะคะ ^_^
เช้านี้พิมตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ตอน 7 โมงเช้าค่ะ แต่กว่าจะตื่น กว่าจะอาบน้ำแต่งตัว เก็บสัมภาระ และเคลียร์คุณสามีเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบจะ 9 โมงแล้วนะคะ ^^" และพอเก็บของเสร็จ พิมกับคุณสามีก็หอบหิ้วเอาสัมภาระไปใส่ไว้ท้ายรถก่อน เพื่อที่ว่าเดี๋ยวพอไปทานอาหารเช้าเสร็จ จะได้ไม่ต้องเดินกลับไปที่ห้องอีกทีอ่ะค่ะ
อาหารเช้าของที่ภูไอยรารีสอร์ท เราจะต้องเดินไปทานกันที่โรงเตี๊ยมที่อยู่อีกด้านนึงของรีสอร์ทนะคะ (ไกลเหมือนกัน -*-) ซึ่งจากการได้เดินมาทางนี้ ก็เลยทำให้พิมได้รู้ว่าที่ตรงฝั่งนี้มีบ้านพักของรีสอร์ทที่สไตล์น่ารัก ๆ อยู่หลายหลังเลยอ่ะค่ะ แถมพอลองสอบถามราคาเข้าพักในวันธรรมดา ก็ไม่แพงอย่างที่คิดด้วยนะคะ .. น่าเสียดายมากที่เมื่อวานพิมจองมาช้า ไม่งั้นคงได้พักบ้านหลังใดหลังหนึ่งในภาพข้างล่างนี่แล้วอ่ะค่ะ >_<
พูดถึงที่พักของที่นี่แล้ว ด้วยความที่ราคาของที่พักที่นี่ เป็นราคากลาง ๆ และเป็นรีสอร์ทที่ค่อนข้างห่างไกลจากรีสอร์ทอื่น (พิมรู้สึกเอาเองนะคะ) อาหารเช้าของที่นี่ก็เลยมีให้เลือกค่อนข้างน้อยมาก เมื่อเทียบกับรีสอร์ทอื่นๆ ในระดับราคาเดียวกัน T___T แต่ไม่เป็นไรค่ะ มื้อแรกของวัน พิมไม่ค่อยซีเรียส กินเอาพอรองท้องก่อน เดี๋ยวเราค่อยไปลุยหนักในมื้อถัดไปนะคะ ^_^
จากโรงเตี๊ยม พิมไม่ได้แวะกลับเข้าห้องพักอีก เพราะเมื่อกี้ตอนเดินออกมา เอาสัมภาระอะไรต่อมิอะไรไปเก็บไว้ที่รถแล้วเน๊าะคะ ก็เลยเดินไปเช็คเอ้าท์ที่ล๊อบบี้ของรีสอร์ทเลยอ่ะค่ะ
จุดหมายแรกของพิมและคุณสามีในวันนี้ บอกเลยว่าอยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ทมากนัก ขับรถแค่ราว ๆ 10 นาทีก็ถึงแล้ว กับ #เขื่อนขุนด่านปราการชล จ้า
พูดถึงเขื่อนขุนด่านแล้ว อยากจะเม้าท์มอยสักเล็กน้อยนะคะว่า น้องชายคนเล็กของพิมเนี่ย (อายุ 24 ปี) เป็นคนที่ชอบขี่มอเตอร์ไซด์ไปเที่ยวต่างจังหวัดมาก และจังหวัดนครนายก ก็เป็นจังหวัดที่คุณน้องชายพิมขี่รถมาเที่ยวบ่อยที่สุดเลยค่ะ แล้วเวลามาเที่ยวคุณน้องชายพิมเค้าก็จะมาที่เขื่อนขุนด่านปราการชลเกือบทุกทีเลยนะคะ แถมยังชอบถ่ายภาพวิวสวย ๆ ด้านบนเขื่อนกลับไปอวดพิมอีก พิมก็แอบอิจฉาเรื่อยมาค่ะ (ฮ่าๆ) แถมในใจตอนนั้นก็คิดว่า แหมมมม..ม ถ่ายภาพมาซะสวยเชียว ของจริงจะสวยอย่างนี้รึเปล่าเนี่ย .. แบบว่าขำ ๆ เม้าท์มอยกะน้องชายนะคะ ^_^
จนพอมาได้เจอของจริงกับตาตัวเอง อยากบอกว่าเขื่อนขุนด่านปราการชลเป็นเขื่อนที่สวยยยยยมากที่สุดเขื่อนนึงเท่าที่พิมได้เคยเจอมาเลยอ่ะค่ะ สวยจริงๆ มองไปมุมไหนจะซ้ายหรือขวาก็สวยนะคะ อาจจะเพราะ Backgound ด้านหลังของเขื่อนเป็นภูเขาสีเขียว ที่ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้า และผืนน้ำที่ใสราวกับกระจก ก็เลยทำให้วิวของเขื่อนนี่ดูอลังการสุด ๆ ไปเลยอ่ะค่ะ ^_^
ปกติแล้วเวลาพิมไปเที่ยวเขื่อน พิมจะไม่ค่อยได้ถ่ายรูปวิวเขื่อนหรือถ่ายรูปตัวเองกับเขื่อนสักเท่าไหร่เน๊าะคะ เพราะพิมรู้สึกว่าถ่ายทีไร ถ่ายมุมไหนก็ออกมาไม่ค่อยสวยเลยสักภาพอ่ะค่ะ (คนหรือเขื่อนที่ไม่สวยนี่ >_<) แต่ที่เขื่อนนี้ เชื่อไหมคะ พิมกดชัตเตอร์เพลินมาก รู้สึกตัวอีกที แค่เฉพาะวิวไม่รวมคน ถ่ายไปร้อยกว่าภาพแล้วอ่ะค่ะ เรียกว่าจะซ้ายขวาหน้าหลัง ถ่ายออกมามุมไหน แม้จะด้วยกล้องป๊อกแป๊กหรือกล้องโทรศัพท์มือถือธรรมดาๆ ก็สวยนะคะ
ที่เขื่อนขุนด่านนี่ ... นอกจากเดินชมวิวสวยบริเวณรอบ ๆ เขื่อนแล้ว ก็ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจให้เราเลือกทำอีกหลายอย่างเลยอ่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นนั่งรถชมสันเขื่อนคนละ 30 บาท
เช่ารถกอล์ฟไฟฟ้าเพื่อขับไปชมสันเขื่อนเอง คันละ 350 บาท
รวมไปถึงล่องเรือชมวิวในเขื่อน (คนละ 200- เป็นเรือขาวบ้าน) และล่องเรือไปเล่นน้ำตก 3 น้ำตกในเขื่อนด้วยอ่ะค่า (อันหลังนี่เหมือนจะต้องเหมาเรือ เรือมีทั้งลำเล็กลำใหญ่ ราคาก็ต่างกันไป) ซึ่งสองอย่างหลังนี่ ขอบอกเลยว่าพิมอยากไปมากกก..ก..ก..ก นะคะ แต่ดูเวลา ดูกิจกรรม ดูสถานที่ที่พิมแพลนเอาไว้ เวลามันไม่พอจริงๆ ค่ะ เพราะถ้าล่องเรือชมวิวเฉย ๆ ไปกลับอย่างน้อยใช้เวลาประมาณ 2 ชัวโมงกว่าๆ แล้วนะคะ (ไม่รวมเวลารอคนเต็มเรือ) แต่ถ้าล่องเรือชมวิว และไปเล่นน้ำตกด้วยเนี่ย (อันนี้พิมอยากไปที่สุดดด) เห็นเจ้าหน้าที่บอกว่าอย่างน้อย ๆ ก็ 3-4 ชม. อ่ะค่ะ ก็เลยคิดว่าไม่เป็นไรอ่ะ นครนายกอยู่แค่นี้เอง ว่าง ๆ เมื่อไหร่ค่อยมาก็ได้นะคะ >_< ที่สำคัญ .... เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าไปล่องเรือช่วงนี้ จะต้องเดินขึ้นลงบันไดเป็นร้อยขั้นค่ะ เพราะว่าน้ำในเขื่อนยังน้อย แต่ถ้ามาช่วงกันยา ตุลา พฤศจิกาล่ะก็ เดินลงไม่เกิน 10 ขั้น ก็ถึงเรือแล้วนะคะ เพราะงั้นรอบนี้ไม่ได้เที่ยว ไม่เป็นไร เดี๋ยวกันยาตุลาพิมค่อยมาใหม่ค่ะ ^^
เพราะงั้นแล้ว กิจกรรมที่พิมพอจะทำได้ที่เขื่อนขุนด่านในวันนี้ ก็คือ การนั่งรถชมวิวบนสันเขื่อนนะคะ ซึ่งค่าบริการก็ถูกมากๆ เพียงแค่คนละ 30 บาทเท่านั้นเองค่า
แล้วที่สำคัญพอเราขึ้นมานั่งบนรถ ก็จะมีพี่เจ้าหน้าที่คอยบรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับเขื่อนขุนด่านปราการชลให้เราได้ฟังด้วยนะคะ (บรรยายละเอียดมาก เหมือนตั๋วราคาร้อยบาทเลยค่ะ ฮ่าๆ)
เขื่อนขุนด่านปราการชล แต่เดิมก่อนที่จะสร้างเขื่อนเนี่ย พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นฝายมาก่อนนะคะ ชื่อว่าฝายท่าด่าน กั้นระหว่างช่องเขา 2 เขาอ่ะค่ะ แต่ว่าฝายท่าด่านเนี่ยเป็นฝายเล็ก ๆ ในหน้าฝนเลยไม่สามารถรับน้ำฝนในปริมาณมากได้ พอฝนตกหนัก ๆ น้ำก็จะไหลออกจากฝายไปท่วมพื้นที่จังหวัดนครนายก และจังหวัดใกล้เคียงนะคะ แล้วพอหน้าแล้ง ด้วยความที่เป็นฝายเล็ก ๆ อีกนั่นแหละ ก็เลยทำให้ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้เพียงพอกับความต้องการใช้น้ำของเกษกรโดยรอบฝาย พระเจ้าอยู่หัวท่านก็เลยทรงมีดำริให้สร้างเขื่อนแห่งนี้ขึ้นมาแทนฝายเดิมอ่ะค่ะ
โดยเขื่อนขุนด่านเนี่ย เป็นเขื่อนที่มีการใช้วัสดุและวิธีก่อสร้างแตกต่างจากเขื่อนหลายๆ เขื่อนในเมืองไทยนะคะ คือเขื่อนทั่วไปจะสร้างด้วยการใช้คอนกรีต+เหล็ก แต่เขื่อนขุนด่านนี่ไม่มีเหล็กสักเส้นเลยอ่ะค่ะ แถมไม่ได้ใช้คอนกรีตล้วนๆ ด้วยนะคะ แต่มีการเอาขี้เถ้าลิกไนท์ซึ่งเป็นขี้เถ้าที่ได้จากการผลิตกระแสไฟฟ้าจากโรงงานไฟฟ้าแม่เมาะลำปาง มาผสมกับคอนกรีต แล้วสร้างเป็นตัวเขื่อนโดยใช้วิธีการบดอัดเป็นชั้นๆ จนได้ความสูงของเขื่อนตามต้องการอ่ะค่ะ (อารมณ์เหมือนการบดถนน) โดยเขื่อนแห่งนี้เนี่ยเริ่มสร้างในปี 2542 และก็สร้างเสร็จในปี 2547 นะคะ พอสร้างเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านก็ทรงพระราชทานนามเขื่อนแห่งนี้ว่า เขื่อนขุนด่านปราการชล เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าพ่อขุนด่าน เจ้าเมืองนครนายกในสมัยสมเด็ดพระนเรศวรค่ะ ^_^
โดยเขื่อนแห่งนี้เนี่ย นอกจากจะไว้เป็นที่กักเก็บน้ำแล้ว ทางเขื่อน (กรมชล) ก็ยังให้ประชาชนเข้ามาหาปลาในเขื่อนได้อีกด้วยนะคะ (ใจดีฝุดๆ) ซึ่งปี ๆ นึงเนี่ย ไม่น่าเชื่อเลยว่า ชาวบ้านจะจับปลารวม ๆ กันแล้วได้ถึง 58 ตันต่อปีเลยอ่ะค่า O_O
จากนั่งรถชมวิวบนสันเขื่อนขุนด่านที่ใช้เวลาไปประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ก็ได้เวลาที่พิมจะต้องเดินทางต่อไปเที่ยวที่อื่นแล้วเน๊าะคะ แต่ก่อนจะไปที่อื่นต่อ พิมก็ขอแวะไปไหว้ศาลเจ้าพ่อขุนด่านเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย และขอพรท่านให้การเดินทางครั้งนี้ของพิมราบรื่นตลอดทริปด้วยอ่ะค่ะ ^_^
จากเขื่อนขุนด่าน (ด้านบนเขื่อน) ตอนแรกพิมก็แอบลังเลว่าจะไปไหนต่อดี ระหว่างหาอะไรกิน (เพราะเมื่อเช้ากินน้อยเหลือเกิน) กับไปหาอะไรทำที่หน้าเขื่อนขุนด่านนะคะ แต่หลังจากดูเวลา ดูร้านอาหารที่อยากไปกิน ดูอาการคุณสามีแล้ว ก็คิดว่าไปหาอะไรทำที่หน้าเขื่อนขุนด่านก่อนน่าจะดีกว่าอ่ะค่ะ ^_^
และหลังจากขับรถมาประมาณ 5 นาที (นานมากกกกก) พิมก็มายืนอยู่ที่หน้าเขื่อนขุนด่านแล้วนะคะ ซึ่งที่หน้าเขื่อนขุนด่านเนี่ย ก็จะมีแม่น้ำสายเล็ก ๆ ที่ชาวบ้านเรียกกันว่าแม่น้ำนครนายก ซึ่งจะรับน้ำมาจากตัวเขื่อนขุนด่านอีกทีอ่ะค่ะ
ตอนแรกที่พิมขับรถผ่านมาเนี่ย พิมไม่รู้หรอกนะคะว่าที่ตรงนี้เค้ามีอะไรน่าสนใจ หรือว่ามีอะไรให้นักท่องเที่ยวอย่างพิมลงไปทำได้บ้าง แต่พิมเป็นคนชอบน้ำมากกนะคะ เพราะงั้นพอขับรถผ่านแล้วเห็นว่ามีทั้งนักท่องเที่ยวและชาวบ้านแถวนั้นลงไปเล่นน้ำในแม่น้ำกันเยอะ พิมก็เลยนึกอยากลงไปสัมผัสน้ำบ้างอ่ะค่ะ
ทีนี้ตอนที่พิมจอดรถแล้วจะเดินไปเช่าห่วงยาง (เค้ามีห่วงยาง กะเสื้อชูชีพให้เช่า อย่างละ 50 บาท ใช้ได้ทั้งวัน) พิมก็ไปเห็นป้ายผ้าอันนึงแปะอยู่ตรงต้นไม้ใกล้ ๆ ร้านส้มตำ แล้วข้อความในป้ายก็มีประมาณว่า "ล่องแก่ง สอบถามได้" ทำนองนี้นะคะ พิมรู้สึกสนใจ เลยเดินไปถามรายละเอียดเอากับคนที่ร้านนั้น ...... จากคิดจะเช่าห่วงยางเฉย ๆ ก็เลยกลายเป็นล่องแก่งแทนซะอย่างนั้นอ่ะค่ะ ^_^
พูดถึงล่องแก่งแล้ว.....จะว่าไปเนี่ย พิมไม่เคยล่องแก่งมาก่อนในชีวิตเลยนะคะ (คุณสามีก็ด้วยอ่ะ) ยอมรับตามตรงว่าพิมเป็นคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น และกลัวเวลาที่ต้องตกน้ำแบบไม่ตั้งใจค่ะ ก็เลยไม่กล้าไปล่องแก่งมาก ๆ เลยนะคะ (กลัวเรือล่ม) แต่พอมาที่นี่ .. ได้คุยจริงจังกับเจ้าของเรือ เค้าก็บอกว่าถ้าเป็นเรือยางแบบที่เค้าใช้ ยังไงก็ไม่มีวันล่มค่ะ แถมน้ำในแม่น้ำนครนายกช่วงนี้ก็ยังตื้นมาก บางช่วงสูงแค่ฟุตเดียวเท่านั้นเองนะคะ แล้วสายน้ำก็เป็นแบบไหลเรื่อย ๆ ให้เราได้เพลิดเพลินกับธรรมชาติริมแม่น้ำซะเป็นส่วนใหญ่ ที่พอจะเป็นแก่งน้ำแรงนิดๆ ก็มีอยู่ 3-4 จุดเท่านั้น ซึ่งก็เป็นแก่งที่ไม่ได้ลึกอะไรมาก ก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้พิมตัดสินใจล่องแก่งเป็นครั้งแรกที่แม่น้ำนครนายกแห่งนี้อ่ะค่ะ ^_^
การล่องแก่งของที่นี่ เค้าจะมี 3 ระยะ ให้เราได้เลือกล่องกันนะคะ ระยะแรกคือ 6 กม. ระยองที่สองคือ 8 กม. และระยะที่สามคือ 10 กม. ค่ะ โดยแต่ละระยะก็จะแปรไปตามราคานะคะ (ราคานี้รวมเรือนั่งได้ 1- 8 คน + ชูชีพ + หมวก และคนคัดท้ายเรือ) ระยะแรกจะอยู่ที่ 1,000 บาท และระยะถัดไปจะเพิ่มอีกระยะละ 200 บาทอ่ะค่ะ ซึ่งเท่าที่พิมได้ลองล่องมา หากเป็นช่วงหน้าแล้ง หรือช่วงหน้าที่น้ำยังไม่มาก ล่องสัก 6 กม. ก็โอเคแล้วนะคะ หรือถ้าใครชอยาว ๆ นิด จะล่องสัก 8 กม. ก็ยังโอเคค่ะ เพราะหลังจากนั้นแก่งมันก็จะเรียบ ๆ น้ำจะไหลเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจสักเท่าไหร่นะคะ แต่ถ้าเป็นช่วงหน้าน้ำหลาก อย่างช่วงสิงหากันยา ล่องสัก 8-10 กม. จะกำลังดีค่ะ เพราะว่าช่วงนั้นน้ำเยอะ และน้ำจะไหลเร็ว ถ้าล่องแค่ 6 กม. มันจะถึงจุดหมายไวมากกกกก จนอาจจะทำให้รู้สึกว่าทำไมระยะทางมันสั้นจัง เพราะงั้น 8-10 กม. กำลังดีค่า
ส่วนเส้นทางล่องแก่งของที่นี่ อย่างที่พิมบอกไว้ข้างบนเน๊าะ เส้นทางช่วงแรก ๆ ของแม่น้ำมันก็จะเป็นแบบไหลเรื่อย ๆ อ่ะค่ะ ถ้าอยากให้เรือไปเร็ว ก็ต้องช่วยกันพายนิ๊ดดดนึง แต่จริง ๆ ไม่ต้องพายก็ได้นะคะ ยังไงเรือมันก็ไหลไปตามน้ำอ่ะ แต่คนคัดท้ายเรือชอบบิ้วววววว ฮ่าๆ ... แล้วบางช่วงก็จะผ่านหน้ารีสอร์ทอื่น (ผ่านเยอะเลย) ซึ่งก็จะมีคนเล่นน้ำอยู่ ทั้งเล่นอยู่่่ริมฝั่ง และเดินมาเล่นกลางแม่น้ำ (สังเกตุจากในภาพด้านล่างได้ว่าแม่น้ำตื้นมาก ขนาดคนมายืนกลางแม่น้ำได้อ่ะค่ะ) รวมไปถึงนั่งห่วงยางให้ลอยไปตามน้ำด้วยนะคะ ซึ่งพอถึงตรงนี้เนี่ย คนบนฝั่งบ้าง คนในน้ำบ้าง ก็จะสาดน้ำกันไปมา เหมือนมาทำกิจกรรมด้วยกัน สนุกสนานดีอ่ะค่ะ (ถ้าไม่สาดน้ำให้กัน มันจะไม่เปี๊ยกน๊าาา) แล้วบางช่วงก็จะเป็นแก่งระยะสั้นๆ (มี 2 แก่ง แกงเทียม กับแก่งสามชั้น) ที่ไม่อันตราย แต่ก็พอให้เราได้รู้สึกวี๊ดว๊ายกันได้นะคะ ^_^ และพอพ้น 2 แก่งไป น้ำก็จะกลับมาไหลเอื่อย ๆ เรื่อย ๆ เหมือนเดิม จนถึงท่าขึ้นเรืออ่ะค่า
ซึ่งจุดที่สนุกสนานมากเลยสำหรับพิม นอกจากแก่งเล็กๆ 2 แก่งนั่นแล้ว ก็คือ การได้ลงไปเล่นน้ำในแม่น้ำนครนายกนี่แหละนะคะ แม้ว่าน้ำในแม่น้ำจะเป็นสีเขียวอ่อน ๆ ตามสีของตะไคร่น้ำ แต่ขอบอกว่าใส เย็น และสะอาด ๆ มาก ๆ จนพิมไม่อยากขึ้นจากน้ำเลยค่ะ >_<
และเมื่อเราล่องแก่งจนถึงจุดหมายปลายทางตามที่เราได้ตกลงไว้กับคนเรือแล้ว ก็จะมีรถมารับเรากลับไปยังจุดเดิมที่เราลงเรือนะคะ ซึ่งตรงนั้นเนี่ยก็จะมีห้องน้ำให้เราได้เข้าไปอาบน้ำ รวมถึงเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อให้พร้อมเดินทางไปที่ต่อไปด้วยอ่ะค่ะ ^_^
จากล่องแก่ง ... จุดหมายถัดไป ของพิมก็คือ ตลาดของฝากข้างทางที่อยู่ห่างจากหน้าเขื่อนขุนด่านไปประมาณ 2 กม. นะคะ
ตอนแรกพิมก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะแวะมาตลาดแห่งนี้อ่ะค่ะ กะว่าล่องแพเสร็จก็ไปหาอะไรกินเลย ^^ แต่มีคนบอกพิมว่าที่ตลาดแห่งนี้เนี่ย มักจะมีชาวบ้านเก็บเอาผักบ้าน ๆ มาวางขาย อย่างพวกตำลึง ผักกูด หน่อไม้ ยอดฟักทอง ชะอม ฟักแม้ว มะนาว ผักหวาน ข่าอ่อน พริกขี้หนูสวน และอื่น ๆ อีกมากมาย แถมราคาไม่แพงด้วย พิมก็เลยว่าจะแวะไปลองดู เผื่อจะมีอะไรให้ได้ซื้อติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้านบ้างค่ะ
จะว่าไปแล้วช่วงนี้ก็เป็นฤดูฝนนะคะ ซึ่งในฤดูฝนเนี่ย แถบนครนายก สระบุรี (ประมาณนี้ จริง ๆ มีเยอะกว่านี้) ก็จะเป็นฤดูของน้อยหน่าพอดีเลยค่ะ ซึ่งน้อยหน่าที่มีวางขายที่นี่ก็จะมีตั้งแต่ลูกเล็ก ๆ ราคา 3 โลร้อย ไปจนถึงลูกโตมากๆ ราคากิโลละร้อยนะคะ .... ราคาอาจจะไม่ได้ถูกมากเมื่อเทียบกับที่กรุงเทพฯ แต่ด้วยความที่ใกล้แหล่งปลูก ความสดใหม่เลยชนะขาดลอยเลยค่ะ ^^
นอกจากน้อยหน่าแล้ว ในฤดูฝนอย่างนี้พืชผักที่ออกเยอะมาก ๆ ตามธรรมชาติ ก็เห็นจะเป็นหน่อไม้นี่แหละนะคะ ทั้งไผ่ตง ไผ่หวาน และไผ่อื่น ๆ สนนราคาก็แค่กิโลละ 20-25 บาทเท่านั้นเองค่ะ (เห็นว่าบางช่วงถูกมาก ราคาโลละ 10 บาทก็มี) แถมถ้าใครไม่อยากได้แบบสด ๆ ประมาณว่าขี้เกียจไปปอกเปลือก เปิดไฟต้ม ที่นี่เค้าก็มีหน่อไม้ต้ม หน่อไม้ดองแบบสับ หน่อไม้ดองแบบแผ่น และหน่อไม้เผา ให้เลือกซื้ออีกด้วยนะคะ เรียกว่ามีกันทุกหน่อไม้เลยค่ะ ^^"
และนอกจากน้อยหน้ากับหน่อไม้แล้ว ที่นี่เค้าก็มีผักผลไม้อื่นๆ และของอื่น ๆ ให้เราได้เลือกซื้ออีกเยอะแยะเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นผักสวนครัวอย่างชะอม ฟักแม้ว ผักหวาน ผักกูด ยอดฟักทอง ใบย่านาง ใบมะกรูด ผักติ้ว ข่า คะไคร้ หรือผลไม้อย่างกล้วยไข่ กล้วยน้ำว้า กล้วยเล็บมือนาง และของแปรรูป อย่างกล้วยฉาบ เผือกฉาบ ฟักทองฉาบ ปลาส้ม แหนมเห็ดอ่ะค่ะ ซึ่งขอบอกเลยว่า ด้วยความสดของผัดไม้และของกินที่นี่ ถ้าซื้อกันแบบเพลิน ๆ ไม่ได้คิดอะไร มีพันก็หมดเป็นพันได้นะคะ >_<
หลังจากเดินช๊อปปิ้งที่ตลาดของฝากริมทางกันจนหมดตังค์ไปพันกว่าบาทแล้ว >_< ก็ได้เวลาที่พิมควรจะไปหาข้าวเที่ยงกินแล้วอ่ะค่ะ ซึ่งจุดหมายของพิมก็อยู่ที่ร้านฉลวยโภชนา ที่อยู่ห่างจากเขื่อนขุนด่านไปประมาณ 30 กว่านาทีนะคะ
ร้านฉลวยโภชนา เป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของสุกี้ค่ะ แต่ไม่ใช่สุกี้ธรรมดาแบบที่เรากินกันทั่วไปอย่างในปัจจุบันนี้นะคะ สุกี้ของร้านฉลวยจะเป็นสุกี้ที่น้ำจิ้มมีส่วนผสมของกะทิ รสออกเค็ม ๆ หวาน ๆ มัน ๆ แต่รสไม่จัดมาก แล้ววิธีการทำก็จะแปลกแตกต่างจากการทำสุกี้ทั่วไปด้วยค่ะ
สุกี้ของที่นี่เนี่ย เค้าจะมีวิธีการทำคือ เอาผักกาดขาว ต้นหอม ขึ้นฉ่าย วุ้นเส้นลงไปลวกในหม้อจนผักสุก วุ้นเส้นนิ่มก็เอามาเทใส่ชามนะคะ (มีน้ำขลุกขลิก) จากนั้นก็หยิบเนื้อสัตว์ที่ลวกสุกแล้วลงไป ราดด้วยน้ำจิ้มสุกี้แบบใส่กะทิซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของทางร้านที่ทำขายมากกว่า 50 ปีแล้วอ่ะค่ะ แล้วก็ตักกระเทียมเจียวใส่ลงไปอีกนิดหน่อย ก็จะได้มาเป็นสุกี้สูตรน้ำจิ้มกะทิแบบไทยพวนแล้วนะคะ
ซึ่งสุกี้ของที่ร้านฉลวยเนี่ย จะมีสุกี้แบบเดียวค่ะ ไม่มีให้เลือกว่าจะเอาน้ำหรือแห้ง (มันจะแห้งแบบมีน้ำขลุกขลิกอยู่แล้ว) แต่จะมีเนื้อสัตว์ให้เลือก 4 อย่าง คือ หมู ไก่ เนื้อ และทะเลนะคะ ...... เท่าที่พิมได้ลองกิน 3 อย่าง หมู ไก่ เนื้อ อร่อยทุกอย่างเลยค่ะ คือตัวสุกี้อาจจะธรรมดา ๆ แต่ว่าน้ำจิ้มนี่รสชาติแปลกดีนะคะ แต่แปลกแบบอร่อย ก็เลยทำให้พอกินรวม ๆ กันแล้ว สุกี้ของที่นี่อร่อยโอเคเลยค่ะ (ชามละ 40)
ไทยพวน” เป็นชื่อของชนกลุ่มหนึ่งที่อพยพมาจากประเทศลาวตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี และอาศัยกระจายๆ อยู่ใน 19 จังหวัดของไทยนะคะ ซึ่งจังหวัดที่มีชาวไทยพวนอาศัยอยู่มากจังหวัดนึงก็คือ นครนายกอ่ะค่ะ
บางคนบอกว่าเวลาเค้าเสริฟ เค้าจะใส่แคบหมูมาให้ด้วย แต่ตอนพิมไปกินไม่มีนะคะ ถ้าจะกิน ต้องซื้อเพิ่มค่ะ
และนอกจากสุกี้ ที่นี่เค้าก็ยังมีของที่พิมว่าอร่อยเด็ดอยู่อีก 2 อย่างนะคะ อย่างแรกคือ หมูสะเต๊ะที่ทำจากหมูสันใน หมักและย่างมาแบบนุ่ม ๆ เครื่องหมักเยอะ แต่กลิ่นขมิ้นไม่แรงมากนัก กินคู่กับน้ำจิ้มที่ทางร้านจัดมาให้ และอาจาด อร่อยดีค่ะ ^_^
และอีกอย่างก็คือ ขนมข้าวกระยาคู ขนมพื้นถิ่นของจังหวันนครนายก ที่เมื่อวานพิมขับรถเข้าไปซื้อที่ร้านป้าแจ๋วแหววนะคะ มาวันนี้เจอที่ร้านฉลวยโภชนาอีกแบบไม่ตั้งใจ ก็เลยลองชิมดูสักหน่อย ปรากฎว่าอร่อยพอ ๆ กับของป้าแจ๋วแหวว (แต่ราคาสูงกว่าประมาณ 3 เท่า ที่นี่ 3 ถ้วย 100) ก็เลยซื้อกลับไปฝากแม่ฝากน้อง 5 ถ้วยอ่ะค่ะ ^^ (กินอะไรอร่อยๆ ก็นึกถึงแม่ นึกถึงน้อง นึกถึงคนที่อยู่ที่บ้านเน๊าะคะ) เบ็ดเสร็จค่าเสียหายมื้อนี้ รวมของฝาก รวมน้ำกระเจี๊ยบ เก๊กฮวยด้วยแล้ว ก็จ่ายไป 400 กว่าบาทอ่ะค่ะ ^^
ไม่ไกลจากร้านฉลวยโภชนา ที่ชุมชนบ้านเกาะหวาย มีผลิตภัณฑ์ OTOP ที่เป็นอาหารอยู่อย่างนึงนะคะ ซึ่งพิมว่าน่าสนใจมากจนคิดว่าต้องลองซื้อกลับไปกินที่บ้านสักหน่อย ก็คือ ปลาดู อ่ะค่ะ
ปลาดู คือการถนอมอาหารอย่างนึง ที่เรียกอีกชื่อว่าปลาร้าสดนะคะ ปลาดูจะแตกต่างจากปลาร้าทั่วไปตรงที่ส่วนผสมและระยะเวลาในการหมักอ่ะค่ะ ปลาร้าทั่วไปจะใช้ปลาสดเช่น ปลาดุก ปลานิล ปลาช่อน ปลากระดี่หมักด้วยเกลือกับข้าวคั่ว และใช้เวลาในการหมักตั้งแต่ 2-3 เดือนขึ้นไปจนถึง 1 ปีนะคะ แต่ปลาดูซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านของชาวไทยพวน จะหมักด้วยกระเทียม พริกไทย เกลือ และข้าวคั่วที่ทำจากข้าวสารบดละเอียดอ่ะค่ะ ที่สำคัญจะใช้เวลาหมักแค่ 15- 30 วันเท่านั้นเอง ไม่หมักนานเหมือนนะคะ โดยปลาดูที่หมักได้ที่แล้วจะมีรสชาติเหมือนปลาร้าผสมปลาส้ม คือ มีรสเค็มพอประมาณ รสเปรี้ยวพอหอม ๆ และเนื้อไม่เละเหมือนปลาร้าอ่ะค่ะ
บ้านด้านล่าง คือบ้านครูหลอด ผู้ที่ทำปลาดูของชุมชนบ้านเกาะหวาย ตัวบ้านจะอยู่ในซอยวัดเกาะหวาย ห่างจากร้านฉลวยโภชนาประมาณ 500 เมตร หากเข้าซอยมาแล้ว ก็ให้ขับรถตรงมาประมาณ 150 เมตร จะเจอบ้านครูหลอดหลังในภาพ อยู่ทางด้านซ้ายมือ สามารถเดินเข้าไปที่ใต้ถุนบ้านได้เลยนะคะ
นอกจากปลาดูสดที่ครูหลอดทำขายโลละ 160 บาทแล้ว .... ที่บ้านครูหลอดก็มีปลาดูสำเร็จรูปพร้อมทาน อย่างปลาดูผัดเผ็ด (กระปุกละ 25-) และปลาดูทอดสมุนไพร (กล่องละ 50-) อีกด้วยนะคะ ซึ่งเท่าที่พิมซื้อมาชิม 2 กระปุก 2 กล่อง รสชาติดีเลยค่ะ ตัวปลาดูผัดเผ็ดให้ความรู้สึกเหมือนกินน้ำพริกแห้ง ๆ อย่างน้ำพริกปลาย่าง หรือน้ำพริกตาแดงนะคะ แต่จะไม่เผ็ดมาก รสค่อนข้างละมุน ๆ เปรี้ยวเค็มกำลังพอดี และก็มีกลิ่นสมุนไพรอยู่เยอะเลยอ่ะค่ะ ส่วนปลาดูทอดสมุนไพร ครูหลอดจะใช้ปลาดูทั้งตัว (ในภาพด้านบน) เอามาคลุกแป้งทอดกรอบพอทั่ว ๆ แล้วก็นำไปทอดจนสุกเหลืองทั้งตัว กินคู่กับพริกทอด ใบมะกรูดทอด และหอมเจียว อร่อยสุดๆ เลยนะคะ ^_^
ซึ่งเพื่อนๆ คนไหนที่ไปนครนายก แล้วสนใจปลาดูของครูหลอด ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ OTOP ของหมู่บ้านเกาะหวาย ก็สามารถหาซื้อได้ตามรายละเอียดที่พิมบอกด้านบนเลยนะคะ หรือถ้าใครผ่านไปแถวสี่แยกวัดอุดม ก็สามารถแวะไปซื้อได้ที่ร้าน ป. เป็ด ปทุมวันได้เลยค่า ^_^
จากบ้านครูหลอด หลังจากที่พิมตระเวนเที่ยวตะเวนกินมาทั้งวัน เหลือบมองดูนาฬิกาตอนนี้ก็ปาเข้าไปบ่าย 3 โมงครึ่งกว่าๆ ซึ่งก็ได้เวลาที่พิมใกล้จะเดินทางกลับบ้านที่กรุงเทพฯ แล้วเน๊าะคะ (เวลาแห่งความสุข ผ่านไปเร็วจริ๊งงงงง)
แต่ก่อนจะเดินทางกลับ พิมก็ขอแวะไปหาของอร่อย ๆ กินก่อนกลับสักหน่อย กับไอติมโบราณของเจ๊ยังที่อยู่แถวซอยพาณิชย์เจริญ 2 อ่ะค่ะ
พูดถึงไอติมโบราณ หลายคนอาจจะสงสัยว่าคืออะไร หรือต่างจากไอติมสมัยนี้ยังไงนะคะ #ไอติมโบราณ เป็นไอติมที่มีส่วนผสมหลักเป็นหัวกะทิคั้นสด ๆ แล้วก็จะมีวิธีทำตามแบบกรรมวิธีโบราณที่มีมากว่า 100 ปีอ่ะค่ะ อารมณ์จะคล้าย ๆ ไอศกรีมไผ่ทองที่เข็นขายตามหมู่บ้าน แต่รสชาติและสีเข้มข้นกว่านั้นมากเลยนะคะ แถมเวลากัดเข้าไปแต่ละคำ จะรู้สึกได้ถึงความเข้นข้นหอมมันของกะทิแบบเต็ม ๆ ปากเลยค่ะ ^^
ไอติมของเจ้ยัง จะมีอยู่ 2 แบบก็คือ ไอติมข้น กับไอติมน้ำนะคะ .... ซึ่งเจ้ยังบอกให้พิมฟังว่า ไอติมข้นก็คือไอติมที่เหมือนไอติมกะทิสีขาว ๆ มีเครื่องแบบทั่วไปอ่ะค่ะ ส่วนไอติมน้ำเหมือนไอติมกะทิที่ไม่แข็ง คล้ายๆ เสลอปี้ตามเซเว่น แต่ข้นกว่าและเนื้อละเอียดกว่า เวลาทานต้องตักใส่แก้วแล้วใช้หลอดดูดทำนองนั้นนะคะ แต่ไม่ว่าจะไอติมข้นหรือไอติมเหลว จากที่พิมได้ชิม ไอติมของเจ้ยังล้วนแต่รสหวานเย็นหอมชื่นใจมากๆ เลยอ่ะค่ะ แถมยังมีเครื่องให้ใส่อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นข้าวโพด ข้าวเหนียว เผือก ขนมปัง ลูกชิด และอื่นๆ อีกมากมายนะคะ ที่สำคัญใช้ราคามะพร้าว ราคากะทิสดสูงขนาดนี้ มีตำนานในการทำมานานมากขนาดนี้ แต่ถ้ากินที่ร้าน เจ้ยังขายแค่ถ้วยละ 5 บาท เท่านั้นเองอ่ะค่ะ เรียกได้ว่าถูกมากกกกกก ๆ เลย นี่ถ้าขายอยู่แถวบ้านพิม จะจัดสักวันละ 5 ถ้วยเลยค่า ^^
(ภาพด้านล่าง ใส่ถ้วยกลับบ้าน ถ้วยละ 10 บาท)
จากร้านเจ้ยัง จุดหมายสุดท้ายที่พิมจะแวะไปก่อนจบทริปนี้ก็คือ ตลาดต้นไม้คลอง 15 นะคะ คือตอนก่อนจะมานครนายกเนี่ย แม่พิมเค้ารู้ว่าขากลับ พิมจะต้องแวะดูต้นไม้ที่คลอง 15 แน่นอนอ่ะค่ะ (เป็นคนชอบต้นไม้เหมือนกัน) เค้าก็เลยฝากพิมซื้อต้นไม้จำพวกไม้ดอกเล็กๆ ที่กระถางละ 10 - 20 บาท สักสิบยี่สิบกระถาง แล้วก็ฝากซื้อผักสวนครัวต้นเล็กๆ อย่างมะเขือ พริกเหลือง พริกชี้ฟ้า เพื่อเอาไปปลูกแซมกับต้นเก่าที่ใกล้จะต้องถอนทิ้งเพราะแก่มากแล้วนะคะ แต่ด้วยความที่พิมไม่ได้ไปคลอง 15 นานหลายเดือนอยู่ เมื่อวานนี้ก่อนจะไปเที่ยวที่ไหน พิมก็เลยแว๊บไปที่ตลาดต้นไม้ก่อน เพื่อดูลาดเลาก่อนว่าต้นที่แม่อยากได้เนี่ยมีขายตรงไหนบ้างอ่ะค่ะ เพื่อที่พอวันนี้ไปถึงตลาดปุ๊บ (น่าจะใกล้เวลาตลาดปิด) จะได้ไปจอดรถหน้าร้านนั้นเลยนะคะ
แต่ระหว่างที่พิมเดินทางกลับ พิมก็เห็นว่าตามข้างทางมีร้านขายไม้กวาดดอกหญ้าเต็มไปหมดเลยอ่ะค่ะ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะนครนายกเป็นจังหวัดที่มีต้นตองกง หรือที่บางคนเรียกต้นแถม ต้นดอกไม้กวาดขึ้นตามชายป่าชายเขาเยอะมากนะคะ แถมไม้กวาดที่นี่ยังราคาไม่แพง เริ่มต้นแค่อันละ 30 บาทหรือที่แน่น ๆ ใหญ่ ๆ หน่อย ก็อันละประมาณ 50 เท่านั้น พิมก็เลยจัดการให้คุณสามีจอดรถ แล้วลงไปซื้อมาซะ 6 อันเพื่อกลับไปฝากแม่ และฝากคนข้างบ้าน รวมถึงเก็บไว้ใช้เองอ่ะค่ะ ^_^
จากจุดที่ขายไม้กวาด ขับรถมาอีกสักประมาณ 20 กว่านาที พิมก็ถึงจุดหมายปลายทางสุดท้ายของทริปนี้ ก็คือตลาดต้นไม้คลอง 15 แล้วนะคะ
แล้วก็เป็นไปอย่างที่พิมคิดไว้จริง ๆ พิมมาถึงตลาดต้นไม้เอาตอน 5 โมงเย็นกว่าๆ หลาย ๆ ร้านเค้าก็เตรียมเก็บร้านกันแล้วค่า >_<
แต่โชคดีว่าตอนขามา พิมมาดูลาดเลาเอาไว้แล้วว่าพิมจะซื้อต้นไม้อะไรที่ร้านไหนนะคะ พอขากลับมาถึงคลอง 15 พิมก็เลยขอให้คุณสามีไปจอดรถที่ใกล้ ๆ ร้านนั้น แล้วก็บอกเจ้าของร้านเลยอ่ะค่ะว่า จะเอาต้นอะไรอย่างละเท่าไหร่บ้าง ซึ่งเจ้าของร้านเค้าก็รีบหยิบใส่ถุงให้อย่างไว ทำให้เราไม่ต้องยืนรอด้วยนะคะ
แถมคนขายเค้าเห็นว่าเมื่อวานพิมแอบมาถาม ๆ ดูทีนึงแล้ว (เค้าบอกว่าจำได้ ^^) พอมาวันนี้พิมซื้อดอกดาวเรือง หงอนไก่ บานเย็น หงอนไก่ รวมกัน 10 ต้นเค้าก็เลยแถมมาให้อีก 3 ต้นด้วย เรียกว่างานนี้ได้ทั้งของราคาถูกและของแถมเลยอ่ะค่ะ ^_^
.... ถึงตรงนี้ก็เป็นอันว่าทริปนครนายก 2 วัน 1 คืนของพิมจบลงอย่างสวยงามนะคะ ^_^ ทั้งได้กินของอร่อยหลากหลาย ทั้งได้กินอาหารถิ่นที่พิมลงทุนมาตามหา ทั้งได้เที่ยวสนุกๆ หลาย ๆ ที่ ได้ทำอะไรที่พิมไม่เคยทำหลายอย่าง และได้ซื้อของฝากที่ราคาไม่แพง ...... เรียกว่ามีความสุขและสนุกที่สุดเลยอ่ะค่ะ ยังไงก็ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่ตามมาอ่านด้วยนะคะ ^_^
ส่วนทริปหน้าพิมจะไปจังหวัดไหน จะไปกินอะไร ไปเที่ยวที่ตรงไหน ไปทำกิจกรรมอะไรสนุก ๆ บ้าง ...... คอยติดตามชมกันน๊า รับรองว่าสนุกและอร่อยไม่แพ้ทริปนี้แน่นอนค่า