header



ไม่รู้คนอื่นเป็นกันบ้างไหม  ช่วงไหนที่พิมต้องทำงานติดต่อกันหลายวัน  ก็เหมือนแบตเตอรี่ในตัวมันจะค่อย ๆ อ่อนแรงลง ก็เลยต้องหาเรื่องออกไปเที่ยวเพื่อชาร์จแบตกันบ้างค่ะ

แต่ด้วยความที่ช่วงสองสามเดือนมานี้พิมมีงานเยอะมาก ก็เลยหาวันที่ว่างติดกันหลาย ๆ วันไม่ค่อยได้ ส่วนใหญ่จะว่างแค่วันเดียวนะคะ  เพราะงั้นแล้วพอพิมคิดถึงเรื่องจะเที่ยว จุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยวของพิมส่วนใหญ่ก็เลยมักจะเป็นจังหวัดรอบ ๆ กรุงเทพฯ นี่แหละค่ะ  ซึ่งพิมก็แพลนไว้หลายจังหวัดมากนะคะ  555   แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ไปสักจังหวัด เพราะหาเพื่อนร่วมทริปไม่ได้ค่ะ  #ไปสองคนมันจะเหงาๆนิ๊ดดดนึง  >_<  

แล้วอยู่ดี ๆ  กลางดึกวันนึง ก็มีน้องสาวสุดที่รักคนนึงส่งข้อความมาหาประมาณว่า "พี่พิมวันเสาร์ที่จะถึงนี้ว่างไหมคะ  ไปหาอะไรกินที่สุพรรณบุรี-อ่างทอง กันค่า"  ..  ด้วยความที่ไม่ได้ไปเที่ยวกับน้องสาวคนนี้นานแล้ว แถมยังเป็นทริปวันเดียวอีกด้วย  พิมก็เลยตอบตกลงไปโดยไม่คิดอะไรเลยจ้า  #ใจง่ายมากฮ่าๆ

300

จะว่าไปแล้ว ..... สุพรรณบุรี-อ่างทอง เป็นจังหวัดที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านพิมมากนัก  ถ้านับเฉพาะเวลาในการเดินทาง ก็ใช้เวลาขับรถประมาณ 2 ชั่วโมงได้ค่ะ   และแม้ทั้งสองจังหวัดเป็นจังหวัดที่ไม่ใหญ่นัก  แต่มีสิ่งที่น่าสนใจเยอะมากโดยเฉพาะอาหารอร่อย ๆ เพราะนั้นทริปนี้ของพิมก็เลยจะเน้นพาชิมนิ๊ดดนึงนะคะ  ^_^

405

ทริปนี้ของพิมเริ่มออกเดินทางจากบ้าน ตอนประมาณตี 5 ค่ะ  แบบว่าเช้ามากเลยใช่ไหมคะ  ^_^  จริง ๆ แล้วพิมจะออกจากบ้านช้ากว่านี้ก็ได้ แบบว่าสัก 7 โมง 8 โมง อะไรงี้ เพราะอย่างที่บอกสุพรรณบุรี-อ่างทองอยู่ใกล้แค่นี้เอง  แต่ว่าด้วยความที่พิมมีวันว่างวันเดียวอ่ะ  ก็อยากจะใช้มันให้คุ้มค่าประมาณว่าเที่ยวตั้งแต่เช้าจรดค่ำทำนองนั้นเลยค่ะ ^_^ 

จุดหมายแรกของพิม อยู่ที่ #ตลาดศาลเจ้าโรงทอง ในอำเภอวิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง นะคะ  เป็นตลาดเช้า (ถ้าศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ตอนเย็นเป็นถนนคนเดิน)   ตลาดนี้พิมเคยมา 3-4 ครั้งแล้ว เป็นอีกหนึ่งตลาดที่พิมชอบมาก เพราะว่านอกจากจะมีผักที่ชาวบ้านเก็บมาขายกันเองแล้ว ก็มีของกินอร่อยๆ เยอะแยะเลยค่ะ  

406 

เริ่มกันที่หน้าตลาด ก็จะเป็นโซนแบกะดินนะคะ (พิมตั้งชื่อให้เอง ^_^)  โซนนี้จะเป็นโซนที่ชาวบ้านเค้าจะเก็บพืชผักจากในบ้านในสวน แล้วก็เอามาวางขายกันเองแบบไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางค่ะ  ด้วยความที่ช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝน นอกจากจะมีพืชผักหลากหลายแล้ว  พืชผักแต่ละอย่างก็งามมาก ๆ ด้วยนะคะ  ปลาน้ำจืด ปลาแดดเดียวก็มีเยอะ  แถมราคาไม่แพงด้วยค่ะ   อย่างหน่อไม้ในภาพ ถ้าพิมจำไม่ผิดคือโลละ  15 บาท  หน่อนึงก็ 20-30 บาท  ผักบุ้งกำละ 5 บาท  ดอกบัวกำละ 5 บาท  กล้วยหวีละ 10-20 บาท ปลาช่อนนาโลละไม่ถึง 100 บาท  ปลากระดี่วงละ 15 บาท  ... ประมาณนี้นะคะ 

524

308

5260

513

หลังจากจับจ่ายวัตถุดิบสำหรับทำกับข้าวเรียบร้อยแล้ว  เมื่อเดินเข้ามาในตลาดด้านใน ก็จะเจอกับโซนของกินอร่อย ๆ ค่ะ   เริ่มตั้งแต่ทอดมันปลากรายที่ขายมากว่า 20-30 ปี   ขอบอกว่านอกจากทอดมันจะมีความหนึบนุ่ม เค็มเผ็ดกำลังดี และหอมพริกแกงแล้ว  น้ำจิ้มนี่เป็นทีเด็ดเลยนะคะ  เพราะเค้าใส่มะละกอขูดเส้นลงไปด้วย  เวลากินก็จะได้อารมณ์คล้าย ๆ กินทอดมันกับส้มตำไทยเลยค่ะ  ... ใครมาตลาดนี้แนะนำว่าต้องลอง หาไม่ยาก เพราะมีร้านทอดมันอยู่ร้านเดียว  แล้วที่สำคัญคือ ป้าขายตั้งแต่เช้าจรดเย็น เรียกว่ามีให้ซื้อกินกันทั้งวันเลยจ้า 

403

404

ถัดจากร้านทอดมันมาไม่ไกล ก็จะมีร้านขายปาท่องโก๋ยืนหนึ่งของตลาดนะคะ  คือตลาดนี้มีร้านขายปาท่องโก๋หลายร้าน   แต่มีแค่ร้านนี้ร้านเดียวเท่านั้นที่ต้องรอคิว   เพราะว่าปาท่องโก๋ของเค้าอร่อยมากกกกก   รสสัมผัสเป็นแบบกรอบนอกนุ่มใน และกรอบแบบเบา ๆ  ไม่อมน้ำมัน ไม่เหนียว ไม่แน่น  ที่สำคัญคือเป็นปาท่องโก๋ที่กินแล้วรู้สึกอยากกินต่ออีกเรื่อย ๆ ค่ะ     เรียกได้ว่ามีความอร่อยเป็นเอกลักษณ์มาก    ถึงกับมีเรื่องเล่าว่ามีครอบครัวนึงพ่อใช้ให้ลูกมาซื้อปาท่องโก๋ร้านนี้ แต่ลูกไม่อยากรอคิว ก็เลยไปซื้อปาท่องโก๋ร้านอื่น  แต่พอพ่อกัดปาท่องโก๋เข้าไปคำแรก  พ่อก็รู้เลยว่าไม่ใช่ของร้านนี้ เพราะความอร่อยมันต่างกันนะคะ  ^_^

309

310

มีปาท่องโก๋อร่อย ๆ แล้ว ก็ต้องหากาแฟโบราณกินกันสักหน่อยค่ะ  ที่ตลาดนี้ก็มีร้านขายกาแฟอยู่หลายร้านนะคะ   แต่เจ้าถิ่นบอกว่าร้านนี้เด็ดสุด  เพราะนอกจากกาแฟเค้าจะรสเข้มข้น หอมสมเป็นกาแฟโบราณแล้ว ราคาก็ถูกด้วยค่ะ  ถ้าจำไม่ผิดถุงละ 15 บาท   ติดตรงที่ว่าคนขายจะยิ้มยากและดุนิ๊ดดดนึง (ใครอยากรู้ว่าดุแค่ไหน ต้องมาลองน๊าา)    แต่มองอีกทีก็ถือว่าเป็นเสน่ห์ของร้านไปอีกแบบนะคะ 55 

408

แล้วใกล้ ๆ กับร้านกาแฟ  ก็จะมีร้านขายขนมกล้วยไส้มะพร้าวอ่อนอยู่ร้านนึงค่ะ  (บอกแล้วววว ว่าทริปนี้เน้นของกิน)  แต่ว่าขนมกล้วยร้านนี้เค้ามีการปรับลุคส์ให้ดูทันสมัย ด้วยการเอาส่วนผสมใส่ในพิมพ์วอฟเฟิลแทนการเอาไปนึ่ง   รสชาติรสสัมผัสก็จะออกมาคล้าย ๆ กับแป้งจี่  (รู้จักแป้งจี่กันหม๊ายยย)   เหนียวนุ่ม หนึบหอม อร่อยหวานมัน  ที่สำคัญถูกมากกก ชิ้นละ 10 บาทเองนะคะ  ^_^

500

ส่วนใครที่ชอบกินแป้งจี่ของแท้  ที่ตลาดนี้เค้าก็มีขายด้วยค่ะ   ร้านอยู่ฝั่งตรงข้ามร้านกาแฟเลย  คุณยายขายมากว่า 50 ปีแล้ว อร่อยมากกก หอมหวานมัน หนักมะพร้าว ^_^   พิมมาทีไรก็ต้องแวะซื้อตลอด  แล้วคุณยายก็ให้เยอะด้วยนะคะ   ซื้อ 20 บาทพิมไม่เคยกินหมดสักทีเลยค่ะ  >_<    แต่ถ้าใครจะแวะเวียนมาอุดหนุนคุณยาย ขอให้ใจเย็นนิ๊ดนึง แล้วก็พูดดังนิ๊ดดนึงนะคะ   เพราะว่าคุณยายอายุ 70 กว่าแล้ว   หูก็จะได้ยินไม่ชัดเหมือนคนหนุ่มสาว การเคลื่อนไหวก็จะช้า ๆ นิดนึง   แต่รับรองว่าถ้าได้กินแป้งจี่ฝีมือคุณยาย  จะรู้สึกว่าคุ้มค่ากับการรอคอยแน่นอนค่ะ ^_^

** ตามตำราที่พิมเคยอ่านมา แป้งจี่กับบ้าบิ่น ส่วนผสมส่วนใหญ่เหมือน ๆ กัน ต่างกันที่แป้งจี่ คือ ตักส่วนผสมหยอดลงกระทะแบน แล้วจี่ให้สุกทั้งสองด้าน ส่วนบ้าบิ่น ใช้วิธีเทใส่ถาดแล้วเอาเข้าอบจ้า

527

นอกจากทอดมัน ปาท่องโก๋ แป้งจี่ กาแฟโบราณ ขนมกล้วยแล้ว  ในตลาดศาลเจ้าโรงทองก็ยังมีของกินอร่อย ๆ ที่น่าสนใจอีกหลายอย่างนะคะ ไม่ว่าจะเป็น  ข้าวต้มมัด  ข้าวเกรียบงา (ทั้งย่างแล้วและยังไม่ได้ย่าง)  ขนมครกทรงเครื่องสูตรโบราณกว่า 50 ปี (ที่วันนี้ไม่ได้มาขายพอดี)   ขนมไข่ปลาที่หากินได้ยากมาก    รวมไปถึงขนมหวานของร้านทรงนิมิตรค่ะ 

514

515

517

518

พูดถึงร้านขนมหวานทรงนิมิตร  เมื่อหลายสิบปีก่อนร้านนี้เป็นร้านตัดเสื้อผ้าชื่อดังในพื้นที่วิเศษชัยชาญ   เรียกว่าถ้าใครจะตัดเสื้อผ้าแบบเนี๊ยบ ๆ ล่ะก็ต้องมาที่ร้านนี้นะคะ     แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างจากร้านตัดเสื้อผ้าก็เปลี่ยนมาเป็นร้านขายขนมไทย  และด้วยความที่มีขนมไทยหลากหลาย แถมอร่อย ๆ ทั้งนั้น  มีการทำขนมหวานให้ดูที่หน้าร้าน  ปัจจุบันร้านทรงนิมิตรก็เลยกลายเป็นร้านขนมไทยชื่อดังของอำเภอวิเศษชัยชาญด้วยค่ะ  

504

523

507

สำหรับใครที่อยากจะมาซื้อขนมที่ร้านนี้ ถ้าเป็นขนมแห้งก็จะมีขายตั้งแต่เช้านะคะ  ประมาณ 8-9 โมง คือมีตั้งแต่เริ่มเปิดร้านเลย   แต่ถ้าเป็นขนมสด  อย่าง ขนมลูกเต๋า  เกสรลำเจียก  เม็ดขนุนฯ พวกนี้ให้มาสาย ๆ หน่อย สัก 10 โมงไปแล้ว ถึงจะมีขายค่ะ ^_^ 

509

511

314

หลังจากเดินเล่นและจับจ่ายใช้สตางค์ในตลาดศาลเจ้าโรงทองกันประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ  เราก็ออกจากตลาดและเดินทางไปที่วัดม่วง ซึ่งเป็นวัดที่มีพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลก  เพื่อไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยกันสักหน่อยนะคะ    ซึงวัดม่วงเนี่ยก็อยู่ไม่ไกลจากตลาด  ถ้าขับรถไปก็ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาทีเลยค่ะ  แต่ก่อนจะไปไหว้พระกัน  พิมก็อยากเล่าถึงประวัติวัดม่วงให้ฟังนิดนึง เผื่อใครสงสัยว่ามีที่มาที่ไปยังไงนะคะ

#วัดม่วง แต่เดิมเป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายค่ะ    จนมาถึงช่วงนึงที่มีศึกสงครามกับพม่า  เกิดการต่อสู้กันครั้งใหญ่  ทำให้สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในบริเวณวัดพังลงมาจนเหลือแต่ซาก  ไม่สามารถใช้ทำกิจของสงฆ์ได้ จึงกลายเป็นวัดร้างอยู่หลายปีนะคะ    ต่อมาประมาณปี 2525  หลวงพ่อเกษม อาจารยสุโภ ซึ่งเป็นพระนักธุดงค์  ท่านได้มาปลักกลดธุดงค์อยู่บริเวณนี้  และขณะที่ท่านนั่งสมาธิอยู่ก็ได้ปรากฎนิมิตรเห็นหลวงปู่ที่ท่านไม่รู้จัก  2 รูป  บอกให้ท่านช่วยสร้างวัดนี้ขึ้นมาใหม่ได้ไหม  เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ท่านจึงได้ไปบอกเล่าเรื่องนี้กับชาวบ้านในบริเวณนั้น  ต่อมาชาวบ้านก็ได้รวบรวมกำลังทรัพย์ กำลังแรงมาช่วยหลวงพ่อเกษม บูรณะวัดขึ้นมาใหม่ จนกลายมาเป็นวัดม่วงในปัจจุบันค่ะ 

ต่อมาในปี 2534  หลวงพ่อเกษมท่านได้รับมอบเงินบริจาคก้อนใหญ่จากลูกศิษย์ลูกหาและผู้มีจิตศรัทธาทั่วประเทศ  เพื่อสร้างพระพุทธรูป  "หลวงพ่อใหญ่"  หรือ "พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ"  สำหรับน้อมถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนะคะ    โดยพระพุทธรูปองค์นี้ใช้เวลาในการสร้างทั้งหมด 16 ปี  และด้วยความที่มีขนาดหน้าตักถึง 63.5 เมตร  สูงจากฐาน 95 เมตร  จึงกลายเป็นเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยค่ะ    ^_^ 

316

522

317

หลังจากที่เราไหว้พระทำบุญกันเรียบร้อยแล้ว  ก่อนที่จะไปต่อ พิมก็ได้ข่าวแว่ว ๆ มาว่าที่ด้านหลังวัด (หรือเรียกหน้าวัดก็ไม่รู้อ่าาา) มีร้านขายข้าวหลามอร่อยอยู่เจ้านึงนะคะ   เป็นข้าวหลามที่เผาแบบสมัยโบราณคือเผาด้วยถ่าน  แล้วก็เผาแบบสดใหม่วันต่อวันด้วยค่ะ   ความอร่อยนี่ไม่ต้องพูดถึง หลังจากได้ชิมแล้วขอบอกเลยว่าหวานมัน ฉ้ำกะทิ และหอมมาก  แต่ก็ไม่หวานปรี๊ดปร๊าดเหมือนข้าวหลามทางชลบุรีนะคะ    ใครที่ชอบข้าวหลาม พิมแนะนำว่าต้องลองเลยจ้า  ชุดนึงมี  3 กระบอก ข้าวเหนียวขาว 2 ดำ 1 ราคาร้อยบาทถ้วน ๆ ค่ะ 

320

ก่อนจะออกจากวัด ที่ตรงข้ามกับร้านข้าวหลาม มีร้านขายข้าวเกรียบปากหม้อไส้ผักอยู่เจ้านึง (บางคนอาจจะเรียกกุยช่ายปากหม้อ)    ตอนแรกพิมไม่ได้ตั้งใจซื้อ แต่ระหว่างที่ยืนรอข้าวหลามก็ยืนดูพี่เค้าทำไปพลาง ๆ ในที่สุดก็เลยสั่งมากินด้วย  ปรากฎว่าอร่อยกว่าที่คิดเยอะ น้ำจิ้มนี่คือแบบเข้มข้นมาก  มาครบรส ทั้งหวาน เปรี้ยว เค็ม เผ็ด  ส่วนกุยช่ายก็ชิ้นใหญ่มาก  ชิ้นนึงกินได้ 2 คำสบายๆ  กล่องนึงมี 5 ชิ้นถ้าจำไม่ผิดคือ 30 บาท  ใครอยากลองหลาย ๆ รส พิมแนะนำไส้รวม  แต่ถ้าถามว่าพิมชอบไส้อะไรมากสุด ตอบเลยว่าไส้กุยช่ายค่า ^_^

529

323

จากวัดม่วง ตอนแรกเราแพลนกันว่าจะไปเรียนรู้วิธีการทำขนมตาลพับที่บ้านป้าแอ๋วกันก่อนนะคะ   แต่ปรากฎว่าพอเหลือบตาดูนาฬิกาปาเข้าไป 11 โมงกว่าแล้ว  เราก็เลยเปลี่ยนแผนมาหาร้านกินข้าวเที่ยงกันก่อนค่ะ  ^_^

สำหรับมื้อเที่ยงวันนี้พวกเราก็ฝากท้องไว้ที่ร้านเจ้หมวยหมูเกาหลี (หมูกระทะ) ที่อยู่แถว ๆ วัดนางใน ใกล้กับตลาดศาลเจ้าโรงทองนะคะ  หรือที่คนพื้นที่เรียกกันว่าร้านเจ้หมวยเล็ก   ความพิเศษของร้านนี้นอกจากรสชาติที่อร่อยเป็นเอกลักษณ์มาเกือบ 30 ปีแล้ว ก็ยังเป็นร้านหมูเกาหลีที่เปิดขายตั้งแต่เช้าไปจนถึงดึกๆ อีกด้วยค่ะ 

332

โดยราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่เซตละ 150 บาท นะคะ  เลือกได้ว่าจะเอาชุดปิ้งย่าง หรือชุดจุ่ม  (อร่อยทั้งสอง)  โดยในแต่ละชุดก็จะมีเตาปิ้งย่าง/หม้อจุ่มมาให้ชุดนึง มีผักลวกพร้อมวุ้นเส้นให้ชุดนึง และมีหมูหมักให้  2 จานนะคะ  ซึ่งหมูหมัก/น้ำจิ้ม สำหรับจุ่มกับสำหรับปิ้งย่างก็ไม่เหมือนกันน๊า  แบบปิ้งย่างน้ำจิ้มจะออกหวานๆ  นิดนึงคล้ายน้ำจิ้มไก่  ส่วนแบบจุ่มจะออกเปรี้ยวๆ  นิดนึงคล้ายน้ำจิ้มซีฟู้ด  ถ้าให้พิมแนะนำล่ะก็สั่งมา 2 แบบเลย  แล้วก็เอาน้ำจิ้มผสมกันนะคะ รับรองว่าลงตัวค่า ^_^

ส่วนถ้าใครทานในชุดไม่พอ  จะสั่งหมูหมักหรือเนื้อสัตว์อย่างอื่นเพิ่ม  สั่งผักเพิ่ม ก็สั่งได้เลยตามชอบ เนื้อสัตว์จานละ 50 บาท ผักจานละ 20 บาทเท่านั้นเองค่ะ  

334

335

333

ส่วนใครที่แบบว่าฉันไปคนเดียว  ไม่อยากสั่งหมูมานั่งย่างกินคนเดียว  ที่ร้านเจ้หมวยเค้าก็มีอาหารอย่างอื่นให้สั่งด้วยนะคะ เช่น สุกี้แห้ง  (ทีเด็ดอยู่ตรงกากหมูที่ใส่มาเพียบบบ)  ซี่โครงหมูตุ๋น (รสเค็มๆ หวานๆ)   จานนึงก็ไม่แพง 50-80 บาทประมาณนี้ค่ะ 

532

จากร้านหมูเกาหลีเจ้หมวย  ก็ได้เวลาที่พิมจะไปเรียนรู้วิธีการทำขนมตาลพับล่ะค่า ซึ่งที่ ๆ พิมจะไปเรียนเนี่ย ก็คือบ้านป้าแอ๋ว ที่อยู่หลังวัดม่วงนั่นเองค่ะ 

พูดถึงขนมตาลแล้วเนี่ย ปกติถ้าเราไม่เห็นอยู่ในห่อใบตอง เราก็จะเห็นขนมตาลอยู่ในถ้วย ในกรวยหรือกระทงใช่ไหมคะ  แต่ว่าขนมตาลของป้าแอ๋ว นอกจากจะเป็นสูตรโบราณที่สืบทอดกนัมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายของป้าแอ๋วแล้ว (อายุไม่ต้องนับ เกินร้อยปีแน่นอน)   แพคเกจจิ้ง (เรียกให้หรูนิดนึง 55) ขนมตาลของป้าแอ๋วก็จะแตกต่างจากคนอื่นด้วยนะคะ   เพราะป้าใช้วิธีห่อด้วยใบตาลอ่อน ซึ่งเป็นวิธีที่มีมาตั้งแต่สมัยโบร่ำโบราณค่ะ  

324

ด้วยความที่พวกเรามีเวลาจำกัด แต่ขนมตาลต้องใช้ระยะเวลาในการหมักหลายชั่วโมงเพื่อให้ขึ้นฟู   พวกเราก็เลยต้องขอให้ป้าแอ๋วช่วยหมักขนมตาลเอาไว้ให้ชุดนึงก่อน เพื่อที่เวลาเราไปถึง จะได้ห่อนึ่งได้ทันทีเลยนะคะ    ซึ่งตอนที่พวกเราไปถึง ป้าก็จะสอนวิธีการผสมขนมตาลก่อนว่าต้องใช้อะไรบ้าง สัดส่วนเท่าไหร่ ผสมยังไง   จากนั้นก็สอนการเตรียมใบตาล   การห่อขนมตาลด้วยใบตาล  รวมไปถึงเทคนิควิธีการว่าต้องใส่ส่วนผสมเท่าไหร่ ถึงจะนึ่งออกมาแล้วขนมตาลสุกฟูกำลังดี เนื้อขนมไม่แน่น   ก่อนที่ป้าจะยกส่วนผสมทั้งหมดให้เราทำการห่อนึ่งตามชอบเลยค่ะ 

325

328

และหลังจากที่พวกเราห่อและนึ่งเสร็จเรียบร้อย ก็ได้ขนมตาลพับออกมาหน้าตาอย่างในภาพด้านล่างนะคะ ขอบอกว่าเป็นขนมตาลที่อร่อยนุ่ม และหอมกลิ่นตาลมากกกก เพราะป้าใส่เนื้อตาลเยอะสุดๆ    ใครสนใจอยากลองชิมก็ไปหาป้าได้ที่ตลาดศาลเจ้าโรงทอง ป้าขายอยู่หน้าร้านขนมพรพรรณ  และเริ่มขายตั้งแต่ประมาณ 6 โมงเช้า พอสาย ๆ สัก 9 โมงก็หมดแล้วค่ะ   หรือถ้าใครสนใจอยากมาเรียนทำขนมตาลกับป้า   ก็ลองโทรไปสอบถามป้าได้  เบอร์โทร 092-805-5845  ป้าแอ๋วนะคะ  ^_^

531

326

จากบ้านป้าแอ๋วที่อ่างทอง จุดหมายถัดไปของพิมก็คือ ร้ายกุ่ยหมงที่สุพรรณบุรีค่ะ  (ยังเหลืออีก 3 จุดหมายที่ต้องไปให้ได้ในวันนี้ 55) ถึงแม้ว่าร้านกุ่ยหมงจะห่างจากบ้านป้าแอ๋วถึง 40 กม. หรือใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้พิมหวั่นไหวได้นะคะ  เพราะพิมได้ข่าวมาว่าที่ร้านนี้มีกุ้งแม่น้ำที่เป็นกุ้งแม่น้ำตัวหญ่ายยยยยมาก และมีเมนูเด็ดที่ทำจากกุ้งแม่น้ำอยู่ด้วยค่ะ ^_^ 

พูดถึง #ร้านกุ่ยหมง แล้วก็อยากจะเหลา เอ๊ยย เล่าสักนิดค่ะว่าร้านนี้เนี่ย เค้าเป็นร้านอาหารชื่อดังและเก่าแก่ที่อยู่คู่กับชาวบางปลาม้า จ.สุพรรณบุรีมากว่า 100 ปีแล้วนะคะ  เป็นร้านอาหารสไตล์ Home  Cooking   ทำกันเองในครอบครัว ไม่ได้แบบว่าจ้างพ่อครัวแม่ครัวมาเป็นเชฟประจำร้าน  แล้วก็มีวัตถุดิบเด่นเป็นกุ้งแม่น้ำธรรมชาติตัวใหญ่ ที่สั่งตรงมาจากคนหากุ้งในแม่น้ำตาปี และทะเลสาปลำปำที่พัทลุง  จุดเด่นก็คือ แม้กุ้งจะตัวใหญ่แค่ไหนก็ไม่เหนียว  แถมยังมีรสหวาน มีกลิ่นหอมของกุ้งตามธรรมชาติอีกด้วยค่ะ 

901

สำหรับเมนูที่พวกพิมสั่งมากินกันในมื้อนี้อาจจะดูเยอะๆ หน่อยนะคะ  เพราะว่าไปกันหลายคน  (ข้ออ้าง ฮ่าๆ)  ก็จะมีกุ้งแม่น้ำทอดเกลือ ปลากรายผัดกะเพรา  ปลาม้าผัดขึ้นฉ่าย  เห็ดโคนต้มยำ  หน่อไม้ทะเลผัดคะน้า หมูผัดซีอิ๊ว และก็กบทอดกระเทียมค่ะ

344

สำหรับกุ้งทอดเกลือ ปกติแล้วเค้าก็จะมีให้เลือกว่าอยากได้ขนาดตัวประมาณไหนนะคะ   ก็จะมีตั้งแต่ตัวละ 600 ไปจนถึงตัวละ 2000 บาท   สำหรับตัวที่พิมสั่งมาก็จะเป็นแบบตัวละ 1000 บาท   ตอนแรกที่สั่งก็รู้สึกว่าแพงจัง  เลยสั่งคนละตัวก็พอ 555     แต่พอได้กินแล้ว ขอบอกว่าอร่อยมากซะจนไม่เสียดายเงิน 1000 เลยค่ะ    คือพ่อครัวเค้าทำมาได้พอดีทุกๆ อย่างจริง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นเนื้อกุ้งที่ทอดมาได้แบบสุกกำลังดี  ไม่นิ่มไปไม่แข็งไป  น้ำมันทอดกุ้งก็มีรสของมันกุ้งแบบเต็ม ๆ แล้วก็ปรุงมาได้เค็มหวานแบบกำลังดี    อร่อยจนพิมไม่อยากวางช้อนเลยนะคะ ะ   ใครที่มาทานอาหารร้านนี้ พิมแนะนำว่าต้องสั่งเมนูนี้ จะตัวเล็กตัวใหญ่ก็ได้ เลือกเอาตามที่สะดวกได้เลยค่ะ 

341

ต่อมาเมนูปลาม้าผัดขึ้นฉ่าย   ปลากรายผัดกะเพรา อันนี้ก็เป็นอีกเมนูที่พิมว่าน่าสั่งมาลองนะคะ โดยเฉพาะปลากรายผัดกะเพรา เป็นแบบผัดแห้ง เนื้อปลากรายหนึบหนับ มีความเผ็ดร้อนของพริกแห้งและความหอมจากใบกะเพรา แถมมีกระเทียมโทนให้เคี้ยวเล่นด้วย  รสเผ็ดนำแต่ไม่มาก เค็มตามนิด ๆ ไม่หวาน  อร่อยเลยค่ะ 

353

ส่วนหมูผัดซีอิ๊วกับหน่อไม้ทะเลผัดคะน้า อันนี้ก็จะรสชาติออกสไตล์จีน ๆ นะคะ เค็มนำนิด ๆ เหมือนกัน หวานตามหน่อย ๆ กินกับข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยดีอยู่ค่ะ 

สรุปตามความเห็นพิม ... อาหารร้านนี้ราคาค่อนข้างสูง แต่รสชาติอร่อยในสไตล์จีนๆ ทานแล้วไม่เสียดายเงินนะคะ  ^_^

354

จากร้านกุ่ยหมง  ถ้าเพื่อน ๆ มองไปฝั่งตรงข้ามก็จะเจอกับร้านแม่บ๊วยค่ะ  (จบร้านนี้ แล้วยังมีอีกร้านนึงนะคะ 55) 

ร้านแม่บ๊วยเป็นอีกหนึ่งร้านอาหารเก่าแก่และชื่อดังของเมืองสุพรรณค่ะ   เป็นร้านอาหารไทย เมนูเด็ดของเค้าก็เป็นกุ้งแม่น้ำเหมือนกัน ต่างที่เป็นกุ้งแม่น้ำเผานะคะ 

902

จริง ๆ แล้วร้านนี้มีเมนูอร่อยเยอะแยะมากมาย   ไม่ว่าจะเป็นปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม ปลาคังลวกจิ้ม  ต้มยำปลาม้า พล่ากุ้ง ฯ   แต่ด้วยความที่วันนี้พิมตะเวนกินมาตั้งเช้า เพราะงั้นพอถึงตอนนี้พิมก็เลยแทบจะไม่เหลือท้องไว้ใส่อาหารอย่างอื่นแล้วค่ะ   ก็เลยเลือกสั่งกันมาเฉพาะที่ตัวเองอยากกินคนละ 1 อย่าง แต่รวมๆ แล้วก็หลายอย่างอยู่ดีนะคะ  ฮ่ะๆ 

345

เริ่มจากเมนูแรก #กุ้งแม่น้ำเผา  วันนี้ที่ร้านมีแบบโลละ 1800 บาท สั่งมา 4 ตัว หนัก 2.2  โลค่ะ  เมนูนี้พ่อครัวย่างกุ้งมาได้สุกกำลังดี มันหอม เนื้อกุ้งนุ่ม ไม่กระด้าง   ส่วนน้ำจิ้มถ้าเทียบกับร้านกุ่ยหมง ของร้านนี้จะแซ่บกว่าจัดจ้านกว่า แต่ก็ไม่ได้เผ็ดเปรี้ยวปรี๊ดปร๊าดมากมายนะคะ 

351

เมนูที่สอง-สาม  ยำมะเขือยาวกุ้งสด (120-) กับหมี่กรอบ (100-)  สองเมนูนี้เป็นเมนูแนะนำของทางร้านเลยค่ะ  รสชาติดี เปรี้ยว เผ็ด เค็ม หวาน มาครบ แต่มาแบบซอฟท์ ๆ  ถ้าคนชอบยำที่รสจัดจ้านก็อาจจะรู้สึกว่ารสเบาไป   ส่วนหมี่กรอบรสชาติเปรี้ยวหวานกำลังดี มีถั่วงอกเด็ดหางกับกระเทียมดองหั่นชิ้นบาง ๆ มาให้แนมด้วย   เสียดายอย่างนึงที่เค้าโรยมาด้วยไข่เจียวธรรมดา  นี่ถ้าได้เป็นไข่เจียวกรอบ ๆ จะแจ่มเลยนะคะ 

355

เมนูที่สาม-สี่  กุ้งกระเทียม (600-) กับห่อหมกปลาช่อน (กระทงละ 35-)   สองเมนูนี้พิมแนะนำว่าถ้ามาร้านนี้ต้องสั่งเลยค่ะ  ห่อหมกปลาช่อนหอมเครื่องกำลังดี ถึงกะทิ รสเข้มข้น  แต่อ่อนเค็มไปนิด  ใครชอบเค็มก็เติมน้ำปลาเพิ่มได้  ส่วนกุ้งกระเทียมมีรสชาติคล้ายกุ้งทอดเกลือของร้านกุ่ยหมง   แต่ก็มีความอร่อยในแบบของร้านแม่บ๊วยนะคะ  ^__^ 

สรุป ... เป็นอีกร้านที่พิมว่าคุณภาพวัตถุดิบดี รสชาติดี  ถ้าไม่นับกุ้ง ราคาอาหารทั่วไปก็ไม่ได้สูงเกิน  มาทานได้สบาย ๆ คุ้มเงินค่ะ 

356

352

จากร้านแม่บ๊วย ก่อนที่ทริปทัวร์กินสุพรรณบุรี-อ่างทอง ของพิมในวันนี้จะจบลง  จริง ๆ ตามแผนคือจบแล้วแหละค่ะ >_<    แต่อยู่ดี ๆ ระหว่างที่กำลังกินข้าวอยู่ร้านแม่บ๊วย  พิมก็นึกอยากไปสถานที่นึงขึ้นมา เป็นสถานที่ที่อยู่ระหว่างทางกลับบ้านนนะคะ  (อ่างทอง)   คืออยากไปนานแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้ไปซะที  เลยวานให้น้องช่วยโทรถามเค้าหน่อยว่าปิดหรือยัง ปรากฎว่าเค้าใกล้จะปิดแล้วค่ะ แต่ดูจากเวลาเราน่าจะไปทันแบบเฉียดฉิว  ก็เลยบอกให้เค้าช่วยรอนิดนึง  สถานที่ ๆ ว่า ก็คือ พิพิธภัณฑ์หุ่นเหล็ก  หรือเรียกสั้นๆ  ว่า บ้านหุ่นเหล็ก  นะคะ 

000

บ้านหุ่นเหล็ก เป็นสถานที่ที่นำเอาเศษเหล็กเศษอะไหล่เก่าจากเครื่องยนต์ต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้แล้ว  มาสร้างเป็นหุ่นในแบบต่างๆ  ส่วนนึงเพื่อจำหน่าย และอีกส่วนเพื่อเอามาทำเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้คนทั่วไปได้เข้าชมค่ะ   

359

โดยหุ่นยนต์ที่อยู่ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ก็จะมีหลายร้อยชิ้น  มีตั้งแต่ตัวจิ๋ว ๆ ขนาดเท่าฝ่ามือ ไปจนถึงตัวใหญ่ ๆ  แบบในภาพด้านล่างนะคะ  และก็มีหุ่นหลากหลายแบบ ทั้งที่มาจากหนังดังอย่าง Star Wars, The Hulk, Transformer, Alien, Predator, Jack Sparrow  หรือจะเป็นแอนิเมชั่นของไทยอย่างเรื่องยักษ์ ก็มีให้ชมและถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันมากมายเลยค่ะ 

357360362363

และนอกจากหุ่นเหล็กสารพัดแบบแล้ว สาเหตุที่ทำให้พิมต้องมาที่นี่เป็นครั้งที่ 3 ก็เพราะว่าที่นี่เค้ามีคาเฟ่ที่ขายช๊อคโกแลตแบบที่มองเผิน ๆ ไม่น่าจะมีใครรู้ว่ามันคือช๊อคโกแลตนะคะ  เพราะที่นี่เค้าทำช๊อคโกแลตเป็นรูปเครื่องมือช่างสารพัดแบบ  ไม่ว่าจะเป็นน๊อตตัวเมีย ตัวผู้  ตะปู คีม ประแจ หุ่นยนต์จิ๋ว กรรไกร  เหล็กแท่งมีหมดเลย    แถมยังมีการพ่นด้วยผงโกโก้ให้ดูเหมือนเป็นสนิมเบา ๆ  เรียกว่าตอนที่พิมเห็นรูปครั้งแรกในเนตเมื่อสักปีก่อน ทำเอาตื่นตาตื่นใจเลย   แถมขายในราคาไม่แพงด้วย เริ่มต้นแค่ชิ้นละ 10 บาทเท่านั้นเองค่ะ 

366

สำหรับใครที่ชอบช๊อคโกแลตแบบพิม ก็ลองแวะเวียนกันมาได้  จะซื้อเป็นชิ้น หรือซื้อเป็นเซต  จะซื้อกลับบ้านหรือทานที่ร้านในห้องแอร์เย็นฉ่ำๆ  เค้าก็มีบริการทั้งหมดนะคะ ^_^  (มีเครื่องดื่ม อาหารจานเดียวแบบง่าย ๆ ด้วยค่ะ) 

365

364

สำหรับทริปสุพรรณบุรี-อ่างทองในวันนี้ พิมก็ขอจบทริปไว้ตรงนี้เลยนะคะ   เป็นอีกทริปที่พิมว่าทั้งอร่อย สนุก และก็ได้ความรู้ด้วย  ใครที่อยากจะตามรอยพิมไปร้านโน้นร้านนี้ หรือไปเรียนรุ้วิธีการทำขนมตาลพับ ก็ไปได้เลยค่ะ  หรือถ้าหากติดขัด มีสงสัยอะไรตรงไหนก็พิมพ์ comment  ถามไว้ แล้วพิมจะรีบกลับมาตอบให้นะคะ   ขอบคุณที่ติดตามกัน สำหรับวันนี้  ... บ๊ายบายค่า ^_^



ครัวบ้านพิม on Facebook

สมาชิก