เมื่อเดือนที่แล้ว ช่วงที่โควิดซา ๆ พิมมีโอกาสได้ไปเที่ยวเกาะกูด ที่จังหวัดตราดมาค่ะ เป็นทริปสั้น ๆ 3 วัน 2 คืนที่พิมชอบมาก เพราะได้ทำกิจกรรมโน่นนี่หลายอย่าง พิมก็เลยอยากจะเอารายละเอียดทริปนี้มาแบ่งปัน เผื่อจะได้เป็นข้อมูลให้เพื่อน ๆ เอาไว้ไปเที่ยว หลังจากหมดโควิดกันนะคะ ^_^
พูดถึงการเดินทางไปตราดแล้วเนี่ย ปกติคนส่วนใหญ่ก็จะนิยมเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว ไม่ก็รถโดยสารเน๊าะคะ แต่ด้วยความที่ทริปนี้พิมมีเวลาน้อย อยากไปไวกลับไวนิ๊ดนึง พิมก็เลยเลือกที่จะเดินทางด้วยเครื่องบินกับสายการบินบางกอกแอร์เวย์ (มีสายการบินเดียวที่บินไปตราด) เพราะงั้นทริปนี้ของพิม ก็เลยเริ่มต้นด้วยการให้คุณสามีขับรถไปจอดไว้ที่สนามบินสุวรรณภูมิค่ะ ^_^
การเดินทางด้วยเครื่องบินจากสนามบินสุวรรณภูมิไปสนามบินตราดเนี่ย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. นะคะ เรียกว่านั่งกินขนมชมวิวท้องฟ้าเพลิน ๆ แป๊บเดียวก็ถึงตราดล่ะค่ะ
เมื่อถึงตราดปุ๊บ หลังจากรับกระเป๋าเรียบร้อย ด้วยความที่เรามากันหลายคนก็เลยใช้วิธีเช่าเหมารถตู้ตรงไปที่ท่าเรือแหลมศอก เพื่อจะต่อเรือไปยังเกาะกูดนะคะ แต่ด้วยความที่ตั้งกะเช้าเรายังไม่ได้กินอะไรจริงจังเลย มีแค่ข้าวต้มมัดของบางกอกแอร์เวย์ 5 ชิ้น ขนมปังแฮมชีส 2 ชิ้น Chicken Roll 1 ชิ้น Cinamon Roll 1 ชิ้น และกาแฟ 1 แก้วเท่านั้นนนนน ^_^ ก็กลัวว่าถ้าลงเรือไปทั้งยังหิว ๆ ก็อาจจะเป็นลมไม่ก็เมาเรือได้ เพราะงั้นเราก็เลยแวะขอแวะกินข้าวกันก่อนค่ะ
#ร้านคนพลัดถิ่น ...เป็นอีกร้านอาหารหนึ่งในดวงใจพิมนะคะ นอกจากอาหารจะอร่อย ไม่ติดหวานแล้ว ที่นี่ยังมีวิวเป็นบ่อน้ำสีเขียวขนาดใหญ่ ที่จะมีเหยี่ยวแดงมาบินโฉบไปโฉบมานับพันตัวให้เราได้มองดูเพลิน ๆ ตาอีกด้วยค่ะ
สำหรับอาหารของที่นี่ก็จะมีทั้งอาหารทั่วไปอย่างผัดผัก ต้มยำน้ำใส น้ำข้น ต้มจืด ผัดผงกะหรี่ ผัดพริกไทยดำ ยำโน่นนี่ ฯ มีอาหารป่า และก็มีอาหารเฉพาะถิ่นที่หากินได้แค่ที่ร้านนี้ อย่างแกงคั่วสับปะรดกับหอยปิ่น ลาบปลาตะเพียนไร้ก้างที่มีเกล็ดปลาทอดกรอบเป็นท๊อปปิ้งด้วยนะคะ
พิมมากินที่ร้านนี้น่าจะเป็นครั้งที่ 3 แล้ว (ครั้งแรกเมื่อ 4 ปีก่อน) นอกจากรสชาติอาหารที่พิมว่าเค้าทำออกมาได้กลมกล่อมดี อันไหนควรเค็มก็เค็ม อันไหนควรเผ็ดก็เผ็ด อีกสิ่งที่พิมชอบก็คือ เมนูอาหารจำพวกปลา เค้าจะเลือกชนิดปลาให้เหมาะสมกับประเภทอาหารที่จะทำค่ะ เช่น ปลาอันนี้ต้องเอาไปทอดเท่านั้นถึงจะอร่อยที่สุด ส่วนปลาอันนี้ต้องเอามานึ่งหรือต้มเท่านั้นถึงจะดึงความหวานของเนื้อปลาออกมาได้มากที่สุด อะไรประมาณนี้นะคะ คือถึงเค้าจะเป็นร้านอาหารสไตล์บ้าน ๆ แต่ความใส่ใจในการทำอาหารของเค้า ไม่แพ้ร้านอาหารใหญ่ ๆ เลยค่ะ ^_^
จากร้านคนพลัดถิ่น เราก็นั่งรถตู้ต่อมายังท่าเรือแหลมศอก เพื่อจะไปยังเกาะกูดกันนะคะ
ปกติแล้วการเดินทางจากแหลมศอกไปเกาะกูดเนี่ย เราจะเดินทางได้ 2 แบบ คือ นั่งเรือเฟอร์รี่ (1.5 ชม.) หรือไม่ก็สปีดโบ๊ท (1 ชม.) ค่ะ ซึ่งจะมีบริการตั้งแต่ 10 โมงเช้าไปจนถึงบ่าย 3 โมงเย็นนะคะ ถ้าไม่ได้ซื้อตั๋วมาล่วงหน้า ก็สามารถมาซื้อตั๋วและขึ้นเรือได้ที่ท่าเรือแหลมศอกเลย จะมีเรือให้บริการอยู่ 3 เจ้า คือ เรือปริ้นเซส เรือเอ็กเพรส และเรือบุญศิริ ก็เลือกเอาตามที่เราสะดวกเลยค่ะ สำหรับค่าเรือ...ถ้าพิมจำไม่ผิด อยู่ที่ 300-600 บาท ขึ้นกับประเภทเรือนะคะ ^_^
สำหรับใครที่ขับรถมาเอง แถวนี้เค้าก็มีบริการรับฝากรถสำหรับคนที่จะไปเที่ยวเกาะกูดหรือเกาะอื่น ๆ ด้วย แต่พิมไม่แน่ใจว่าค่าฝากวันละเท่าไหร่ ยังไงมาสอบถามเอาได้แถวนี้ได้เลยค่ะ
ด้วยความที่ทริปนี้เรามากันหลายคนเน๊าะ เพื่อความสะดวกเราก็เลยใช้บริการเช่าเหมาลำสปีดโบ๊ทตลอด 3 วันเลยค่ะ ซึ่งตรงนี้พิมไม่ได้เป็นคนจัดการ (แค่พ่วงเค้ามาเที่ยวด้วย) พิมก็เลยไม่มีข้อมูล แต่ถ้าใครอยากได้ก็ลองเม้นท์มา เดี๋ยวพิมจะไปหาข้อมูลมาเพิ่มให้นะคะ
จากท่าเรือแหลมศอก ถ้าไม่มีลมแรงหรือฝนตก เราจะใช้เวลาเดินทางด้วยสปีดโบ๊ทไปยังเกาะกูดประมาณ 1 ชม. ค่ะ
แต่ว่าด้วยความที่เราเช่าเหมาลำสปีดโบ๊ทมาอ่ะเน๊าะ เพื่อความคุ้มมมม เพราะงั้นเราเลยขอแวะเที่ยวเกาะอื่น ๆ ระหว่างทางกันหน่อย ซึ่งเกาะแรกที่เราแวะก็คือ เกาะกระดาษนะคะ
เกาะกระดาษเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ในกลุ่มหมู่เกาะหมาก ที่เวลาเราไปเกาะกูดเราจะต้องนั่งเรือผ่านค่ะ เกาะกระดาษเป็นเกาะแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีการออกโฉนดและเอกสารสิทธิ์แสดงความเป็นเจ้าของนะคะ (แปลว่าซื้อขายได้ ถูกกฎหมาย) ซึ่งแต่เดิมเกาะนี้ก็เป็นเกาะธรรมดา ๆ ทั่วไปนี่แหละ เพียงแต่ว่าเป็นเกาะที่ราบเรียบ ไม่มีภูเขา แถมยังมีแหล่งน้ำจืดอยู่ตรงกลางเกาะอีกด้วยค่ะ ก็เลยมีคนมาบุกเบิกทำการเกษตรที่นี่ ด้วยการเอาต้นมะพร้าวมาปลูกเกือบ 2 หมื่นต้น ตอนปี 2482 และเอากวางมาปล่อยอีก 2-3 คู่ ตอนปี 2512 ทำให้ปัจจุบันเกาะกระดาษมีกวางในธรรมชาติเป็นหลายร้อยตัว และกลายเป็นเอกลักษณ์ของเกาะไปเลยนะคะ
(อาชีพหลักของคนที่ดูแลเกาะกระดาษ คือ เก็บมะพร้าวขาย)
เกาะกระดาดในตอนนี้ยังคงเป็นเกาะที่มีความเป็นธรรมชาติมาก เพราะทั้งเกาะมีแต่บ้านเของคนดูแลเกาะ และบ้านที่เจ้าของเค้าสร้างไว้ให้แขกมาพักแบบ Homestay อีกไม่กี่หลังเท่านั้นค่ะ ซึ่งถ้าใครอยากจะมาเที่ยวชมที่นี่ จะต้องติดต่อขออนุญาติคนดูแลเกาะก่อน เนื่องจากมันเป็นเกาะส่วนตัวเน๊าะคะ และถ้าใครอยากมาเที่ยวแบบพักค้างคืน 1 คืน 2 คืน พร้อมทำกิจกรรมโน่นนี่ เช่น ดำน้ำ พายเรือคายัก นั่งรถชมเกาะดูกวาง และอื่นๆ อีกมากมาย ที่นี่เค้าก็มีบริการอยู่ค่ะ 1 คืน พร้อมที่พัก กิจกรรม อาหารอยู่ที่ 2,500 บาท ถ้า 2 คืน จะอยู่ที่ 4,500 บาท เพื่อน ๆ คนไหนสนใจ ก็ลองไปดูกันได้นะคะ ^_^
(แวะถ่ายรูปใต้ต้นไม้ ที่เกาะกระดาษกับคุณสามี)
ทีนี้ที่ใกล้ ๆ กับเกาะกระดาษ จะมีเกาะเล็กถึงเล็กมากอยู่เกาะนึงค่ะ เกาะนี้มีต้นไม้ขึ้นอยู่ 1 ต้น ให้อารมณ์เหมือนเกาะที่เราเห็นในหนังสือขายหัวเราะเมื่อก่อนนี้ คนก็เลยเรียกเกาะนี้ว่าเกาะขายหัวเราะนะคะ ^_^ พวกเราตั้งใจกันว่าจากเกาะกระดาษ เราจะไปต่อกันที่เกาะขายหัวเราะ แต่ด้วยความที่วันนั้นลมแรงและคลื่นแรงมาก ไม่สามารถเอาเรือเข้าไปใกล้เกาะ และไม่สามารถจอดเรือให้อยู่นิ่งๆ ได้ ก็เลยทำให้เราต้องพลาดกับเกาะขายหัวเราะไป และบอกตัวเองว่าเดี๋ยววันกลับค่อยแวะมาอีกทีค่ะ ^_^
จากเกาะขายหัวเราะ ด้วยความที่เวลามันเริ่มบ่ายมากแล้วเน๊าะ เราก็เลยตรงดิ่งไปที่เกาะกูดเลย โดยไม่แวะที่ไหนอีกนะคะ ... ช่วงเวลานี้พิมก็จะอึน ๆ มึน ๆ หน่อย เพราะนั่งเรือนานมากเลยค่ะ (แวะหลายเกาะ) 5555
แล้วประมาณ 5 โมงครึ่ง เราก็มาถึงเกาะกูดกันล่ะจ้าาา อย่าให้บอกว่าดีใจขนาดไหนนะคะ 555 ซึ่งรีสอร์ทที่เรามาพักกันในวันนี้ ก็คือ ปีเตอร์แพนรีสอร์ท 1 ในรีสอร์ทที่ขึ้นชื่อว่าบริการดี ที่พักเยี่ยม และอาหารอร่อยที่สุดในเกาะกูดเลยค่ะ ^_^
ที่นี่เนี่ยปกติแล้วจะมีบริการบ้านพักอยู่ 2 แบบนะคะ ก็คือ แบบเป็นแพคเกจ สปีดโบ๊ทไปกลับ + ที่พัก + อาหารเช้า + อาหารกลางวัน + อาหารเย็น + อาหารว่าง + กิจกรรมโน่นนี่ กับแบบที่เป็นบ้านพัก + อาหารเช้า และอาหารว่างค่ะ แต่ด้วยความที่ที่นี่เค้ามีบ้านพักหลากหลายแบบมาก แต่ละแบบในแต่ละฤดูก็จะมีค่าใช้จ่ายไม่เท่ากัน เพราะงั้นถ้าเพื่อน ๆ สนใจ ก็ลองเข้าไปดูรายละเอียดที่ >> เพจปีเตอร์แพนรีสอร์ท ได้เลยนะคะ
หลังจากที่เช็คอินกันเรียบร้อย ก็ได้เวลาไปสำรวจห้องพักล่ะค่ะว่าจะหน้าตาเป็นยังไง
ห้องพักของที่นี่ (ห้อง Mermaid) ก็จะออกเรียบ ๆ นิดนึงนะคะ ไม่ได้มีอะไรตกแต่งมากมาย แต่ว่าห้องใหญ่ ฟูกนอนสบาย มีหมอนให้ 4 ใบ แอร์เย็นเร็ว ห้องน้ำกว้าง มีสายชำระ มีหน้าต่าง นั่งแล้วไม่อึดอัด ... พิมก็โอเคล่ะค่ะ ^_^
หลังจากเก็บสัมภาระเข้าห้องพักและอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ก็ได้เวลาออกมาเดินเล่นกินลมที่ชายหาดนะคะ
ที่ปีเตอร์แพนรีสอร์ทเนี่ย ด้านหน้าจะติดกับชายหาดที่ทรายละเอียดมาก แบบที่สามารถเดินเท้าเปล่าได้โดยไม่เจ็บเท้าเลยค่ะ ส่วนด้านหลังจะติดกับคลองน้ำเค็ม ที่ชื่อว่าคลองเจ้านะคะ ซึ่งทั้งสองจุดนี้แหละเป็นจุดที่เราสามารถลงเล่นน้ำทะเลก็ได้ พายเรือคายัคก็ได้ เล่นแพดเดิ้ลบอร์ดก็ได้ เล่นน้ำทะเลก็ได้ หรือจะนั่ง ๆ นอน ๆ บนเก้าอี้ชายหาด จิบเครื่องดื่มเย็น ๆ ชมวิวพระอาทิตย์ตกก็ได้เช่นกันค่ะ ^_^
หลังจากที่พิมเดินเล่นชิล ๆ มาสักพักแล้ว ก็ได้เวลากินข้าวนะคะ (บอกเลยว่าหิวมากกกกกก หิวจริงจัง)
วันนี้พวกเราสั่งอาหารจากทางรีสอร์ทมากิน มีซี่โครงหมุทอด แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลาอินทรี แกงป่าปลาสับนก ไข่เจียวลาบ ปูม้านึ่ง (สดมากกก) ลาบหมึก ปลากะพงทอดน้ำปลา และเมนูสุดพิเศษ #ปลาย่ำสวาท เป็นปลาดิบที่ทำมาจากปลากุสลาด หรือบางคนก็เรียกว่ากะรังจุดฟ้า ซึ่งเป็นปลาที่มีในพื้นที่เขตเกาะกูด เกาะหมากค่ะ
สำหรับอาหารของที่นี่ บอกเลยว่ารสชาติดีทุกจาน (ย้ำว่าดีทุกจานที่พิมได้กิน) ..... #แกงเขียวหวาน หอมเครื่องแกง ถึงกะทิ แต่ไม่มันเกิน ลูกชิ้นปลานุ่มเหนียว เค็มเผ็ดกำลังดีนะคะ .... #ปูม้านึ่ง ตัวใหญ่ สด เนื้อแน่น และเนื้อหวานมากค่ะ ... #แกงป่าปลาสับ พิมจำไม่ได้แล้วว่าเค้าใช้ปลาอะไร แต่ปกติคุณสามีพิมที่ไม่กินแกงป่า ก็ยังตักหลายรอบนะคะ รสชาติเค้าเผ็ดเค็มหอมเครื่องแกงกำลังดี นัวไปหมดเลยค่ะ พูดแล้วก็อยากกินอีก 5555 .... #ไข่เจียวลาบ ตอนกินต้องบีบมะนาวไปด้วย อร่อย เปรี้ยว เผ็ด หอมข้าวคั่วพริกแห้งดีค่ะ .... #ลาบหมึก หมึกอร่อยมาก เนื้อหนา เด้ง หวาน ปรุงรสลาบมาเปรี้ยวเผ็ดกำลังดีนะคะ .... #กะพงทอดน้ำปลา ปลาสดดีค่ะ เนื้อแน่น น้ำราดก็อร่อย ไม่เปรี้ยวเกิน ปลาทอดมาแบบร้อน ๆ ค่ะ
และที่พลาดไม่ได้ #ปลาย่ำสวาท ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำจิ้มถั่ว และโชหยุ ... เนื้อปลานุ่มหวาน ถูกสไลซ์มาอย่างบาง ๆ ไม่มีความคาว ขนาดพิมไม่กินปลาดิบ ไม่กินแซลมอนดิบ ก็ยังกินไปหลายชิ้นเลยนะคะ ^_^
หลังจากที่กินข้าวเสร็จ ประมาณ 2 ทุ่มครึ่่ง ทางรีสอร์ทเค้ามีบริการล่องเรือพาไปชมหิ่งห้อย ซึ่งพิมก็ไปกับเค้าด้วยค่ะ ^_^ ไปกลับใช้เวลาประมาณ 30 นาที (รวมเวลาดูหิ่งห้อยด้วยนะ) แต่ด้วยความที่คืนนั้นพระจันทร์สว่างมาก แถมกล้องพิมก็ไม่ใช้กล้องใหญ่อะไร ก็เลยไม่สามารถถ่ายภาพหิ่งห้อยมาให้ดูได้นะคะ แต่ถ้าใครไปพักที่นี่และตรงกับคืนที่เค้ามีบริการพาไปชมหิ่งห้อย ก็ไปเถอะค่ะ ไม่ผิดหวังแน่นอน ^_^
เช้าวันที่ 2 .. หลังจากที่กินอาหารเช้าที่รีสอร์ทกันเรียบร้อยแล้ว เราก็ขึ้นรถสองแถวไปเที่ยวที่ต่าง ๆ บนเกาะกันค่ะ ซึ่งที่เที่ยวบนเกาะจะว่าไปแล้วก็มีหลายที่นะคะ ไม่ว่าจะเป็นชุมชนชาวประมงบ้านอ่าวสลัด ชุมชนชาวประมงบ้านอ่าวใหญ่ ต้นไม้ยักษ์ (ต้นไทรยักษ์ และต้นมะค่ายักษ์) น้ำตกคลองยายกี๋ น้ำตกห้วงน้ำเขียว น้ำตกคลองเจ้า จุดชมวิวมุมสูงโรงเรียนบ้านคลองเจ้า และจุดชมวิวมุมสูงบ้านอ่าวใหญ่ค่ะ
แต่ว่าวันที่พิมไปเนี่ย ตอนเช้าฝนตกหนักมากกกก และตกจนถึง 9 โมงกว่า เพราะงั้นเราก็เลยไปไหนไม่ได้มาก แค่ชมต้นไม้ยักษ์ และไปจุดชมวิวมุมสูง ก็หมดเวลาแล้วนะคะ T__T
เริ่มกันที่ต้นไม้ยักษ์กันก่อนเลย ... จุดชมวิวต้นไม้ยักษ์จุดแรกอยู่ในป่า ห่างจากที่พักของพิมไปประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ เราเดินทางกันด้วยรถสองแถว (เหมา) ที่ขับผ่านชุมชน แล้วก็ขับเข้าไปในป่าที่อยู่ในเขตสวนยางพาราแห่งนึงนะคะ จากจุดที่สองแถวจอด เดินเข้าไปอีกสัก 15-20 ก้าว ก็จะเจอกับต้นมะค่ายักษ์ที่อยู่มาหลายร้อนปี และมีความสูงมากกว่า 40 เมตรค่ะ
แต่เดิมต้นมะค่ายักษ์ตรงนี้มีอยู่ 3 ต้นด้วยกันนะคะ แต่ด้วยความที่สวนยางพาราแห่งนี้เนี่ยถูกปล่อยรกร้างมานาน จนเป็นเหมือนป่า ก็เลยถูกคนเข้ามาลักลอบตัดต้นมะค่าไป กว่าเจ้าหน้าที่จะรู้ก็เหลือต้นมะค่าแค่ต้นเดียวแล้วค่ะ T__T
** การเดินทางบนเกาะ ปกตินักท่องเที่ยวจะใช้วิธีเช่ามอเตอร์ไซด์แล้วขับไปไหนมาไหนเองนะคะ แต่ว่าถ้ามากันหลายคน และไม่ถนัดแนว Adventure แนะนำให้เช่าเหมารถสองแถวแบบพิมดีกว่า สะดวกสบายกว่าเยอะเลยค่ะ
จากจุดชมต้นมะค่ายักษ์ ขับรถต่อมาอีกประมาณ 10 นาที ก็จะเจอกับต้นไทรยักษ์ที่มีอายุหลายร้อยปีเช่นกันนะคะ ต้นไทรยักษ์ต้นนี้ ความสูงน้อยกว่าต้นมะค่าแค่ 10 เมตร แต่มีขนาดคนโอบพอ ๆ กันเลยค่ะ
ที่ตรงจุดนี้เนี่ยนอกจากจะมีคนเอาผ้าหลากสีมาผูก เอาชุดไทยมาแขวนไว้หลายชุดแล้ว ตัวต้นไทรก็มีวงรากที่แผ่ขยายเป็นวงกว้าง ทำให้คนนิยมมาถ่ายภาพและขอหวยกันอีกด้วยนะคะ ^_^
พักเหนื่อยกันสักแป๊บบบบ #เหนื่อยตรงไหนเนี่ยยย 555 .... ก่อนจะไปดำน้ำ เราแวะไปนั่งชิล ๆ รับลมเย็น ๆ กันสักหน่อยที่จุดชมวิวบ้านคลองเจ้าค่ะ ... ในวันที่ฝนไม่ตก น้ำทะเลตรงจุดนี้จะใสมาก ขนาดที่เรายืนมองอยู่บนจุดชมวิว เราก็ยังมองเห็นทรายที่อยู่ใต้น้ำทะเลด้านล่างเลยนะคะ
ที่นี่มีร้านขายเครื่องดื่มและขนมอยู่ร้านนึง ตอนแรกพิมก็ไม่รู้ว่าจะสั่งอะไรมากินดี เห็นคนอื่นเค้าสั่งกาแฟ แต่กาแฟก็ไม่ใช่แนวพิม พิมก็เลยลองสั่งสมูทตี้สับปะรดมากิน แก้วละ 90 บาท ปรากฎว่ามันอร่อยมากค่ะ มีความสับปะรดมาแบบเต็มแก้ว (เค้าใช้สับปะรดสีทองซึ่งเป็นสับปะรดพันธุ์พื้นเมืององตราด) รสชาติหวานอมเปรี้ยวกำลังดี น่าจะเป็น 1 ใน 2 ของสับปะรดปั่นที่อร่อยสุดเท่าที่พิมเคยกินมาในชีวิตนี้เลยนะคะ ^_^
ส่วนเครื่องดื่มอย่างอื่น เช่น สมูทตี้มะพร้าว สมูทตี้มะม่วง สมูทตี้แตงโมก็อร่อยไม่แพ้กันเลยค่ะ แต่พวกกาแฟ พิมสั่ง Black Coffee มา พิมว่ายังไม่ค่อยเท่าไหร่ ส่วนเค้ก พิมได้ลองเค้กมะพร้าว ... ไม่แนะนำเลยนะคะ แฮ่ๆ
หลังจากนั่งพักชมวิวกันสักพัก ก็ได้เวลากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่รีสอร์ทเพื่อไปดำน้ำต่อกันล่ะค่ะ
เรานั่งเรือสปีดโบ๊ท (ลำที่เหมาไว้ตั้งแต่ตอนแรก) ไปยังจุดดำน้ำที่ใกล้ ๆ กับเกาะรังนะคะ
จุดที่เราไปดำน้ำตื้นกัน พิมไม่แน่ใจว่าเค้าเรียกอะไร แต่ว่ามันเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เกาะรัง และมีปะการังสวย ๆ และปลาหลากสีรอบเกาะเลยค่ะ
เมื่อเรือไปจอดอยู่ใกล้ ๆ เกาะ เจ้าหน้าที่เค้าก็จะแจกอุปกรณ์สำหรับดำน้ำตื่นและชูชีพประจำตัว พร้อมกับแนะนำวิธีใช้นะคะ ซึ่งขอบอกว่ามันใช้ง่ายมาก ใครที่ไม่เคยดำน้ำตื้นมาก่อนหรือว่ายน้ำไม่เป็น (อย่างพิม) ก็สามารถทำตามได้ง่าย ๆ เลยค่ะ ^_^
ณ จุด ๆ นี้เนี่ย หลังจากที่เจ้าหน้าที่เค้าแจกอุปกรณ์ให้เราแล้ว ถ้าใครไม่อยากจะลงน้ำ ไม่อยากตัวเปียก ก็สามารถยืนดูเพื่อน ๆ ดำน้ำได้นะคะ แต่ถ้าใครที่ชอบดำน้ำ ไม่กลัวว่าตัวจะเหนียว พิมแนะนำให้ลงน้ำเลยค่ะ เพราะว่าปะการังที่อยู่รอบ ๆ เกาะนี้สวยมาก มีทั้งปะการังโขด ปะการังเขากวาง ปะการังแผ่นใบไม้ และปะการังอื่นๆ รวมถึงปลาตัวเล็กตัวน้อยอีกมากมายนะคะ
หลังจากที่ดำน้ำกันอยู่ประมาณชั่วโมงนึง ก็ได้เวลาพักกินข้าวเที่ยงแล้วค่ะ ซึ่งข้าวเที่ยงเนี่ยตอนแรกเราคิดว่าจะกินกันในเรือ แต่ไป ๆ มา ๆ เราก็คิดว่าไปกินที่เกาะรังกันดีกว่านะคะ ซึ่งเกาะรังก็อยู่ห่างจากจุดที่เราดำน้ำประมาณ 10 นาทีได้ค่ะ ^_^
อาหารที่เราเตรียมมากินกันในวันนี้ เป็นเซตอาหารกล่องจากปีเตอร์แพนรีสอร์ท ชุดละ 200 บาท เป็นอาหารจานเดียว + ผลไม้ + ขนม และน้ำดื่มนะคะ ซึ่งเราก็สั่งปน ๆ มาหลายแบบ มีทั้งข้าวผัด ผัดกระเทียม และผัดกระเพรา เนื้อปู กุ้ง หมึก รวม ๆ แล้ว รสชาติดีทุกอย่าง หมึกเป็นหมึก กุ้งเป็นกุ้ง ไม่มีอันไหนไม่อร่อยเลยค่ะ ^_^
** กินเสร็จแล้ว เก็บกล่องเก็บขวดและขยะอื่นๆ กลับไปทิ้งที่ที่พักด้วยนะคะ
แถมที่เกาะนี้ ก็ยังมีน้องกวางอยู่ด้วยค่ะ เป็นกวางตัวน้อยที่ชอบกินแตงกวามาก ๆ ถ้าใครผ่านไปที่เกาะนี้ก็อย่าลืมเอาแตงกวาให้น้องกวางกินด้วยนะคะ (น้องไม่ชอบกินผลไม้ค่ะ ^^")
จากเกาะรัง ... หลังจากดำน้ำ กินข้าวเสร็จแล้ว เราก็นั่งสปีดโบ๊ทกลับมาที่เกาะตอนประมาณบ่าย 3 โมงค่ะ
พอกลับมาถึงเกาะ หลังจากกินของว่างช่วงบ่าย ไอติม และขนมที่ทางรีสอร์ทจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อย คุณสามีพิมก็ขอตัวกลับไปพักผ่อนที่ห้อง ส่วนพิมกับเพื่อน พลังงานยังไม่หมด ก็เลยขอไปพายเรือคายัคและเดินเล่นที่ชายหาดต่ออีกประมาณชั่วโมงนึงนะคะ ^_^
พอประมาณ 5 โมงครึ่ง หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จเรียบร้อย พิมกับเพื่อน ๆ ก็ขึ้นสองแถวไปกินข้าวเย็นที่ร้านแถว ๆ นั้นกันค่ะ (พิมจำชื่อร้านไม่ได้แล้ว ขอโทษด้วยน๊าา)
เมนูที่สั่งมากินก็มียำปูม้า ส้มตำทอด กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา ปลาทอดราดพริก กุ้งเผา และก็ต้มอะไรอีกสักอย่าง รสชาติอาหารโดยรวมโอเคนะคะ / ปลาราดพริกเผ็ดจัดแต่อร่อย หอมเครื่องมาก ๆ กุ้งย่าง สดปิ๊ง ๆ น้ำจิ้มเผ็ดเปรี้ยวกำลังดี ต้มก็รสดี แต่ปริมาณโดยรวมของอาหารทุกอย่าง ค่อนข้างน้อยไปนิดนึงเมื่อเทียบกับราคา ทำให้มื้อนี้กินไม่ค่อยอิ่มเลยค่ะ T__T
หลังจากกินอาหารเสร็จเรียบร้อย ตอนที่กลับมาถึงรีสอร์ท พนักงานแจ้งว่าเดี๋ยวตอน 2 ทุ่มครึ่ง เค้าจะมีโชว์ควงกระบองไฟด้วยนะคะ เพื่อนพิมพอได้ฟังก็รอดูกันเพียบเลย แต่ส่วนตัวพิม บอกตามตรงว่าไม่ไหวค่ะ ง่วงมากกกก ก็เลยขอตัวไปอาบน้ำนอนก่อนนะคะ T__T
เช้าวันที่ 3 หลังจากอาบน้ำอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และกินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย เวลา 9 โมงเช้าก็ได้เวลาเดินทางออกจากรีสอร์ทแล้วค่ะ
ขากลับเราเดินทางด้วยสปีดโบ๊ทลำเดิมที่นั่งมาจากท่าเรือแหลมศอกนะคะ ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะแวะไปเกาะกระดาษ และเกาะขายหัวเราะอีกครั้ง แต่ด้วยความที่วันนี้ลมแรง คลื่นแรงมาก ทำให้ใช้เวลาในการเดินทางเยอะกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เราก็เลยไม่สามารถแวะเกาะกระดาษได้ ต้องนั่งเรือตรงดิ่งไปยังท่าเรือแหลมศอกเลยค่ะ T__T
เมื่อถึงท่าเรือแหลมศอกแล้ว เราก็นั่งรถตู้ไปยังร้านแสงฟ้า ซึ่งเป็นร้านอาหารชื่อดังในตัวเมืองตราดนะคะ
ร้านแสงฟ้าเป็นหนึ่งในร้านอาหารโปรดของพิมพอ ๆ กับร้านคนพลัดถิ่นเลยค่ะ แต่ว่าร้านนี้เนี่ยจะค่อนข้างเป็นทางการมากกว่าร้านคนพลัดถิ่นนะคะ น้องที่เป็นคนพื้นที่ที่นี่เล่าให้ฟังว่า ร้านนี้เหมือนร้านที่ไว้ใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง คือถ้ามีใครมาเที่ยวตราด คนรู้จักที่เป็นคนตราดก็มักจะพามาที่ร้านนี้เป็นร้านแรกเลยค่ะ
อาหารของร้านนี้เท่าที่พิมเคยกินมาหลายครั้ง พิมว่านอกจากเค้าจะใช้วัตถุดิบดีแล้ว ฝีมือการทำอาหารของพ่อครัว/แม่ครัวประจำร้านก็ดีมากอีกด้วยนะคะ เพราะไม่ว่าจะเป็นปลานึ่งซีอิ๊ว ชุดออเดิร์ฟ (หมึกลวก กุ้งลวก ลูกชิ้นปลา) เนื้อปูผัดพริกขิง ปลาเห็ดโคนผัดพริกของ ฮ่อยจ๊อ กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา ต้มส้มปลาใส่ระกำ กุ้งทอดครีมสลัด และออส่วน ... อร่อยถูกใจพิมทุกอย่างเลยค่ะ ยังไงถ้ามีโอกาสแวะไปตราด อย่าลืมไปลองกินที่ร้านนี้นะคะ
** ฝั่งตรงข้ามร้านเลยไปนิดนึงจะมีตลาดสดอยู่ ของทะเลสด ๆ เยอะมาก ถ้าใครแวะร้านนี้ตอนก่อนจะกลับกรุงเทพฯ อย่าลืมแวะไปช๊อปปิ้งอาหารทะเลที่ตลาดนี้ด้วย รับรองจะฟินนนนนค่ะ แต่ต้องไปตอนเช้า ๆ นิ๊ดนึงนะคะ ^_^
จากร้านแสงฟ้า หลังจากที่กินข้าวและนั่งเอ้อระเหยกันอยู่พักใหญ่ ^___^ เราก็นั่งรถตู้ตรงดิ่งไปยังสนามบินตราดเลยค่ะ เพราะเรามีนัดขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ ตอนประมาณเที่ยงสี่สิบ และจะกลับถึงกรุงเทพฯ ตอนประมาณบ่าย 2 กว่า ๆ นะคะ
สำหรับทริปเกาะกูด 3 วัน 2 คืนของพิมรอบนี้ บอกเลยว่าพิมกับคุณสามีแฮปปี้มาก ๆ ค่ะ ใครที่มีเวลาว่างไม่เยอะ เช่นเช้าวันศุกร์อาจจะตื่นมาเคลียร์งานก่อน แล้วต้องกลับมาทำงานต่อในช่วงเย็น ๆ วันอาทิตย์ ก็ลองทริปแบบพิมดูนะคะ อาจจะดูมาไวไปไวนิดนึง แต่ก็ได้ทำโน่นทำนี่หลายสิ่ง มีความสุขมากเลยค่ะ
แล้วเจอกันใหม่ในทริปถัดไป สวัสดีค่า ... ^_^