ทริปหัวหินในครั้งนี้ .. จริงๆ แล้วเป็นทริปที่ไม่ได้ตั้งใจจะไปเลยค่ะ แต่พอดีว่าครอบครัวคุณสามีขึ้นจากสุราษฎร์มาทำธุระที่หัวหินพอดี ด้วยความที่ไม่ได้เจอกันนานมาก ก็เลยตัดสินใจว่าจะลงไปหาและไปเจอกันที่หัวหินค่ะ
แต่ด้วยความโก๊ะของพิมเน๊าะ พิมรับรู้จากคุณสามีว่าจะต้องไปหัวหินอย่างแน่นอนตอนประมาณเกือบบ่าย 2 โมง พอรู้พิมก็ถามคุณสามีว่าเราจะไปรถแบบไหนกันดีระหว่างรถทัวร์กับรถไฟ ส่วนตัวพิมเนี่ยชอบรถไฟแต่ไม่ชอบการเดินทางโดยรถไฟค่ะ เพราะในชีวิตเนี่ยขึ้นรถไฟมาประมาณ 14-15 กว่าครั้ง มีสองครั้งเท่านั้นค่ะที่รถไฟไม่เลท >_<" และที่เลทเนี่ยเคยเลทน้อยสุดก็ประมาณ 1 ชม. แต่เลทมากสุดเกือบ 7 ชม. แถมครั้งที่เลทมากเนี่ยเป็นครั้งที่พิมรอรถไฟอยู่ที่สถานีต่างจังหวัดแห่งหนึ่ง แล้วมีผู้โดยสารแค่พิมกับคุณสามีแค่ 2 คน ไม่มีคนอื่นเลยค่ะ แถมแถวนั้นก็น่ากลัวมากแบบว่าอย่างเปลี่ยวเลย แล้วเจ้าหน้าที่ประจำสถานีเค้าก็อยู่กับพิมถึงแค่ 3 ทุ่มกว่า ๆ เองค่ะ พอพ้น 3 ทุ่มเค้าก็เข้าไปที่บ้านพักแล้ว ปล่อยให้พิมกับคุณสามีอยู่กัน 2 คน มันน่ากลัวมากๆ เลย แถมไม่รู้ว่ารถไฟจะมาเมื่อไหร่ แต่ก็ทนรอต่อไปจนกระทั่งรถไฟมาอ่ะค่ะ ครั้งนั้นแหละทำให้พิมเข็ดการเดินทางกับรถไฟไปเลย แต่ก็ยังมีบ้าง แต่ถ้าเลือกได้ก็ไม่ขึ้นค่ะ
แต่ว่าคุณสามีพิมน่ะเค้าไม่ค่อยซีเรียสเรื่องการเลทของรถไฟค่ะ เค้าว่ามันปกติ แล้วเค้าก็ชอบขึ้นรถไฟมากเพราะว่าได้มีโอกาสชมนกชมไม้ข้างทางไปด้วย แถมเค้าไม่ชอบการเดินทางด้วยรถทัวร์ค่ะ เพราะว่าครั้งนึงเคยนั่งรถทัวร์จากกรุงเทพฯ ไปสุราษฎร์ช่วงดึก แล้วรถวิ่งเร็วมากประกอบกับฝนตกตลอดทาง ทำให้รถเสียหลักหมุนคว้างกลางถนน เกือบพลิกคว่ำ และเกือบชนกับสะพานลอยข้างทางในช่วงเวลาประมาณตี 2 เหตุการณ์ครั้งนั้นทำเอาพิมร้องไห้และคุณสามีก็ไม่ชอบการเดินทางด้วยรถทัวร์ไปเลยค่ะ
เพราะงั้นการเดินทางครั้งนี้ว่าจะไปกันยังไงดีก็เลยเป็นที่ถกเถียงกันเบา ๆ .... แต่สรุปแล้วพิมก็ตามใจคุณสามีค่ะด้วยการยอมนั่งรถไฟ >_<" แล้วพอสรุปได้ พิมก็เลยจัดแจงเข้าเวบการรถไฟค่ะเพื่อเช็คดูว่ารถไฟเที่ยวที่จะไปหัวหินของวันนี้ตามเวลาที่เหลือเนี่ยมีกี่โมงบ้าง ปรากฎว่าเร็วสุดก็คือบ่าย 3 กว่าๆ แล้วไปมีอีกทีตอนเกือบ 6 โมงเย็นเลย ซึ่งตอนนั้นเนี่ยเมื่อดูนาฬิกาแล้วก็คิดว่าถ้านั่งแท๊กซี่ไปก็น่าจะทันเพราะมันเพิ่งบ่าย 2 เอง พิมกับคุณสามีก็เลยรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วออกจากบ้านกันตอนบ่าย 2 กว่าๆ ไปเรียกแท๊กซี่ที่ริมถนนหน้าหมู่บ้านเพื่อให้ไปหัวลำโพง พอขึ้นรถได้ก็บอกคุณลุงคนขับแท๊กซี่ว่าไปหัวลำโพงค่ะ แต่ขอรีบหน่อยนึงเพราะกลัวตกรถไฟ คุณลุงก็บอกว่าจะรีบให้ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ปรากฎว่าพอขึ้นทางด่วนไปได้สักแป๊บ รถติดแบบไม่ขยับเลยค่ะ T___T เศร้าใจมาก คุณลุงคนขับก็บอกว่า "หนู ลุงขอแนะนำนะว่ารถติดอย่างนี้ไปไม่ทันรถไฟขบวนที่ว่าแน่ หนูจะเปลี่ยนใจไหม" แล้วหลังจากคุยกับคุณสามีแป๊บนึงก็ตัดสินใจว่า เอาก็เอา เปลี่ยนใจไม่ไปรถไฟแล้ว ไปรถทัวร์ก็ได้ เลยบอกคุณลุงว่าไปหมอชิตโลดเลยค่ะ
ซึ่งตอนที่บอกคุณลุงว่าให้ไปหมอชิตเนี่ย พิมเข้าใจไปเองแบบเบลอ ๆ ค่ะว่าหมอชิตคือสายใต้ใหม่ พอไปถึงหมอชิตถึงได้นึกออกว่านี่มันคือหมอชิตนะไม่ใช่สายใต้ใหม่ T__T มันก็เลยไม่มีรถไปหัวหินค่า .... ตอนนั้นก็เลยแบบว่าเอ๋อมาก จะเอาไงดีอ่ะเนี่ย คุณสามีก็เลยตัดสินใจให้ค่ะว่างั้นนั่งแท๊กซี่ไปสายใต้ใหม่ล่ะกันไวดี เพราะแม่กับครอบครัวเค้ารอนานมากแล้ว แล้วคุณสามีก็เรียกแท๊กซีทันทีพร้อมเปิดประตูเข้าไปนั่งเลยค่ะ ทิ้งให้พิมยืนเอ๋อ ๆ อยู่สักพักก่อนจะเข้าไปนั่งตามคุณสามี >_<"
พอเข้าไปนั่งในรถได้สักแป๊บ ระหว่างทางก่อนจะถึงสายใต้ใหม่ แม่คุณสามีก็โทรมาค่ะถามว่าถึงไหนแล้ว คุณสามีก็ตอบประมาณว่ายังนั่งแท๊กซี่อยู่ ยังไม่ได้ขึ้นรถทัวร์เลยคงอีกนานกว่าจะถึง...ทำนองนี้ แม่คุณสามีก็เลยบอกว่างั้นนั่งรถแท๊กซี่มาเลยเดี๋ยวแม่จัดการเรื่องค่ารถให้ แต่พิมก็ส่ายหน้าค่ะประมาณว่าไม่เอาหรอกมันท่าทางจะแพง .... ซึ่งพอคุณคนขับแท๊กซี่เค้าได้ยินคุณสามีคุยกับแม่คุณสามีเค้าอย่างนั้น เค้าก็คงจะฟังอ่ะค่ะ แล้วพอคุณสามีวางหู พี่คนขับแท๊กซี่เค้าก็บอกว่าเหมาแท๊กซี่ผมไปหัวหินเลยไหมค่ะ ผมคิด 1300 เท่านั้น (นับจากหมอชิต) ตอนแรกพิมก็คิดกันค่ะว่าจะเอาไงดี เพราะว่าถ้านั่งรถทัวร์ไปเอง 2 สองรวมค่าแท๊กซี่จากหมอชิตมันก็ประมาณ 600 บาท ซึ่งถูกกว่าที่จะเหมาแท๊กซี่ไปตั้งครึ่งนึงเลยค่ะ พิมก็เลยว่าจะไม่เหมาล่ะขึ้นรถทัวร์ตามเดิมดีกว่าเพราะงบไม่เยอะ >_<' แต่คุณสามีบอกว่าไม่อยากให้แม่รอ เพราะแม่รอนานแล้ว ก็เลยตัดสินใจว่าเอาก็เอาฟร่ะ เหมาแท๊กซี่ไปหัวหินเลยก็ได้ ถือซะว่าอีก 700 เป็นค่าประหยัดเวลาไปอ่ะ ..... ว่าแล้วพิมก็บอกพี่คนขับไปเลยค่ะ ว่าลุยโลด
ระหว่างทางที่นั่งรถแท๊กซี่ไป พิมกับคุณสามีก็คุยกับพี่คนขับไปเรื่อย ๆ ค่ะ แล้วก็แอบถามพี่คนขับนิดนึงว่าจะใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ถึงจะไปถึงหัวหิน พี่คนขับก็บอกว่าไม่เกิน 2 ชม. คืออย่างช้าถ้าไม่มีอะไรติดขัดก็จะไปถึงหัวหินก่อน 5 โมงเย็นอ่ะค่ะ แต่ปรากฎว่าพอเข้าเขตเพชรบุรีจากท้องฟ้าที่โปร่ง ๆ ก็กลับเป็นท้องฟ้าที่มึดมัวและสักพักฝนก็ตกหนักจนมองแทบไม่เห็นทาง ลมก็แรงมาก พี่คนขับก็เลยไม่สามารถขับแบบทำเวลาได้ ต้องขับไปแบบอ่อยๆ ประมาณ 30 กม. ต่อ ชม. อ่ะค่ะ (ต่างจากรถทัวร์คันที่แซงไป ทั้งที่ฝนตกหนัก แต่มันแซงขวาไปไม่เห็นท้ายรถเลยค่ะ)
แต่แล้วสุดท้ายพอเราถึงชะอำ ฝนก็หยุดตก ^___^ พี่คนขับก็เลยเริ่มทำเวลาได้ต่อ (แต่ก็แอบมาเจอรถติดเล็ก ๆ ในเมืองหัวหินนะคะ)
จนสุดท้ายพิมกับคุณสามีก็มาถึงจุดนัดพบที่ Market Village หัวหินตอนประมาณ 6 โมงเย็นกว่าๆ อ่ะค่ะ
พอมาถึงมาร์เกตวิลเลจ เราสองคนก็รีบเดินขึ้นไปที่ชั้น 2 ของห้างทันทีค่ะ เพราะว่าครอบครัวคุณสามีไปนั่งกินสุกี้รออยู่ที่ MK นานจนจะอิ่มแล้ว ... ซึ่งพอขึ้นไปถึงก็แบบว่าดีใจมากเลยค่ะ ได้เจอพ่อ ได้เจอแม่ ได้เจอน้องสาวคุณสามี ดีใจจริง ๆ ค่ะ
เราสองคนก็นั่งร่วมวงกิน MK กับครอบครัวคุณสามีสักพัก หลังจากนั้นเมื่อทุกคนกินอิ่มเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการเช็คบิลแล้วไปเดินซื้อของในมาร์เกตวิลเลจกันต่อค่ะ
(ภาพนี้เก็บบรรยากาศในมาร์เกจวิลเลขมาให้ดู ว่ามันสวยดีเน๊าะค่ะ ดูหวาน ๆ และโปร่งโล่งสบายดีอ่ะค่ะ)
พอซื้อเสร็จ พ่อกับแม่คุณสามีก็ขอตัวกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมกันก่อนเพราะว่าเหนื่อยมาทั้งวัน ส่วนพิม คุณสามีและน้องสาวคุณสามี 2 คนก็ขอไปเดินเที่ยวกันต่อ ซึ่งจุดหมายของเราทุกคนก็คือตลาดโต้รุ่งหัวหินค่ะ (มาทั้งที่ไม่รู้ว่ามีอะไร >_<") โดยเราเหมารถตุ๊กตุ๊กจากหน้ามาร์เกตวิลเลจมา 100 บาทค่ะ แม้จะราคาแพง (เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว ??) แต่ว่าเป็นรถตุ๊ก ๆ ที่นั่งสบายที่สุดในโลกเลยค่ะ ทั้งเบาะกว้างใหญ่ นุ่ม ขนาดคุณสามีพิมว่าตัวใหญ่แล้วยังนั่งได้สบาย ๆ ถึง 4 คนเลยอ่ะค่ะ แถมยังมีพัดลมมีที่กันฝนสาดให้ด้วย แบบว่าเวิร์คมากๆ เลยค่ะ
แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอย่างแรง (แอบเว่อร์ จริง ๆ ไม่ได้ถึงขนาดน๊านนน) พอไปถึงตลาดโต้รุ่ง ฝนก็ตกทันทีเลยค่ะ >_<" ร้านรวงต่าง ๆ ในตลาดก็เลยปิดไปหลายร้าน คนก็เดินน้อยมาก แต่เราก็ไม่หวั่นค่ะ เดินต่อไปทั้งที่ไม่มีหมวกไม่มีร่มอย่างนั้นแหละค่ะ แต่อาศัยว่าถ้าฝนลงเม็ดหนัก ๆ ก็หลบเข้าไปพักพิงตามชายคาร้านแถวนั้น แต่พอฝนซาเม็ดลงก็ค่อยออกมาเดินต่อ (ฮ่ะๆ)
และด้วยความที่วันนี้พิมเหนื่อยทั้งกับงานและการเดินทาง (นั่งแท๊กซี่มาจะเหนื่อยอะไรย่ะเนี่ย >_<") ก็เลยอยากหาอะไรเย็น ๆ ดื่มสักหน่อยค่ะ เหลือบไปเห็นร้านขายกาแฟโบราณอยู่ร้านนึงตรงแถวท้ายตลาดเกือบจะถึงทางรถไฟก็เลยอดใจไม่ได้ที่จะสั่งโอเลี้ยงมากินค่ะ แต่สงสัยว่าคงเพราะฝนตกใส่หม้อโอเลี้ยงด้วยอ่ะมั้งค่ะ โอเลี้ยงถึงได้จืดมากกกกกกจนเหมือนน้ำล้างหม้อโอเลี้ยง แถมไม่มีความหวานเลยแม้แต่น้อย จนนึกว่ากินกาแฟดำอยู่ แถมแก้วละ 30 บาทแน่ะ แพงและเสียดายเงินมากกกกกกที่สุดเลยตั้งแต่กินโอเลี้ยงมาอ่ะค่ะ T__T
จากโอเลี้ยงแก้วนั้น เราก็เลยเดินเล่นในตลาดกันต่อ (เดินย้อนไปย้อนมานั่นแหละค่ะ) จนกระทั่งเดินไปเจอป้ายนี้ที่ร้านขายไอติมร้านนึงในตลาดอ่ะค่ะ
เราทั้ง 4 คนก็เลยอดที่จะอุดหนุนไอติมร้านนี้ไม่ได้ ซึ่งขอบอกว่า....ราคาคุยตามป้ายนั้นไม่ผิดหวังเลยค่ะ ไอติมกะทิร้านนี้อร่อยมากกกกกกกกกกกก แถมเครื่องไอติมที่ใส่มาไม่ว่าจะเป็นมะม่วงแช่อิ่ม เม็ดบัว เผือกนั้นก็เข้ากับไอติมได้อย่างดีสุดยอด ไม่เสียดายราคากับถ้วยละ 25 บาทเลยค่ะ ^__^
จากนั้นพอกินไอติมกันเสร็จ เราก็เดินลุยกันต่อค่ะ ... เดินไปเดินมา อ้าววว เจอคนรู้จักของคุณสามีซะงั้นค่ะ
เค้าบอกว่าจะออกมาหาราดหน้ากิน แต่วันนี้ร้านราดหน้าปิดก็เลยยังไม่รู้จะกินอะไรดี .. แล้วก็ถามพิมกับคุณสามีและน้อง ๆ ว่าหิวไหม กินอะไรกันมาหรือยัง
ซึ่งจริง ๆ จะว่าไปเนี่ย เมื่อกี้พวกเราก็เพิ่งกิน MK กันมาค่ะ - -" แต่แบบว่าเป็นการกินไปเม้าท์ไป เม้าท์มากกว่ากินซะอีก ก็เลยไม่รู้สึกอิ่มแม้แต่น้อย เลยบอกเพื่อนรุ่นพี่ของคุณสามีไปค่ะว่าหิว กำลังหาอะไรกินเหมือนกัน >_<
เพื่อนคุณสามีก็เลยพาไปที่ร้านนี้ค่ะ ... ซึ่งตอนแรกที่พิมเห็นพี่เค้าพาไปร้านนี้เนี่ย พิมแอบคิดในใจว่าจะถูกตีหัวแบะด้วยราคาหรือเปล่าน๊า
แบบว่าดูจากกุ้งมังกร ซึ่งตัวใหญ่พอ ๆ กับแขนคุณสามี >_<
ดูจากหอย หมึก กุ้ง ดูจากสถานที่ ดูจากทำเลและอื่นๆ ก็แอบคิดว่างานนี้กระเป๋าฉีกแน่นอน
แต่เอาเข้าจริงเมื่อได้เข้าไปนั่งในร้าน เมื่อได้ไปดูรายการอาหาร ดุราคาอาหารในเมนูของทางร้านแล้ว อยากบอกว่าราคามิตรภาพมาก ๆ เลยค่ะ คือมันอาจจะไม่ได้ถูกเหมือนเราสั่งกินตามร้านข้าวต้มทั่วไป แต่ว่ามันก็ไม่ได้แพงอะไรเลยค่ะ (เมื่อเทียบกับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยว และเมื่อเทียบกับร้านอื่น) แถมเพื่อนคุณสามีก็ยังการันตีว่า แม่ครัวร้านนี้เค้าทำอาหารอร่อยจริง ๆ ค่ะ
และแล้วหลังจากที่เรานั่งรอกันเพียงไม่นาน อาหารที่เราสั่งไปทั้งหมด 5 อย่างก็ถูกเอามาเสริฟอย่างไวค่ะ (ไวจนแอบคิดว่าเค้าทำไว้ก่อนป่าวฟร่ะเนี่ย แบบว่าไวมากๆ เลยเมื่อเทียบกับจำนวนลูกค้าในร้านอ่ะค่ะ) แถมด้วยความที่เพื่อนรุ่นพี่พิมอาจจะมากินบ่อยหรือยังไงไม่แน่ใจ ทางร้านเค้าก็แถมไข่เจียวฟูๆ กรอบ ๆ มาให้จานนึงด้วยค่ะ
ซึ่งขอบอกว่าทั้งอาหารที่เราสั่ง และไข่เจียวที่ทางร้านแถมมาให้ รสชาติใช้ได้ทุกอย่างเลยค่ะ แต่ว่าอาหารทั้งหมดก็จะเป็นแบบรสกลาง ๆ นะคะ สำหรับคนที่ชอบกินอาหารรสจัดอย่างพิมอาจจะบอกว่ารสอ่อนไปหน่อยก็เป็นได้ค่ะ
แล้วหลังจากที่เรากินเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะเช็คบิล พนักงานของที่ร้านเค้าก็ยกสับปะรดจานนี้มาให้ค่ะ ก็ไม่รู้ว่าเค้าให้ทุกโต๊ะหรือเปล่า แต่ขอบอกว่าสับปะรดอร่อยมากค่ะ คือมันหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย เนื้อไม่แข็งเกินไม่นิ่มเกิน พิมกินเดียวหมดจานเลย หุหุ
พอกินสับปะรดเสร็จก็ทำการเช็คบิลค่าเสียหายค่ะ เบ็ดเสร็จ 600 กว่าบาท แต่ทางร้านลดให้เหลือแค่ 600 บาท น่าจะเพราะมากับเพื่อนรุ่นพี่ของคุณสามี ซึ่งขายของอยู่แถวนั้นด้วย พิมกับคุณสามีและน้อง ๆ ก็ต้องขอบคุณทางร้านด้วยอ่ะค่ะ ^__^
หลังจากนั้นเราทั้ง 5 คน ก็คิดว่าจะเอายังไงไปไหนกันต่อดี เพราะมันก็ยังไม่ดึกมาก แต่ระหว่างคิด ๆ กันอยู่แม่คุณสามีโทรมาบอกว่าให้กลับกันได้แล้วเพราะมันเริ่มจะดึกมาก แม่เป็นห่วง พวกเราก็เลยตัดสินใจว่างั้นกลับโรงแรมไปพักผ่อนดีกว่าค่ะ เพราะไม่อยากให้แม่คุณสามีเป็นห่วง อีกทั้งเดินตากฝนมาเป็นชั่วโมงแล้ว หากพักผ่อนน้อยก็เกรงจะเป็นหวัดเอาไว้ ดังนั้นแล้วพวกเราจึงบ๊ายบายกับเพื่อนคุณสามีที่เดินมาส่งที่หน้าโรงแรมที่เราพักกัน ก่อนที่จะแยกย้ายกับครอบครัวคุณสามีไปนอนกันที่ห้องใครห้องมัน เพื่อที่พรุ่งนี้ (วันที่ 2 ของทริปหัวหิน) เราจะได้ลุยกันต่อค่ะ
ส่วนว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง พิมไปที่ไหนมา กินอะไรมาบ้าง เดี๋ยวคอยดูในตอนถัดไปนะคะ ^__^