จบวันแรกไปในตอนที่ 1 แล้ว วันนี้เราก็มาต่อตอนที่ 2 กับวันที่ 2 กับทริป "เที่ยวหัวหิน...ถิ่นมีหอย" กันนะคะ
เนื่องจากว่าเมื่อคืนนอนดึกมาก >_<" กว่าจะถึงห้อง กว่าจะอาบน้ำเสร็จ กว่าจะจัดแจงเรื่องเสื้อผ้าเสร็จ ก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่าค่ะ แล้วตอนนอนแอร์ที่ห้องก็หนาวมาก พยายามปรับในอุณหภูมิสูงขึ้นจนถึง 27 องศาแล้วก็ยังหนาว
แถมผ้าห่มที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ก็ทั้งเก่า บาง ชายรุ่ย และเนื้อหยาบกระด้าง (เดาว่าน่าจะใช้มาหลายปี) พอห่มแล้วมันก็ระคายผิวมากๆ ถึงขนาดคันก็เลยไม่ได้เอามาห่ม ทั้งคืนก็เลยนอนไม่ค่อยจะหลับเลยค่ะ ซึ่งนี่ยังไม่รวมเรื่องที่รองนอนชั้นล่างที่เปียกน้ำมาตั้งแต่ชาติไหนไม่รู้จนเป็นคราบสกปรกมาก แล้วยังผ้าคลุมฟูกรองชั้นล่างที่ขาด ชายรุ่ยเป็นจุดๆ (ตามในภาพ) รวมไปถึงฝักบัวในห้องน้ำที่น้ำไม่ค่อยไหล ระบบระบายน้ำที่ไม่ดี อาบน้ำทีเดียวน้ำเกือบท่วมห้องน้ำ แล้วก็ยังระบบชักโครกอีกที่กดแล้วไม่ค่อยจะลง ... พอเช้ามาก็เลยตื่นมาด้วยอาการงัวเงีย มาถามน้องคุณสามีว่าห้องพักนี่จองห้องละเท่าไหร่อ่ะ แบบว่าห้องแย่มาก (อันหลังนี่คิดในใจไม่ได้บอกน้องค่ะ) ซึ่งในใจตอนนั้นคิดว่าคุณภาพอย่างนี้ 400 ก็แพงเกินแล้ว พอน้องคุณสามีบอกว่า 790 พิมก็ถึงกับอึ้งเลยค่ะ T__T ราคาโหดร้ายมากๆ
คือสภาพของโรงแรมทั้งภายนอก ภายใน รวมไปถึงสภาพห้องเนี่ย ต่างกันราวฟ้ากับดินกับในรูปภาพในเวบและในรูปภาพที่เค้าแปะไว้ตรงหน้า Front ของโรงแรมเลยอ่ะค่ะ แถมมีคุณน้าสามีภรรยาคู่นึงที่มาพักที่นี่เหมือนกัน เค้าเจอหนักกว่าพิมอีกค่ะ เค้าบอกว่าเค้าจองโรงแรมนี้จากในงานเที่ยวไทยอะไรสักที่แหละค่ะเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ราคาห้อง 1200 เห็นในรูปห้องสวยดี แถมบอกว่าใกล้สถานีรถไฟหัวหิน (ใกล้จริง ๆ เดินแค่ไม่ถึง 5 นาทีก็ถึง) ก็เลยจองซะ 2 คืน แต่ปรากฎว่าได้ห้องแบบพิมเลยค่ะ เพียงแต่มีโต๊ะเก้าอี้แบบก๊องแก๊งสำหรับนั่งกินข้าวมาให้อีก 1 ชุดเท่านั้นเอง แบบว่าสงสารเค้าเลยค่ะ เนื่องจากราคา 1200 เนี่ย หาห้องพักดี ๆ แถวนี้ที่ไม่ใช่โรงแรมนี้ได้หลายที่เลย เพราะงั้นพิมก็เลยขอฝากเอาไว้เป็นอุทธาหรณ์สำหรับเพื่อน ๆ ทุกคนนะคะ หากจะจองที่พักที่ไหนขอให้ตรวจสอบให้ดีซะก่อนอ่ะค่ะ
ป.ล. โรงแรมนี้เค้าจะติดป้ายกระดาษไว้ตามเสาไฟเส้นหน้าสถานีรถไฟฟ้าบ้าง ในตัวเมืองบ้างว่ามีห้องราคาถูกคืนละ 399 ก็จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติสนใจมาติดต่อสอบถามกันเยอะค่ะ แต่ปรากฎว่าพอมาถามจริง ๆ ห้อง 399 ไม่เคยมี มีแต่ 790 กับพันกว่า เพราะงั้นโรงแรมนี้พิมขอแบนค่ะ
และหลังจากนั้น พิมกับคุณสามีก็ไปเช็คเอ้าท์และลงมานั่งเล่นที่หน้าโรงแรมในขณะที่น้องสาวคุณสามีก็ขึ้นไปจัดเรียงสัมภาระต่างๆ บนท้ายรถ ก่อนที่จะออกไปแยกย้ายไปทำธุระกัน โดยพ่อคุณสามีกับน้องคนเล็กเค้าจะขับรถเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปซื้ออะไหล่เครื่องจักรที่แถวคลองถม วรจักรอ่ะค่ะ ส่วนพิม คุณสามี แม่ หลาน และน้องสาวคนโตของคุณสามี ก็จะไปทำธุระกันอีกที่ ๆ นึงในหัวหินนี่แหละค่ะ
และหลังจากที่ทำธุระรอบแรกเสร็จ ซึ่งใช้เวลาไม่นาน ยังไม่ถึงเวลานัดกับพ่อคุณสามี (ซึ่งจะกลับมาเจอกันที่หน้าโรงแรมที่พักเมื่อคืนนั่นแหละค่ะ) พิมกับหลานคุณสามีก็เลยไปเดินเล่นที่สถานีรถไฟหัวหินกันค่ะ ซึ่งจากหน้าโรงแรมที่พิมพักเมื่อคืนนี้ แค่เดินเลี้ยวขวาจากหน้าโรงแรมระยะทางไม่ถึง 30 เมตร ก็จะะจอกับสถานีรถไฟหัวหินแล้วอ่ะค่ะ
ซึ่งตอนแรกพิมก็คิดว่าจะไปถ่ายรูปกับป้ายหัวหินซะหน่อยแบบว่าเห็นคนเค้าฮิตถ่ายกันจัง ก็อยากอินเทรนด์กับเค้าบ้าง
แต่ปรากฎว่ามันท่าทางจะฮิตเกินไปค่ะ เพราะมีคนยืนรอถ่ายรูปกับป้ายประมาณ 10 กว่าคน แถมแต่ละคนก็ดูท่าทางจะถ่ายหลายท่า เพราะงั้นพิมก็เลยไม่รอถ่ายด้วยแล้วล่ะค่ะ ขอไปเดินเล่นต่อตามประสาพิมดีกว่า
ตรงสถานีรถไฟหัวหิน นอกจากป้ายสถานีแล้ว สิ่งที่คนนิยมถ่ายรูปอีกสิ่งหนึ่งก็คือ หัวรถจัก (พิมเรียกถูกหรือเปล่าค่ะ ?) ที่จอดอยู่ในสถานีหัวหินนี่แหละค่ะ แบบว่าตั้งเด่นเป็นสง่ามากๆ แต่ว่าใช้ตาดูได้อย่างเดียวนะคะ เอามือไปจับไม่ได้ เพราะว่าเค้าล้อมด้วยรั้วเล็ก ๆ ไว้ค่ะ
และหลังจากเดินชมความงามของต้นไม้ดอกไม้รวมไปถึงหัวรถจักรที่ตั้งอยู่ในสถานีรถไฟหัวหินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พิมก็ขอมาเดินชมความสวยงามภายในตัวสถานีกันบ้างค่ะ ซึ่งจะว่าไปแล้วพิมเองก็เคยเดินทางด้วยรถไฟมาหลายเที่ยว (แม้จะไม่มาก) แต่สถานีหัวหินนี่สวยที่สุด สวยสมคำร่ำลือจริง ๆ ดูสะอาดสอ้าน โปร่งโล่ง มีลมพัดโกรกไปมา เย็นสบายมากๆ หากใครผ่านไปผ่านมาแถวหัวหินนี่ก็อย่าลืมแวะมาชมความงามกันนะคะ
จากจุดนั่งพักใกล้ชานชาลา พิมก็เดินเรื่อย ๆ มาถึงห้องจำหน่ายตั๋วค่ะ
แล้วก็แอบดูตารางเวลาเดินรถไฟทั้งขาไปและขากลับซะหน่อย เผื่อว่าวันหลังอยากจะแว๊บมาหัวหินอีก จะได้รู้ไว้ว่าควรจะออกจากบ้านเวลาไหนมาขึ้นรถไฟขบวนไหนเวลาไหนอ่ะค่ะ
ซึ่งในภาพด้านบนเป็นกำหนดการเดินรถไฟจากภาคใต้เข้าสู่กรุงเทพฯ แต่ในภาพด้านล่างนี่จะเป็นกำหนดการเดินรถไฟจากกรุงเทพฯ สู่ภาคใต้นะคะ ... ซึ่งตรงนี้พิมขอเก็บภาพมาฝากเพื่อน ๆ กันด้วยเผื่อใครสนใจอยากจะเดินทางไปหัวหินโดยรถไฟอ่ะค่ะ
ซึ่งถ้าอยู่ที่กรุงเทพฯ นอกจากเพื่อน ๆ จะซื้อตั๋วได้ตามสถานีรถไฟต่าง ๆ แล้ว เพื่อน ๆ ก็ยังสามารถซื้อตั๋วรถไฟได้จากตัวแทนจำหน่ายตั๋วของการรถไฟได้ตามรายละเอียดด้านล่างนี้นะคะ (และถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะซื้อแบบออนไลน์ก็ได้ด้วยอ่ะค่ะ)
จากนั้นพิมกับหลานคุณสามีก็เดินออกมาที่หน้าสถานีรถไฟค่ะ ..... ซึ่งตอนอยู่ด้านในว่าสถานีรถไฟหัวหินนี่สวยแล้ว แต่พอเดินออกมาข้างนอกอยากจะบอกว่า สวยกว่าอีกข้างในอีกหลายเท่าเลยค่ะ (ยังไงถ้าเพื่อน ๆ ผ่านมาแถวนี้ก็อยากให้แวะมาชมกันนะคะ)
แล้วระหว่างเดิน ๆ อยู่ หลานคุณสามีก็บ่นว่าหิวน้ำค่ะ และจะต้องไปซื้อน้ำที่เซเว่นเท่านั้น >_<" ไอ้เราตามประสาพี่ที่ดี (จริง ๆ อายุพิม เค้าน่าจะเรียกว่าน้าได้แล้วอ่ะค่ะ แต่ตามศักดิ์ก็ยังเรียกว่าพี่เหมือนเดิม) ก็ไปค่ะ เพราะเซเว่นที่น้องเค้าอยากไปก็อยู่ติด ๆ กับสถานีรถไฟหัวหินเลย
พอซื้อเสร็จ พิมก็เริ่มรู้สึกหิวข้าวเพราะว่าตั้งแต่ตื่นมาจนกระทั่ง 11 โมงยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยค่ะ เลยแวะไปที่ร้านขายขนมผักกาดที่อยู่หน้าปากซอยฝั่งตรงข้ามทางเข้าโรงแรม เห็นเค้าทำน่ากินดีแถมผัดใหม่ ๆ ด้วย ราคาก็ไม่แพง แค่กล่องละ 25-30 บาท พิมก็เลยจัดมาซะ 1 กล่องค่ะ (ไม่ได้ซื้อเผื่อใคร เพราะคนอื่นเค้ากินข้าวเช้ากันไปแล้ว) แต่พอมาถึงหน้าโรงแรม ก็ให้แม่คุณสามีไปทานแทนค่ะ เพราะว่าแม่เค้าหิวแล้วแต่ไม่สะดวกจะเดินไปไหน
ส่วนพิม กับน้องสาว และหลานคุณสามีทั้งหมด 3 คน ก็เดินไปหาอะไรกินกันแถว ๆ นั้น .... ก็ไปเจอร้านน่ากินร้านนึงค่ะ ขายหลายอย่างมากไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือ ก๋วยเตี๋ยวปลา อาหารตามสั่ง ซึ่งน้องคุณสามีเค้าก็สั่งเย็นตาโฟมาทานค่ะ (ชามละ 50 บาท)
ส่วนหลานคุณสามีสั่งเตี๋ยวเรือเส้นเล็กหมู (ถ้าจำไม่ผิดชามละ 40)
และพิมสั่งเตี๋ยวเรือเส้นหมี่เนื้อเปื่อยอ่ะค่ะ แถมด้วยข้าวผัดคะน้าหมูกรอบไข่ดาวไปฝากคุณสามี และ ข้าวผัดพริกแกงปลาดุกไปฝากแม่คุณสามี (กล่องละ 50) เบ็ดเสร็จค่าเสียหายเกือบ ๆ 300 บาท (รวมเป๊ปซี่ 1 ขวด น้ำเปล่า 1 ขวด น้ำแข็ง 3 แก้ว) ....... รสชาติโดยรวมก็กลาง ๆ ค่ะ ถือว่าใช้ได้ แต่ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมาย ต่างชาติกินได้ คนไทยกินดี แต่ถ้าให้เลือก......อยากลองร้านอื่นดูบ้างอ่ะค่ะ
และหลังจากที่กลับมาจากหาอะไรกินกันอิ่มเรียบร้อยแล้ว ก็ไปทำธุระต่อกันประมาณ 3 ชม. พอทำธุระเสร็จก็กลับมายังจุดนัดพบเพื่อรอพ่อคุณสามีมารับ แต่ปรากฎว่าท่าทางพ่อคุณสามีจะเลทไปอีกหลาย ชม. ^^" ดังนั้นระหว่างรอพ่อคุณสามีมารับ แม่คุณสามีก็ชวนเหมารถสองแถว (จากที่จอดรับจ้างอยู่แถวหน้าโรงแรม) ไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ในหัวหินกันอ่ะค่ะ ^__^
ป.ล. ราคาเหมารถคือ 1/2 วัน 1000 บาท
ซึ่งจุดแรกที่ทางพี่คนขับรถสองแถวพาไปก็คือ วัดเขาตะเกียบค่ะ
ซึ่งการเดินทางมาวัดนี้ หากเราไม่ได้ขับรถมาเอง หรือไม่ได้เช่าเหมารถเค้ามา ก็สามารถเช่ามอเตอร์ไซด์จากในเมืองวันละประมาณ 250 บาท แล้วขี่มาเที่ยวได้ค่ะ หรือไม่ก็นั่งรถสองแถวแดงจากสี่แยกในตลาดโต้รุ่งคนละ 10 บาท มาลงตรงสามแยกเขาตะเกียบ แล้วเดินมาอีกหน่อย (ไกลเหมือนกัน) ก็จะถึงวัดเขาตะเกียบได้เช่นกันอ่ะค่ะ
ซึ่งวัดเขาตะเกียบเนี่ยจะตั้งอยู่บนเขาตะเกียบค่ะ เป็นวัดที่สวยงามมากอีกวัดนึงในหัวหิน มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สักการะบูชา และก็มีจุดชมวิวทะเลหัวหินที่งดงามมากๆ อีกอ่ะค่ะ
ที่วัดเขาตะเกียบเนี่ยนอกจากขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อมากๆ ก็คือ "ลิง" ค่ะ >_<" ซึ่งลิงของที่นี่เนี่ยขอบอกว่ามันแสบสุด ๆ คือหากเราถือถุงพลาสติคที่ใส่ของกินไปไม่ว่าจะเปิดถุงหรือยังไม่เปิดถุง เมื่อลิงเห็น ลิงมันจะเข้ามาแย่ง+กระชากไปจากมือเราเลยค่ะ ซึ่งหากเราถือไม่แน่นก็อาจจะเสร็จโจรลิงได้ เพราะพิมเจอมากับตัวเองแล้ว >_<" แบบว่าพอลงจากหลังรถสองแถวปุ๊บ กะจะถือถุงไปฝากไว้ในห้องโดยสารด้านหน้ารถสองแถว แต่ยังไม่ทันส่งให้พี่คนขับเค้าเลย เจ้าลิง 3 ตัวนี่ก็มารุมพิม แล้วกระชากถุงขนมที่ซื้อจากเซเว่น ไปจากมือพิม แล้วปีนหนีขึ้นไปบนหลังคากันเลยอ่ะค่ะ
แถมนะพอเค้ารู้ว่าหนีพิมพ้นแล้ว เค้าก็นั่งพักกันอยู่บนหลังคาเหนือจุดที่พิมยืน แล้วหยิบถุงขนมกันไปตัวละถุง ถุงไหนที่ยังไม่ได้ฉีก เค้าก็ฉีกถุงแล้วควักขนมออกมากินกันอย่างสบายเลยค่ะ หรือขวดน้ำดื่มที่เราดื่มแล้วยังไม่หมดก็เลยปิดไฟไว้ หากถูกลิงแย่งไปได้ มันก็สามารถเปิดฝา แล้วยกขวดกระดกกินได้เหมือนที่เราทำเลยอ่ะค่ะ แบบว่าเป็นลิงที่ฉลาดมากๆ เห็นแล้วแอบทึ่ง >_<'
เพราะงั้นหากเพื่อน ๆ มาเที่ยวหรือมาไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดนี้ ให้ระวังลิงเอาไว้อย่างมากๆ เลยนะคะ อย่าพยายามถือถุงก๊อปแก๊ปหรือถุงพลาสติคที่มีเสียง เพราะเค้าจะคิดว่าเป็นถุงขนมแล้วจะมาแย่งไปอ่ะค่ะ
ซึ่งที่วัดนี้นอกจากเรื่องลิงจะเป็นเรื่องเด่นแล้ว อย่างที่พิมบอกด้านบนก็คือ ใครที่ชอบทำบุญ ที่วัดนี้มีจุดให้ทำบุญมีสิ่งให้ทำบุญเยอะมากเลยค่ะ แล้วแม่กับน้องคุณสามีพิมซึ่งปกติเค้าเป็นคนที่ชอบทำบุญมากๆ อยู่แล้ว ก็เลยถูกใจพากันไปทำบุญยกใหญ่เลยค่ะ (ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี)
ไม่ว่าจะซื้ออาหารให้โค กระบือ ทำบุญกระเบื้อง ทำบุญซื้อที่ดินให้วัด ปิดทองฝังลูกนิมิตร ทำบุญห้องน้ำ และอื่น ๆ อีกมากมาย ... ส่วนพิมเองก็ทำบุญไปพอประมาณค่ะ ตามกำลังทรัพย์ที่มี
หลังจากนั้นก็เป็นคิวเดินชมความงามของวัดล่ะค่ะ
แต่เนื่องจากว่าวัดในส่วนที่งาม ๆ เนี่ยจะต้องเดินขึ้นบันได้ไปนับร้อยขั้น ซึ่งแม่คุณสามีและคุณสามีไม่สามารถขึ้นไปได้ อีกทั้งน้องสาวคุณสามีก็ต้องคอยดูแลแม่ซึ่งเดินไม่ได้ พิมก็เลยไม่ได้ขึ้นไปเช่นกันอ่ะค่ะ ได้แต่อาศัยเดินเล่นดูลิงรอบ ๆ วัดเท่านั้นเอง
ซึ่งอย่างที่บอกข้างบนว่าลิงที่วัดเนี่ยนอกจากจะแสบมากแล้ว ก็ยังมีจำนวนเยอะมากๆ อีกด้วยค่ะ พี่คนนึงที่เป็นเจ้าหน้าที่ในวัดเล่าให้ฟังว่า 2-3 ปีก่อนมีแค่หลักร้อยตัว แต่ตอนนี้ไม่ต่ำกว่าพันตัวแล้วอ่ะค่ะ แถมแต่ละตัวที่พิมเห็นเนี่ยถ้าเป็นตัวเมียล่ะก็ มีเจ้าลูกลิงตัวเล็ก ๆ ห้อยต่องแต่งๆ อยู่เกือบทุกตัวเลยอ่ะค่ะ
และในบรรดาลิงนับเป็นพัน ๆ ตัวที่อยู่บนเขาตะเกียบเนี่ย พี่เจ้าหน้าที่วัดก็ชี้ให้ดูเจ้าตัวในภาพด้านล่างนี้ค่ะ และก็บอกว่าเจ้าตัวนี้แหละที่เป็นหัวหน้าแก๊งค์ลิงเขาตะเกียบ เพราะว่าเท่าที่พี่เค้าทำงานที่นี่มานาน เจ้าตัวนี้เหมือนจะอายุมากที่สุดในแก๊งค์เลยอ่ะค่ะ
ซึ่งเมื่อก่อนตอนที่ลิงยังมีปริมาณน้อย ๆ และมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยววัดเขาตะเกียบเยอะๆ เนี่ย เรื่องอาหารการกินของลิงแทบไม่มีปัญหาเลยค่ะ แต่พอปริมาณลิงเยอะขึ้น นักท่องเที่ยวน้อยลง เรื่องอาหารลิงก็ดูจะเป็นปัญหา แต่ทางวัดเค้าก็ไม่ได้มาขอรับบริจาคอะไรแต่อย่างใดนะคะ เพียงแต่ว่าเค้าจะมีจุดขายอาหารให้ลิงค่ะ เป็นกล้วยไข่งอมๆ กระป๋องละ 20 บาท หากนักท่องเที่ยวคนไหนไปเที่ยวชมวัดแล้วอยากจะให้อาหารลิงก็สามารถติดต่อที่พี่เสื้อฟ้าตามในภาพนี่ได้เลยอ่ะค่ะ
จากจุดชมลิง อิอิ ^__^ เราก็ไปดูจุดชมวิวทะเลหัวหินกันบ้างนะคะ ซึ่งที่จุดชมวิวนี้เนี่ยเราจะเห็นชายทะเลหัวหินโดยรอบเลยค่ะ แบบว่าสวยงามมาก ๆ แต่ว่าพิมยังไม่ทันได้ถ่ายภาพมาฝากเพื่อน ๆ เลยค่ะ ฝนก็ลงเม็ดซะก่อนแล้ว พิมที่กำลังกางจอภาพกล้องอยู่ก็เลยต้องรีบพับเก็บและเอากล้องใส่กระเป๋าอ่ะค่ะ
พอเอากล้องใส่กระเป๋าเสร็จ ก็รีบเดินไปที่รถ เพราะฝนทำท่าจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ..... ซึ่งตอนนั้นพิมก็ถามคุณสามีว่า ฝนทำท่าจะตกอย่างนี้แล้วแม่จะยังไปตลาดน้ำหัวหินอยู่อีกไหม ซึ่งตอนแรกพิมก็คิดว่าแม่จะไม่ไปค่ะ แต่ไหน ๆ เราเหมาเค้าแล้วเน๊าะค่ะ จ่ายเงินเค้าไปแล้วด้วยพันนึง ครั้นจะให้แค่พาเที่ยววัดเขาตะเกียบอย่างเดียวก็กระไรอยู่ ก็เลยตัดสินใจว่าถึงฝนตกก็จะไปค่ะ
เพราะงั้นพอเราขึ้นรถเรียบร้อย พี่เค้าก็เลยขับรถไปต่อยังตลาดน้ำหัวหินอ่ะค่ะ (ซึ่งเราเพิ่งมารู้ทีหลังว่ามันไกลจากวัดเขาตะเกียบมากๆ เลย >_<")
จากวัดเขาตะเกียบ เมือเราขับผ่านหมู่บ้านชายทะเลมาแล้ว พอถึงสามแยกตรงนี้ก็ให้เราเลี้ยวรถไปทางซ้ายนะคะ (ถ้าไปทางขวาจะกลับเข้าตัวเมืองหัวหิน)
จากนั้นก็ขับตรงมาเรื่อย ๆ เลี้ยวขวาบ้าง เลี้ยวซ้ายบ้างตามทาง
จนกระทั่งประมาณเกือบ 4 โมงเย็นเรามาถึงตลาดน้ำหัวหินสามพันนามกันอ่ะค่ะ (เป็นตลาดน้ำ 1 ใน 2 แห่งของตลาดน้ำในหัวหิน)
ซึ่งระหว่างนั่งรถมาตลอดทางจนมาถึงตลาดน้ำสามพันนามเนี่ย ฝนก็ตกตลอดเวลาเลยนะคะ ... ตอนนั้นในใจก็คิดว่าจะเที่ยวสนุกไหม แต่ไหน ๆ มาถึงที่แล้วก็ลุยดีกว่า เพราะไม่มีอะไรจะเสียไปกว่านี้แล้วอ่ะค่ะ
จากจุดจอดรถด้านข้างตลาดน้ำ เราก็เดินมาที่หน้าทางเข้าตลาดกันค่ะ ซึ่งหากเราจะใช้บริการนั่งเรือ-นั่งรถไฟชมตลาดน้ำ เราก็จะสามารถซื้อตั๋วเรือตั๋วรถไฟได้จากที่ออฟฟิศของสำนักงานตลาดน้ำตรงหน้าทางเข้าได้เลยนะคะ ซึ่งค่าตั๋วก็เพียงคนละ 20 บาทต่อ 1 รอบเท่านั้นค่ะ
โดยในวันปกติ (วันที่ฝนไม่ตก+วันหยุด) เห็นคนที่ตลาดน้ำบอกว่ารถไฟและเรือจะเต็มเกือบทุกเที่ยวเลยอ่ะค่ะ แต่วันนี้วันไม่ปกติ (วันฝนตก+วันธรรมดา+เย็นมากแล้ว) รถไฟก็เลยค่อนข้างจะว่าง ยิ่งเรือนี่ไม่มีใครใช้บริการเลยอ่ะค่ะ
ลักษณะของตลาดน้ำสามพันนาม จะไม่ใช่ตลาดน้ำแบบมีเรือมาพายขายของอย่างที่ตลาดน้ำตลิ่งชัน ตลาดน้ำอัมพวาอ่ะนะคะ แต่จะเป็นตลาดเรียบริมน้ำมากกว่า คือ ทางตลาดน้ำเค้าจะขุดสระน้ำสระใหญ่มาก ๆ ไว้ค่ะ (ใหญ่ขนาดเดินรอบนึงก็เมื่อยมากๆ ประมาณว่าเมื่อไหร่จะเดินครบรอบซะทีอ่ะเนี่ย)
แล้วสร้างอาคารไม้ชั้นเดียวเพื่อเป็นร้านค้า+ทางเดินรอบสระ แล้วเรียกเป็นตลาดน้ำทำนองนั้น
ซึ่งร้านค้าที่มาเปิดในตลาดน้ำหัวหินสามพันนามเนี่ย ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกร้านขายของที่ระลึก ของฝาก เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า งานฝีมือ งานศิลปะ อะไรประมาณนี้อ่ะค่ะ .... ซึ่งแม่ค้าที่ตลาดน้ำเค้าบอกกับพิมว่าถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์คนจะเยอะมากเลยค่ะ แต่นี่เป็นวันธรรมดาแถมฝนตกอีก คนก็เลยน้อยสุด ๆ ไปเลยจนแม่ค้าอยากจะปิดร้านกลับไปนอนกันหมด แต่เนื่องจากเป็นกฎที่ทางตลาดน้ำตั้งเอาไว้ว่าห้ามใครปิดร้านก่อน 5 โมงเย็น ไม่งั้นจะถูกปรับก็เลยไม่มีใครกล้าปิด (แต่กฎก็ไม่ได้เคร่งครัดมากนะคะ)
เนื่องจากตลาดน้ำหัวหินสามพันนาม ... มีทางเดินรอบตลาดที่ยาวไกลมาก ๆ >_<" อีกทั้งก๋วยเตี๋ยวเรือที่กินไปเมื่อกลางวันนี้ มันไม่ได้ช่วยให้อิ่มท้องอะไรเลย พอเห็นร้านเสต๊กกลางตลาดน้ำตอนเวลาประมาณ 5 โมงเย็นกว่าๆ (ซึ่งเสต๊กเป็นอาหารที่คุณสามีพิมชอบ) คุณสามีพิมก็เลยชวนพิมและครอบครัวเค้าแวะเข้าไปค่ะ แต่ปรากฎว่าเค้าเก็บของ จะปิดร้านแล้ว ก็เศร้ากันไป
พิมกับครอบครัวคุณสามีก็เลยเปลี่ยนใจไปกินก๋วยเตี๋ยวแถวนั้นแทนค่ะ ชามละ 40 บาท เส้นเยอะ แต่เนื้อสัตว์น้อยมาก และรสชาติไม่ผ่านอย่างแรง ขนาดว่าพิมกับคุณสามีกินไปได้ไม่ถึงครึ่งชามก็ไม่กินกันต่อแล้วอ่ะค่ะ >_< (ระหว่างนั้นฝนก็ยังตกลงมาเรื่อยๆ)
พอกินเสร็จ ก็ได้เวลาเดินชมตลาดน้ำกันต่อแล้วค่ะ แต่ว่าร้านรวงเค้าก็เริ่มปิดกันไปจะหมดแล้วค่ะ ที่ยังเหลืออยู่ก็ไม่ค่อยมีร้านอะไรน่าสนใจ เพราะร้านมันก็จะซ้ำ ๆ กันซะส่วนมากเน๊าะค่ะ อย่างร้านเสื้อสีน้ำตาลคอกลมคอวีที่พิมพ์ตรงหน้าตลาดน้ำสามพันนามนี่มีขายเป็น 6-7 ร้านเลยอ่ะค่ะ
ดังนั้นพอเดินต่อไปได้อีกสักพัก พวกเราก็เลยคิดว่างั้นกลับกันดีกว่าค่ะ แบบว่ามันเย็นมากแล้ว แถมไม่มีอะไรน่าสนใจแล้วด้วย ก็เลยเดินกลับไปที่รถกันค่ะ
จากนั้นก็คือช่วงเวลาการเดินทางกลับไปยังจุดนับพบล่ะค่ะ (ในภาพเป็นเวลาประมาณ 18.25 น.)
และแล้วเราก็กลับมาถึงจุดนับพบที่หน้าโรงแรมเดิมที่เราพักกันเมื่อคืน ซึ่งปรากฎว่าพ่อคุณสามีมารอเราอยู่ก่อนแล้วประมาณ 5 นาทีน่ะค่ะ
ซึ่งตอนแรกพิมกับคุณสามีกะว่าเราจะไปบ้านคุณสามีที่สุราษฎร์กันต่อเลยค่ะ (คือบ้านคุณสามีเค้าจะกลับสุราษฎร์กันเลย ไม่ได้ค้างที่หัวหินแล้ว) ก็กะว่าจะไปสัก 2 วัน แต่นึกได้ว่าวันอาทิตย์ (วันที่ไปคือวันศุกร์) พิมมีธุระสำคัญที่เลื่อนนัดไม่ได้นี่นา คุณสามีก็เลยไม่ไปค่ะ บอกว่าไว้โอกาสถัดไปก็ได้ เราก็เลยแยกย้ายกันที่หน้าโรงแรมนั่นเลยอ่ะค่ะ ซึ่งครอบครัวคุณสามีก็เดินทางโดยรถส่วนตัวกลับสุราษฎร์กัน ส่วนพิมกับคุณสามีก็กะว่าจะขึ้นรถสองแถวไปขึ้นรถทัวร์ที่สถานีขนส่งหัวหินกันอ่ะค่ะ
แต่ระหว่างทางจะเดินไปขึ้นสองแถว พิมก็แอบคิดว่ามาถึงหัวหินแล้วยังไม่เห็นทะเล ยังไม่ได้ย่ำทรายที่ชายหาด ยังไม่ได้เอาเท้าเอามือไปสัมผัสน้ำทะเลเลย .... แบบว่ามันไม่ใช่อ่ะค่ะ ก็เลยชวนคุณสามีว่างั้นเราพักที่นี่ต่อกันเองอีกสักคืนดีไหม แล้วพรุ่งนี้บ่าย ๆ ค่อยเดินทางกลับ ซึ่งคุณสามีก็เห็นด้วยค่ะ และด้วยความที่ก๋วยเตี๋ยวมื้อเย็นที่เราทานกันที่ตลาดน้ำหัวหินไม่ได้มีความอร่อยเลย >_<" อีกทั้งคุณสามีมีความอยากกินเสต๊กเป็นอย่างมาก ระหว่างทางเดินจะไปหาโรงแรมที่พักผ่านร้าน Jeffer Steak ก็เลยขอแวะกันสักหน่อยค่ะ
ซึ่งในภาพด้านล่างนี่ก็คืออาหารที่คุณสามีสั่งมานะคะ พิมจำไม่ได้แล้วว่าชื่อเรียกคืออะไร แต่รสชาติเมื่อเทียบกับราคาแล้วพิมให้ผ่านค่ะ
ป.ล. แต่ละสาขาของ Jeffer Steak คุณภาพเนื้อสัตว์พอ ๆ กัน แต่ความอร่อยต่างกันที่คนทำคนย่างอ่ะค่ะ
แต่ของพิมเนี่ย .. ส่วนที่เป็นไก่ค่อนข้างจืดมาก ในขณะที่ส่วนมันบดราดซอสนั้น ตัวซอสหวานมากค่ะ พอกินรวมกันแล้วเลยเลี่ยนสุดๆ ดีกว่าขนมปังอร่อย ก็ยังพอกล้อมแกล้มไปได้ แต่ถ้าให้สั่งอีกก็คงไม่สั่งอ่ะค่ะ เบ็ดเสร็จมื้อนี้จ่ายค่าเสียหายพร้อมน้ำเปล่า 1 ขวดไปประมาณ 270 กว่าบาทค่ะ
จากร้าน Jeffer Steak พิมกับคุณสามีก็เดินแบกเป้แบกกระเป๋ากล้องใบโตกันมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงตลาดฉัตรศิลา ... ซึ่งในตลาดฉัตรศิลาเนี่ย ความน่าสนใจของตลาดไม่ใช่แค่เพียงของสวย ๆ งามๆ ทีทางพ่อค้าแม่ค้าเอามาวางขายกัน แต่ยังเป็นอาคารไม้โบราณทาสีขาวซึ่งเค้าติดป้ายไว้ว่าเป็นที่ทำการของหน่วยงานราชการหน่วยงานนึงด้วยอ่ะค่ะ
ตลาดฉัตรศิลาจะมีอยู่ 2 zone ด้วยกัน (พิมแบ่งเองแหละค่ะ) คือ zone ที่เป็นอาคารไม้ลานกว้าง ๆ ในภาพด้านบน ซึ่งใน zone นี้ร้านค้าจะเป็นแบบชั่วคราวแบกะดิน ไม่มีหลังคากันแดดกันฝน และอีก zone ก็จะเป็นร้านค้าที่เป็นอาคารถาวรมีหลังคา เช่ากันเป็นรายเดือนอ่ะค่ะ ซึ่งใน zone ที่สองเนี่ย ตรงบริเวณจุดนั่งพัก จะมีพี่ผู้ชายคนนึงมาดีดกีต้าร์ร้องเพลงให้ฟังด้วยอ่ะค่ะ พี่เค้าก็จะร้องทั้งเพลงไทยเพลงสากล ซึ่งใครที่ชื่นชอบเพลงพี่เค้าก็สามารถจะหย่อนกะตังค์เล้ก ๆ น้อย ๆ เป็นสินน้ำใจใส่ลงไปในกระเป๋ากีต้าร์ของพี่เค้าที่เปิดรอรับไว้ก็ได้อ่ะค่ะ
จากตลาดฉัตรศิลา ... พิมกับคุณสามีก็เดินทะลุมาที่ตลาดโต้รุ่งหัวหินเหมือนเมื่อคืนค่ะ ซึ่งเพราะวันนี้ที่ตัวเมืองหัวหินฝนตกเพียงน้อยนิด (น้อยขนาดพื้นไม่เปียก) ร้านรวงในตลาดโต้รุ่งก็เลยมาเปิดกันเยอะ คนก็เดินเยอะด้วยค่ะ
พิมเองอยู่ในอารมณ์กำลังอยากกินของหวาน ก็เลยแวะไปกินไอศกรีมเจ้าที่กินเมื่อวาน ... แต่วันนี้พิมเลือกกินรสที่พิมโปรดสุด ๆ ซึ่งเป็นคนละรสกับเมื่อวาน (เมื่อวานกินกะทิ วันนี้กินรัมเรซิ่น) ปรากฎว่ารัมเรซิ่นของที่ร้านนี้ไม่ถูกปากพิมอย่างแรงค่ะ กินไปได้ยังไม่ถึงครึ่งถ้วยก็วางช้อนแล้วค่ะ
จากนั้นก็ไปเดินหาโรงแรมที่จะพักในคืนนี้กันค่ะ ...... ด้วยความที่พิมกับคุณสามีไม่มีรถ เราก็เลยใช้วิธีการเดินดุ่ม ๆ หาโรงแรมแถว ๆ นั้นเอาค่ะ แต่ปรากฎว่าถามที่ไหน ๆ ก็คืนละพันกว่า 1100 1300 1400 ทั้งนั้น คือพิมไม่อยากได้โรงแรมดีขนาดนั้น ขอแค่เป็นห้องที่สะอาด แอร์เย็น มีผ้าห่มที่ดี ไว้สำหรับนอนพักคืนนึงแค่นั้นก็พอแล้วอ่ะค่ะ ...... ว่าแล้วพิมก็เดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้เจอโรงแรมบ้านมัณฑนาซึ่งอยูใกล้ ๆ กับจุดจอดรถตู้ หมอชิต - หัวหิน และหลังจากสอบถามราคาแล้วว่าห้องธรรมดามีระเบียงราคาคืนละ 900 บาท พิมก็เลยตัดสินใจเอาที่นี่เป็นที่พักสำหรับคืนนี้แหละค่ะ
ป.ล. บางคนอาจจะบอกว่าราคาห้องแค่พันกว่าบาทนี่จิ๊บ ๆ มาก ราคาถูกอ่ะ แต่สำหรับพิมที่แค่ต้องการที่ซุกหัวนอน ตื่นเช้ามาก็ไปแล้วเนี่ย พิมถือว่าราคาสูงเกินงบ พิมอยากได้ที่ราคาถูกกว่านี้ค่ะ
ซึ่งหลังจากเช็คอินเรียบร้อย พิมกับคุณสามีก็เดินขึ้นไปชั้น 2 เพื่อเข้าห้องพักกันค่ะ ..... และด้วยความที่วันนี้เหนื่อยมากกับการเดินทาง พอเข้าห้องได้ พิมก็นั่งพักแป๊บนึงพอให้หายเหนื่อย แล้วก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าไปอาบน้ำเลยค่ะ ซึ่งน้ำที่นี่ไหลแรงดีจริง ๆชอบมากๆ
แถมแอร์ในห้องก็เย็นสุด ๆ ไปเลยค่ะ ความสะอาดของห้องก็โอเค เสียอย่างเดียวหมอนแบนเป็นกล้วยทับเลยค่ะ แบนมากจริงๆ จนพิมนอนไม่ได้ เพราะเวลาอยู่ที่บ้านจะนอนหนุนหมอนสูงตลอด แต่ครั้นจะเอาลงไปเปลี่ยนพิมก็ไม่ไหวจะลงไปเพราะเหนื่อยมากแล้ว ก็เลยนอนมันไปทั้งอย่างนั้นเลยอ่ะค่ะ
และเมื่อมาถึงตรงนี้-ตอนนี้ก็เป็นอันว่า ทริป "หัวหิน....ถิ่นมีหอย" ของพิมในวันที่ 2 จบลงแล้วนะคะ แต่ยังเหลือวันที่ 3 อีกหนึ่งวัน ซึ่งเป็นวันที่พิมจะไปสัมผัสน้ำทะเลที่หัวหิน หากเพื่อน ๆ คนไหนสนใจก็คอยชมกันในตอนต่อไปนะคะ แล้วเจอกันจ้า ^__^