หลังจากท่องเที่ยวกันมาซะครึ่งวัน ท้องของพิมกับคุณสามีก็เริ่มออกอาการหิวแล้วล่ะค่ะ ซึ่งในทุกทริปที่ผ่านมา พิมจะมีร้านเป้าหมายในแต่ละวันตลอด แต่........สำหรับทริปครั้งนี้บอกตามตรงว่าไม่มีเป้าหมายเลยค่ะ - -"
เหตุผลเพราะจุดแต่ละจุดที่พิมไป เวลามันไม่แน่นอน อีกทั้งพอค้นในเนตว่ามีร้านไหนอร่อยบ้างในเชียงราย ส่วนใหญ่ที่แนะนำกันก็จะเป็นร้านแบบนั่งทานชิลด์ ๆ มีสวนดอกไม้อะไรทำนองนี้ ซึ่งมันแอบราคาสูงกว่างบที่พิมตั้งไว้ ก็เลยคิดว่าไปหาเอาดาบหน้าล่ะกันค่ะ เพราะงั้นพอท้องเริ่มร้อง พิมก็เลยถามพี่เสกสรรค์ซึ่งเป็นเจ้าถิ่นในวันนี้ว่า ร้านอาหารในตัวเมืองร้านไหนบ้างที่อร่อย แต่ราคาไม่แพง แบบว่าขอราคาพื้นๆ แบบตามสั่งข้างทางอะไรอย่างนี้ ..... พี่เสกสรรค์ก็แนะนำและพามาที่ร้านนี้เลยค่ะ "ร้านน้ำเงี้ยวป้านวล"
ร้านน้ำเงี๊ยวป้านวล จะตั้งอยู่ในซอยข้างโรงแรมเวียงอินทร์ค่ะ โดยจากปากซอยเนี่ยให้เราเดินหรือขับรถเข้าไปประมาณ 50 เมตรก็จะเจอร้านอยู่ทางด้านซ้ายมือ ซึ่งหน้าร้านป้าเค้าก็จะมีหน้าตาอย่างนี้ค่ะ
ตอนที่พิมไปเนี่ย ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นช่วงเวลาประมาณเที่ยงครึ่งค่ะ ซึ่งเป็นช่วงเวลาพักกลางวันและทานข้าวเที่ยงพอดี ดังนั้นภายในร้านป้านวลจึงแน่นขนัดไปด้วยลูกค้าทุกโต๊ะอ่ะค่ะ พิมก็เลยต้องใช้เวลาในการรออยู่ประมาณ 10 กว่านาที ก็มีลูกค้าที่นั่งโต๊ะแรกนอกบ้านเช็คบิลแล้วลุกออกไป พิมกับคุณสามีก็เลยขอจับจองโต๊ะนี้แหละค่ะ
จากนั้นพิมกับคุณสามีก็ก็เริ่มทยอยสั่งอาหารล่ะค่ะ สำหรับพิมเนี่ยทานอาหารเหนือได้ชิลด์ๆ แต่คุณสามีเค้าแอบคิดว่าน่าจะมีอาหารจานหนักท้อง อย่างข้าวผัด ข้าวไอ้โน่นไอ้นี่บ้าง ก็เลยแอบงง ๆ ไปนิดเมื่อดูเมนูแล้วพบว่าไม่มีเมนูเหล่านี้เลยอ่ะค่ะ แต่สุดท้ายแล้วเราสองคนก็สั่งอาหารไป 4 อย่างค่ะ
ซึ่งอย่างแรกที่มาเสริฟนั่นก็คือ "ขนมจีนน้ำเงี๊ยว"
ตัวพิมเองเคยกินน้ำเงี๊ยวมาหลายครั้งจากหลายร้านจากฝีมือคนหลายคนแล้ว ก็มีบางร้านที่ทำไม่อร่อยเลย บางร้านที่ทำอร่อย และบางร้าน(บ้าน) ที่ทำอร่อยมาก ........ ซึ่งสำหรับร้านนี้ พิมให้อร่อยอ่ะค่ะ ^__^ (ส่วนที่อร่อยสุดที่เคยกินมา คือฝีมือแม่เพื่อนของพิมคนนึงค่ะ อร่อยสุดๆ จนพิมกินติดต่อกัน 3 จานเลย)
อ้อๆ ... น้ำเงี๊ยวชุดนี้ราคาแค่ 30 บาท แต่รสชาติกับปริมาณนี่เกินราคามากๆ ค่ะ
ต่อมาก็เป็นเฝอไก่แบบเส้นเล็กของคุณสามีพิมนะคะ ซึ่งรสชาติก็จะอ่อนๆ ตามสไตล์เฝอ ทางร้านแนะนำให้ทานกับกะปิ แต่ว่าคุณสามีไม่ค่อยถนัด ก็เลยไม่ได้ใส่ค่ะ ... (จานนี้ 40 บาท)
และนอกจากน้ำเงี๊ยวกับเฝอไก่แล้ว พิมกับคุณสามีก็ยังสั่งปากหม้อญวณมาด้วยอ่ะค่ะ ซึ่งก็อร่อย แป้งนุ่มดี ไส้ข้างในก็รสชาติดี ทุกอย่างเข้ากันได้อย่างลงตัว แต่ติดตรงหอมเจียวไหม้ไปนิดนึง จานนี้ 60 บาทค่ะ
และสุดท้ายที่พิมกับคุณสามีสั่งมานั่นก็คือแหนมเนืองค่ะ
ซึ่งสำหรับแหนมเนืองเนี่ยเค้าก็แถมผักสดมาให้ชามใหญ่ๆ ซึ่งผักโดยรวมก็ดูสดดีอ่ะค่ะ แต่เสียอยู่สองอย่างคือ ผักล้างมาไม่สะอาด มีเศษดอกหญ้าและผงเล็กๆ น้อย ๆ ติดมาพอคร และในส่วนของผักแพ้วก็มีใบเหลืองใบช้ำและใบเน่าค่อนข้างเยอะค่ะ (ในรูป พิมเด็ดออกไปแล้ว) ซึ่งตรงนี้พิมก็บอกน้องคนเสริฟไปแล้ว แต่เค้าก็ได้แค่พูดว่า "ค่ะ ๆ" เท่านั้นเอง ไม่รู้จะไปปรับปรุงไหม >_<
และนี่ก็คือภาพรวมอาหารที่พิมกับคุณสามีสั่งมาทานเป็นมื้อกลางวันในวันแรกของทริปเชียงรายอ่ะค่ะ ^__^ ซึ่งขอบอกว่าด้วยความหิวก็ทานกันเกือบหมดค่ะ ส่วนที่เหลือ (1/4 ของแหนมเนือง) ว่าจะให้ทางร้านเค้าห่อกลับบ้านให้ แต่ว่ากว่าพิมกับคุณสามีจะไปถึงที่พักน่าจะเกิน 2 ทุ่ม ป่านนั้นแหนมเนืองอาจจะเสียแล้วก็ได้ อีกอย่างน้องในร้านเค้าก็ยุ่งกันมาก ก็เลยคิดว่าไม่เป็นไรค่ะ กินได้แค่ไหนก็แค่นั้น จำไว้เป็นบทเรียนล่ะกันว่าคราวหน้าหิวแค่ไหนก็ค่อยสั่ง อย่าสั่งเยอะ เสียดายของ - -"
สุดท้ายหลังจากทานเสร็จ ถึงเวลาจ่ายค่าเสียหาย พิมก็จ่ายที่ราคานี้นะคะ 292 บาท ก็ถือว่าอิ่มและคุ้มอ่ะค่ะ
จากนั้น ... แต่เดิมพิมวางแผนไว้ว่าจะไปไร่บุญรอดค่ะ แต่พี่คนขับรถบอกว่าไร่บุญรอดไว้ไปวันสุดท้ายก็ได้ อย่าเพิ่งไปในวันนี้เลยเพราะมันคนละเส้นทางกับที่เราจะไปดอยแม่สลองให้ไปที่พิพิธภัณฑ์บ้านดำแทน ซึ่งพิมก็เชื่อพี่เค้าค่ะ แต่อยากบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิด ซึ่งผิดยังไงเดี๋ยวคอยดูที่วันสุดท้ายนะคะ
จากร้านน้ำเงี๊ยวป้านวลเวลาบ่ายโมงครึ่งกว่าๆ พี่เสกสรรค์ขับรถพาพิมกับคุณสามีไปตามเส้นทางที่จะไปยังตำบลนางแล เพื่อที่จะไปบ้านดำค่ะ แต่ระหว่างทางที่จะไปบ้านดำ พี่เสกสรรค์ถามว่าจะแวะวัดสักวัดนึงก่อนไหม อยู่ในทางผ่านอยู่แล้ว ไม่เสียเวลา วัดนี้สวยมากออกแนวสไตล์จีน ดาราและคนมีชื่อเสียงมักจะแวะมาทำบุญกันเยอะ .... พิมเห็นว่าไหน ๆ ก็ทางผ่าน แวะสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่เสียเที่ยว ^__^
"วัดห้วยปลากั้ง" เป็นวัดที่ตั้งอยู่ในตำบลริมกก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงรายค่ะ โดยวัดนี้เริ่มก่อตั้งตั้งแต่ปี 2544 แต่ว่าตอนที่เริ่มก่อตั้งวัดก็ยังไม่มีอะไร จนกระทั่งพระอาจารย์พบโชค (ซึ่งบวชที่ราชบุรี) ท่านย้ายมาปฏิบัติธรรมที่นี่ และเนื่องด้วยท่านเป็นผู้มีความรู้ในเรื่องของโหราศาสตร์ อีกทั้งมีความสามารถในการทำนายดวงชะตาค่อนข้างแม่นยำ อีกทั้งท่านได้ให้คำแนะนำแก่ผู้ที่มาดูดวง ทำให้ผู้ที่มาดูดวงส่วนใหญ่ที่นำคำแนะนำของท่านไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันของตนหลายคนประสบผลสำเร็จในชีวิต พระอาจารย์ท่านจึงมีชื่อเสียงและได้ก่อตั้ง "พบโชคธรรมเจดีย์" เจดีย์ 9 ชั้นในเวลาต่อมาอ่ะค่ะ ^___^
โดยพบโชคธรรมเจดีย์เนี่ยจะเป็นเจดีย์ทรงแหลม 9 ชั้น แต่ละชั้นก็จะมีหลังคาสีแดง มีรูปมังกรบนหลังคา ตรงบันไดทางขึ้นก็จะมีรูปปั้นมังกรคู่ตั้งตระหง่านอยู่ และในบริเวณรอบเจดีย์ (ชั้น 1) ก็จะมีพระธาตุจำลองประจำปีนักษัตริย์ให้ผู้ที่ศรัทธาไปมาสักการะบูชาอ่ะค่ะ
สำหรับพิม .... ในวันนั้น ด้วยความที่พิมไม่มีข้อมูลอะไรไปเลย และไม่เคยรู้จักวัดนี้มาก่อน เมื่อพี่เสกสรรค์พาไปวัดนี้ พิมก็ไม่ได้ไปทำอะไรมากมายค่ะ ได้แต่เดินดูรอบ ๆ วัด และเดินชมภายในบริเวณพบโชคธรรมเจดีย์
ซึ่งที่ด้านในพบโชคธรรมเจดีย์ชั้น 1 .... เมื่อเราเดินผ่านประตูด้านหน้าเข้าไปก็จะพบกับรูปแกะสลักของเจ้าแม่กวนอิมที่มีขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้านะคะ และก็จะพบกับพระอาจารย์พบโชคอีกทั้งพระรูปอื่นๆ 2-3 รูป ที่มักจะคอยมานั่งพูดคุยกับญาติโยมอยู่บริเวณที่นั่งด้านขวามือของเจ้าแม่กวนอิมอยู่เป็นประจำอ่ะค่ะ
ส่วนที่ชั้น 2 และชั้น 3 รวมไปถึงชั้นอื่นๆ ก็จะมีพระพุทธรูปประจำชั้นประดิษฐานอยู่ด้วย ... ซึ่งใจจริงพิมอยากจะเดินขึ้นไปให้ถึงชั้น 9 (จะได้ดูวิวรอบๆ วัดในมุมสูงด้วย) แต่ด้วยความที่เวลาเที่ยวชมของพิมมีไม่มาก พิมจึงเดินขึ้นไปแค่ชั้น 2 เท่านั้น ซึ่งที่ชั้น 2 นอกจากจะมีพระพุทธรูปประจำชั้นประดิษฐานอยู่ ก็จะมีรูปแกะสลักไม้เกินกว่า 10 รูปที่มีผู้คนมากราบไหว้มากมายเลยค่ะ
และเมื่อพิมเดินชมบรรยากาศโดยรอบในบริเวณชั้น 1 และชั้น 2 ของพบโชคธรรมเจดีย์จนทั่วแล้ว เมื่อเหลือบดูเวลาก็พบว่ามันบ่าย 2 กว่าแล้ว เลยบอกคุณสามีว่าเราไปต่อที่บ้านดำกันเถอะ เพราะเกรงว่าถ้าช้าไปกว่านี้ เราจะไปถึงดอยแม่สลองมึดเกินนะ ซึ่งคุณสามีก็เห็นด้วยค่ะ
จากนั้นพิมกับคุณสามีก็เลยเดินทางกันต่อเพื่อที่จะไปพิพิธภัณฑ์บ้านดำของอาจารย์ถวัลย์ค่ะ
จากวัดห้วยปลากั้ง 14.30 พิมมาถึงบ้านดำเวลา 14.55 อ่ะค่ะ ก็ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบครึ่งชม. ซึ่งตามความเข้าใจของพิม (โดยที่ไม่รู้ข้อมูลมาก่อน) คิดว่าบ้านดำของอาจารย์ถวัลย์ท่านจะอยู่ติดกับถนนใหญ่ค่ะ แต่ปรากฎว่าจากถนนใหญ่ต้องเลี้ยวเข้าซอย ๆ นึงไปจนสุดซอยถึงจะเป็นบ้านดำน่ะค่ะ
บ้านดำ ... เป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนตัว (Private Museum) แหล่งรวมงานศิลปะทางด้านสถาปัตยกรรมอาจารย์ถวัลย์ ดัชนีน่ะค่ะ
ซึ่งภายในบริเวณพิพิธภัณฑ์ก็จะมีบ้าน อาคาร รวมไปถึงสิ่งก่อสร้างในสไตล์ล้านช้าง ล้านนา และสุวรรณภูมิจำนวนหลายสิบหลัง ซึ่งในแต่ละหลังก็จะมีคอนเซปท์และความน่าสนใจที่แตกต่างกันออกไป
และในบ้าน อาคารแต่ละหลังก็จะมีสิ่งของสะสมของอาจารย์ถวัลย์อยู่มากมาย ซึ่งของสะสมในแต่ละหลังก็จะเข้าคอนเซปท์เดียวกับอาคารหลังนั้นๆ ด้วยอ่ะค่ะ เช่น "บ้านลาว" บ้านในรูปภาพด้านล่างนี้ ก็จะมีของสะสมที่อยู่ในบ้านเป็นจำพวกเครื่องเงิน ... อะไรทำนองนี้น่ะค่ะ ซึ่่งในบางหลัง อาจารย์ท่านก็จะเปิดให้เราเข้าไปชมของสะสมด้านในได้ แต่บางหลังก็จะสงวนไว้ให้ดูได้แต่ภายนอกอาคารอ่ะค่ะ
และนอกจากอาคารทรงต่างๆ ที่พิมได้พูดถึงด้านบนแล้ว เมื่อเดินเข้ามาด้านใน ๆ บริเวณพิพิธภัณฑ์ (ฝั่งขวามือ) พิมก็เจอเข้ากับอาคารทรงกลมสีขาวแปลกตาเรียงรายอยู่ติดกันประมาณ 3 หลัง ซึ่งอาคารเหล่านี้อาจารย์ถวัลย์ท่านได้ตั้งชื่อไว้ว่า "อุบ" มีอุบปรภพ อุบก๊อกตด และอุบเปลวปล่องฟ้าอ่ะค่ะ
ซึ่งเมื่อพิมเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่าห้อง (หรือที่พิมอยากจะเรียกว่าโดม เพราะเป็นทรงครึ่งวงกลม) นั้นเป็นห้องเก็บของสะสมหนึ่งในหลาย ๆ ห้องของอาจารย์ถวัลย์ซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวและคนทั่วไปเข้าไปชมได้ (โดยไม่สร้างความเสียหาย) ซึ่งเมื่อพิมเข้าไปก็จะพบกับหนังจระเข้ผืนใหญ่ที่ถูกวางตรึงไว้กลางพื้นห้อง
รายรอบด้วยเปลือกหอยขนาดใหญ่หลายแบบด้วยกัน และด้านริมสุดชิดติดกำแพงก็จะเป็นที่วางเก้าอี้ที่ทำจากเขาควายหลายสิบตัว อีกทั้งรูปไม้แกะสลักที่ดูแปลกตาอ่ะค่ะ
ถัดจากโดมสามโดม เมื่อเดินเข้ามาลึกอีกหน่อย ก็จะพบกับอาคารเก็บของสะมของอาจารย์ถวัลย์อีกหนึ่งอาคาร ชื่อ "เภรีกัมปนาท"
ซึ่งอาคารนี้จะเป็นอาคารแบบเปิดโล่ง มีของสะสมจำพวกหัวควาย เขาควาย หนังสัตว์ผืนใหญ่ๆ เครื่องดนตรีขนาดใหญ่
อีกทั้งเครื่องจักสาน และสิ่งของที่แสดงถึงความเป็นล้านนาอยู่มากมายค่ะ ..... ซึ่งในจุดตรงนี้เนี่ยพิมสนใจมากเลยค่ะ อาจจะเพราะพิมเป็นคนที่ชอบเครื่องจักรสาน แต่ว่าเอาเข้าจริงพิมก็ไม่สามารถเดินดูได้นานอย่างที่ต้องการ เพราะพิมเดินแยกจากคุณสามีมาคนละทางเป็นเวลาเกินกว่า 15 นาทีแล้ว เกรงคุณสามีจะกังวลใจว่าพิมหายไปไหน ก็เลยรีบเดินต่อไปดูจุดอื่นๆ น่ะค่ะ
จากอาคารเภรีกัมปนาทด้านบน พิมก็เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนถึงด้านในสุดมุมขวา ก็ไปเจอกับอาคารนี้ที่มีชื่อว่า "บ้านแหวน" ค่ะ ซึ่งพิมอยากจะบอกว่าตอนแรกที่พิมเดินมาคนเดียวเรื่อย ๆ ตามทางในบริเวณพิพิธภัณฑ์บ้านดำเนี่ย พิมก็ไม่ได้คิดอะไรนะคะ กลับรู้สึกเพลิดเพลินดีประมาณว่าได้เห็นอะไรแปลกตา ได้มีความรู้ใหม่ๆ แต่พอเดินลึกเข้ามาถึงหน้าบ้านหลังนี้ ซึ่งเป็นจุดที่เงียบสงัดและไม่มีคนสักคน บวกกับอาคารที่มีลักษณะแปลกตา ก็ทำให้พิมเกิดความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาค่ะ - -" เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายได้ แต่ก็บอกกับตัวเองว่ารีบไปจากตรงจุดนี้ดีกว่าก่อนที่ใจจะเต้นตุ๊บตับไปมากกว่านี้อ่ะค่ะ
จากบ้านแหวน พิมก็เลยเดินเลี้ยวมาทางซ้ายค่ะ ผ่านเรือนคนงาน มาเจอกับศาลาพระทองไสยยาสน์ ซึ่งที่ศาลานี้เนี่ยมีซุ้มประตูแกะสลักที่สวยงามมากๆ เลยอ่ะค่ะ ... หากเพื่อน ๆคนไหนชอบงานไม้แกะสลัก ลองไปชมดูได้นะคะ
และจากศาลาพระทองไสยยาสน์ พิมก็เดินเลี้ยวซ้ายชมความงามและสถาปัตยกรรมของอาคารแต่ละหลังในบริเวณนั้นมาอีกประมาณ 10 นาที แล้วพิมก็มาเจอคุณสามีกำลังยืนอยู่ตรงแถว ๆ "บ้านสามหลัง" พร้อมทำท่างง ๆ ค่ะ ... ก็เลยถามคุณสามีว่าเกิดอะไรขึ้นเหรอ คุณสามีก็บอกว่าน่าจะมีใครสักคนลืมกระเป๋ากล้องซึ่งมีเมมโมรี่อยู่ด้านในอ่ะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นของใคร ลองถามนักท่องเที่ยวแถวๆ นั้นดูแล้วก็ไม่ใช่ของใครเลยสักคนน่ะ พิมก็เลยตัดสินใจว่างั้นเอาไปฝากที่เจ้าหน้าที่ของบ้านดำดีกว่า เผื่อว่าไว้ที่เค้าแล้วเจ้าของกระเป๋านึกได้ว่าลืมกระเป๋าไว้ที่นี่จะได้กลับมาเอาได้อ่ะ
แต่ ....... ระหว่างที่พิมไปตามหาเจ้าหน้าที่ของบ้านดำ คุณสามีก็ไปเดินตามหาเจ้าของกระเป๋าอีกรอบค่ะ แล้วในที่สุดคุณสามีก็ไปเจอเจ้าของกระป๋าเป็นชาวต่างชาติชายหญิงบริเวณหน้าทางเข้าบ้านดำค่ะ ก็เลยโทรมาบอกพิม พิมก็รีบวิ่งเอาไปให้เค้า เค้าดีใจมากๆ ที่ได้รับกระเป๋ากล้องคืน และพยายามจะบอกพิมกับคุณสามีเป็นภาษาไทยว่า "ขอบคุณครับ" พร้อมไหว้พิมกับคุณสามีอย่างน่ารักมากเลยอ่ะค่ะ แถมนะ ... เค้าจะให้ตังค์พิมมากินขนมด้วย 40 บาทค่ะ บอกว่าเป็นค่าดริ้งค์ ๆ พิมก็ไม่อยากรับ แต่เค้าบอกว่ารับเถอะนะ น้ำใจจากเค้า ก็เลยรับมาและไปซื้อน้ำกินกับคุณสามีค่ะ ^___^
ส่วนเจ้าหน้าที่ของทางบ้านดำที่อยู่บริเวณลานจอดรถและใกล้เคียง ก็มาขอบคุณพิมกับคุณสามีใหญ่เลยค่ะ บอกว่าดีใจและขอบคุณแทนฝรั่ง 2 คนนั้น พิมเองก็ดีใจค่ะ ไม่ได้ดีใจที่เก็บของเค้าได้ ไม่ได้ดีใจที่ได้รับคำขอบคุณจากเค้า ไม่ได้ดีใจที่ได้รับเงินจากเค้า แต่ดีใจที่ได้ทำความดีอ่ะค่ะ ^___^
สุดท้ายก่อนเราจะกลับจากบ้านดำ พิมกับคุณสามีก็แวะเข้าไปชมในร้านขายของที่ระลึกของบ้านดำกันหน่อยอ่ะค่ะ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ของบ้านดำบอกว่าในนี้สามารถถ่ายรูปได้ แต่ขอว่าห้ามใช้แฟลชอ่ะค่ะ
ซึ่งในส่วนของร้านขายของที่ระลึกเนี่ย นอกจากของที่ระลึกที่มีให้เลือกซื้อมากมายไม่ว่าจะเป็นเสื้อ เครื่องประดับ รูปแกะสลัก หมวก กระเป๋าหนัง กระเป๋าผ้า ย่าม เข็มกลัด และอื่นๆ อีกมากมาย ก็มีรูปภาพมูลค่า 20 ล้านบาทของอาจารย์ถวัลย์จำนวน 2 ภาพที่ได้ขายให้กับคุณบุญชัย (ปัจจุบันเป็นสามีคุณตั๊ก บงกช) ติดโชว์อยู่ด้านในด้วยอ่ะค่ะ
ซึ่งภาพ 2 ภาพนี้เนี่ย เมื่อคุณบุญชัยได้ซื้อจากอาจารย์ถวัลย์แล้ว คุณบุญชัยก็ไม่ได้เอากลับไปที่บ้านด้วย แต่บอกว่าให้ติดไว้ที่นี่แหละ คนผ่านไปผ่านมาจะได้ชมความงาม เพราะถ้าเอาไปติดไว้ที่บ้านเค้า ก็มีแค่เค้าและคนในบ้านที่ได้ชม (ข้อความเนื้อหาประมาณนี้) ...... ดังนั้นก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้พิมและคุณสามีรวมถึงนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆ ได้ชมภาพวาดอันงดงามของอาจารย์ถวัลย์ 2 ภาพนี้นี่แหละค่ะ ^__^
และจากร้านขายของที่ระลึก .... ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อแล้วค่ะ
โดยจุดหมายปลายทางอันดับต่อไปของพิมก็คือ "ดอยแม่สลอง" ซึ่งพี่เสกสรรค์บอกว่าจากบ้านดำเราจะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 1 ชม.กว่า ซึ่งถ้าเป็นไปตามกำหนด พิมจะถึงดอยแม่สลองประมาณ 5 โมงครึ่ง ก็ทันดูพระอาทิตย์ตกพอดี ....... ค่ะ ส่วนว่าพระอาทิตย์ตกบนดอยแม่สลองจะสวยงามสักแค่ไหน ติดตามชมได้ในตอนต่อไปนะคะ ^____^