.
หลายวันก่อนไปตลาดบางกะปิค่ะ เจอยายคนนึงจากเพชรบุรีเอาลูกตาลสุกมาขาย แล้วพิมก็เป็นคนประเภทที่ว่าเห็นลูกตาลสุกไม่ได้ค่ะ ต้องซื้อ >_<" พอซื้อมาแล้วก็เลยเป็นที่มาของขนมไข่ปลาในวันนี้แหละค่ะ
จริง ๆ เวลาได้ลูกตาลมาเนี่ย หลังจากพิมยีเนื้อตาลออกมาแล้ว ส่วนใหญ่พิมก็จะแค่เอามาทำขนมตาลเท่านั้นนะคะ ไม่ค่อยได้เอามาทำขนมอื่นเลย เพราะว่าขนมอื่นที่มีส่วนผสมของเนื้อตาลด้วยเนี่ย ไม่ว่าจะเป็นขนมขี้หนูตาล ขนมไข่ปลา คนที่บ้านพิมไม่มีใครชอบเลยสักคนนึงจริง ๆ ค่ะ เลยไม่ค่อยได้ทำ
แต่วันก่อนเห็นเพื่อนในเฟสบุ๊คของพิมบอกว่าดูรายการอะไรสักอย่างของคุณสรยุทธค่ะ แล้วคุณสรยุทธก็พูดถึงขนมไข่ปลา และได้บอกว่าตอนนี้หากินยากมาก ทั้งประเทศมีคนทำขายแค่เจ้าเดียว (แต่จริง ๆ พิมว่ามีเยอะกว่านั้นนะคะ >_<") บวกกับเพื่อน ๆ ในเฟสหลายคนบอกว่าไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยเห็นขนมไข่ปลาเลย หน้าตาและรสชาติมันเป็นยังไง ....... พิมก็เลยถือโอกาสที่มีเนื้อตาลอยู่ในมือนี่ ทำขนมไข่ปลาสักหน่อยค่ะ
ซึ่งก่อนจะไปดูส่วนผสมของขนมชนิดนี้ว่ามีอะไรบ้างและก่อนจะไปลงมือทำกันก็มาดูหน้าตากันก่อนนะคะว่าเป็นยังไง นี่ค่ะหน้าตาอย่างนี้เลย น่ากินไหมค่ะ ^__^
ดูหน้าตาแล้วก็มาดูส่วนผสมกับวิธีทำกันค่ะ
:: ส่วนผสมและเครื่องปรุง ::
- แป้งข้าวเหนียว 250 กรัม
- แป้งข้าวเจ้า 50 กรัม
- เนื้อตาล 150 กรัม
- น้ำมะพร้าวอ่อน หรือ น้ำกะทิ 3/4 ถ้วยตวง <--- อาจจะต้องใส่มากหรือน้อยกว่านี้อีกนิดหน่อยขึ้นกับความชื้นของแป้งที่ใช้ด้วยค่ะ
- เกลือป่น 1/2 ชช.
- น้ำตาลทราย 500 กรัม
- น้ำ 2 + 1/2 ถ้วย
- มะพร้าวทึนทึก 1/2 ซีก
:: วิธีทำ ::
เริ่มต้นเลย ........ก็ให้เราผสมแป้งข้าวเหนียวกับแป้งข้าวเจ้าลงในกาละมังใบเดียวกันนะคะ เอาใบย่อมๆ ก็พอไม่ต้องใบใหญ่
แล้วใส่เกลือป่นลงไป 1/4 ชช. (อีก 1/4 ชช. เอาไว้คลุกกับมะพร้าวทึนทึก)
คนด้วยมือหรือทัพพีให้แป้งกับเกลือเข้ากันดี
ใส่เนื้อลูกตาลทั้งหมดลงไป
เคล้าให้เนื้อตาลกับแป้งพอเข้ากัน แล้วก็ใส่กะทิหรือน้ำมะพร้าวอ่อนลงไปสัก 1/4 ถ้วย ใส่เสร็จก็เคล้าแป้งกับน้ำรวมกัน (แต่มันจะยังไม่เข้ากัน) แล้วก็ใส่น้ำลงไปอีก 1/4 ถ้วย เคล้าๆ นวดๆ รวมกันอีกที
แล้วก็ใส่น้ำกะทิอีก 1/4 ถ้วยที่เหลือ นวดจนกระทั่งรู้สึกว่าแป้งนิ่มมือ ปั้นเป็นเส้นเป็นก้อนได้ ไม่เหลวไม่แห้งเกินไป ... ก็เป็นอันว่าใช้ได้ พักแป้งไว้ประมาณ 10 นาทีค่ะ (หาผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาด ๆ คลุมแป้งไว้ด้วย หรือแรปด้วยฟิล์มสใสำหรับใช้กับอาหารก็ได้ค่ะ
ระหว่างพักแป้งก็มาขูดมะพร้าวทึนทึกกันนะคะ ... ซึ่งวันนี้พิมใช้มะพร้าวทึนทึกแค่ครึ่งซีกค่ะ เลือกลูกที่ทึนทึกค่อนมาทางอ่อน กะลามะพร้าวยังเป็นสีน้ำตาลอ่อนอยู่ เนื้อมะพร้าวจะได้ไม่แข็งเกิน กินแล้วจะได้นุ่มลิ้น
ก็เอามะพร้าวมากระเทาะเป็น 2 ซีกนะคะ ล้างน้ำให้ขี้ผงหลุดออก คว่ำพักไว้ให้สะเด็ดน้ำแป๊บนึง แล้วก็นำมาขูดเป็นเส้นด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่า "มือแมว" อย่างในภาพด้านล่าง จนกระทั่งหมดซีก ... เคล้ามะพร้าวอ่อนด้วยเกลือป่นที่เหลือก็เป็นอันใช้ได้ล่ะค่ะ ก็พักไว้ก่อน (ถ้าจะเก็บไว้กินนานๆ เช่น เช้าไปบ่ายไปเย็น แนะนำให้นึ่งในน้ำเดือดจัดเป็นเวลาสัก 5 นาทีด้วยนะคะ)
จากนั้นมาเตรียมรังถึงสำหรับนึ่งขนมกันค่ะ (อันนี้เป็นวิธีทำให้ตัวขนมสุก-แบบโบราณ) โดยเอารังถึงมากรุด้วยใบตองฉีก ๆ อย่างในภาพ (เพื่อไม่ให้ตัวขนมติดรังถึง) ซึ่งใบตองเนี่ยเราต้องเช็ดทำความสะอาดด้วยผ้าสะอาดชุบน้ำบิดหมาด ๆ ทั้งด้านหน้าและด้านหลังแล้วนะคะ ^__^
แล้วก็หันไปดูแป้งขนมที่เราพักไว้กัน .. หน้าตาแบบนี้นะคะ
ก็ทำการหยิบแป้งขึ้นมาขนาดประมาณนิ้วหัวแม่มือค่ะ แล้วปั้นเป็นก้อนกลม คลึงเป็นเส้นยาวสัก 2 นิ้วหน่อยๆ ก่อนจะขดให้เป็นวงแล้วเอาปลายสองด้านมาชนกันหรือซ้อนทับกันแบบในภาพด้านล่างน่ะค่ะ
ป.ล. สมัยโบราณพอปั้นเป็นเส้นกลม ๆ แล้วเค้าก็จะเอาปลายแป้งมาชนกัน แล้วบีบเบาๆ ให้แป้ง 2 ข้างมาแนบชิดกันเหมือนไข่ปลาสลิดอ่ะค่ะ ... ซึ่งเพื่อนๆ จะปั้นแบบโบราณอย่างพิมว่า หรือปั้นแบบพิมก็ได้ค่ะ
แล้วก็เอาเรียงบนใบตอง (ไม่ต้องทาอะไรที่ใบตอง) เว้นระยะให้ห่างกันสัก 1 ซม. นะคะ
จากนั้นก็เอาไปนึ่งในน้ำเดือดจัด โดยต้องรอให้น้ำในก้นซึ้งเดือดจัดก่อน ค่อยเอาซึ้ง (รังถึง) ขนมไปวางซ้อนนะคะ ... แล้วก็ปิดฝา
นึ่งไปเป็นเวลาประมาณ 10 นาที
และเมื่อ 10 นาทีผ่านไป เราก็จะได้ขนมไข่ปลา (แบบทำให้สุกด้วยการนึ่ง) ออกมาหน้าตาประมาณในภาพด้านล่างนี้อ่ะค่ะ ... ^___^ ก็ดับไฟเตา ยกซึ้งลง พักไว้ให้คลายร้อนนิดนึง ก็ค่อยหยิบขนมแต่ละตัวจากใบตองขึ้นมาคลุกกับมะพร้าวนะคะ
แต่ว่าในวันนี้ที่พิมทำ ...... พิมจะทำขนมไข่ปลาให้สุกด้วยวิธีอีกวิธีนึงด้วย เพราะนั้นแล้วพิมยังไม่เอาขนมออกจากซึ้งนะคะ ขอพักไว้ก่อนค่ะ
สำหรับการทำตัวขนมไข่ปลาให้สุกอีกวิธีนึงนั้น ก็คือ การนำไปต้มค่ะ ซึ่งการต้มเนี่ยก็มี 2 แบบ แบบต้มกับน้ำเปล่าเฉย ๆ เสมือนการต้มแป้งอ่ะค่ะ และก็แบบต้มกับน้ำเชื่อมที่เจือจางหน่อย ซึ่งในวันนี้พิมขอแสดงการต้มในน้ำเชื่อมเพียงอย่างเดียวนะคะ เพราะคิดว่าถ้าต้มในน้ำธรรมดาให้แป้งสุก เพื่อน ๆ ก็คงจะต้มกันได้อยู่แล้วอ่ะค่ะ ซึ่งหากสงสัยหรือต้มไม่ได้ ลองไปดูจากวิธีการต้มแป้งถั่วแปบใน "ขนมถั่วแปบ" นะคะ
สำหรับการต้มตัวแป้งขนมไข่ปลาในน้ำเชื่อม ก็ให้เราผสมน้ำตาลทราย 500 กรัม กับน้ำสะอาด 2 ถ้วยในหม้อใบเล็กหน่อย ตั้งไฟจนกระทั่งน้ำตาลละลายหมด แล้วตักน้ำเชื่อมแบ่งใส่ชามไว้สำหรับแช่ตัวขนม 1 ส่วน (เหลือในหม้อสัก 3 ส่วน) ... ส่วนที่เหลือในหม้อก็เติมน้ำสะอาดอีก 1/2 ถ้วยที่เหลือลงไปแล้วก็รอให้เดือดอีกครั้งนะคะ
พอน้ำเชื่อมในหม้อเดือด ก็จัดการปั้นแป้งขนมไข่ปลาลงไปต้มในหม้อค่ะ
ซึ่งหลังจากหย่อนแป้งลงไปแล้ว เมื่อแป้งสุกแป้งจะลอยขึ้นมานะคะ แต่ว่าตอนที่ลอยขึ้นมามันจะยังไม่สุกทั่วทั้งชิ้น เราจะต้องรออีกนิดนึงค่ะ ให้ชิ้นแป้งหรือชิ้นขนมไข่ปลาของเราดูใสทั่วกันทั้งชิ้น ถึงค่อยช้อนขึ้นได้นะคะ
แล้วพอช้อนจากหม้อ ก็ให้เราเอาลงไปแช่ในน้ำชามน้ำเชื่อมเมื่อกี้ที่เราตักแบ่งไว้ค่ะ
แช่ไว้สักประมาณ 10-20 นาที หรืออาจจะนานกว่านั้น (ถ้ายังไม่กินก็แช่ไว้ได้เป็นชั่วโมงค่ะ แต่มันก็จะหวานมากขึ้นด้วยนะคะ)
ก็ตักตัวขนมขึ้นจากชามน้ำเชื่อม (เอาแต่ตัวขนม ไม่เอาน้ำเชื่อม) ใส่ไปในมะพร้าวทึนทึกที่เราขูดไว้น่ะค่ะ ... แล้วก็คลุกเคล้าให้เข้ากัน (สำหรับตัวขนมที่ทำให้สุกด้วยการนึ่ง ถึงขั้นตอนนี้ก็แกะเอามาคลุกมะพร้าวด้วยกันเลยนะคะ แต่แยกคลุกทีละครั้ง จะได้ไม่ปนกันอ่ะค่ะ)
สุดท้ายก็ตักใส่จานพอทาน โรยด้วยน้ำตาลทรายตามความหวานที่ชอบ แล้วก็เพิ่มกลิ่นหอมสักนิดด้วยงาขาวคั่ว ก็เป็นอันว่าเรียบร้อยล่ะค่ะ ... แล้วเราก็จะได้ขนมไข่ปลาที่ทั้งหน้าตาน่าทาน มีกลิ่นหอมลูกตาล และรสชาติอร่อย ... ออกมาหน้าตาอย่างในภาพด้านล่างนี้นะคะ
ป.ล. ต้นฉบับดั้งเดิมเค้าไม่ใส่งาคั่ว แต่พิมชอบใส่เป็นการส่วนตัว พิมว่ามันหอมและเข้ากันดีอ่ะค่ะ และการต้มในน้ำเชื่อมจะทำให้ขนมมีความหวานบ้างแต่ไม่มาก ดังนั้นตอนกินต้องโรยน้ำตาลเพิ่มด้วยถึงจะอร่อยค่ะ
ซึ่งสำหรับเพื่อน ๆ ที่ชอบตัวขนมหนึบๆ เหนียวๆ หน่อยและไม่ค่อยนุ่ม พิมแนะนำให้ใช้วิธีการนึ่งตัวขนมนะคะ แต่ใครที่ชอบตัวขนมแบบนุ่มๆ (ไม่มาก) หนึบๆ และมีความหวานในตัวอยู่บ้างแล้วก็แนะนำให้ใช้วิธีการต้มในน้ำเชื่อมแทนค่ะ .... ส่วนตัวพิม พิมชอบอย่างหลังมากกว่า เพราะว่าเคยทดลองทำในแบบวิธีแรกมา 2-3 ครั้ง พอขนมเย็นตัว จะมีความเหนียวและแห้งมากขึ้น พอมาประกอบกับตัวแป้งที่รสจืดสนิท ก็เลยทำให้รู้สึกว่ามันไม่ค่อยอร่อยน่ะค่ะ ... ยังไงพิมแนะนำวิธีหลังนะคะ แต่ถ้าใครอยากลองวิธีแรกก็ไม่ผิดกติกาค่ะ
ยังไงถ้าเพื่อนๆ หาเนื้อตาลได้ ก็ลองทำดูกันนะคะ เพราะเป็นขนมไทยที่ทำไม่ยากเลย แต่ตอนนี้กลับหากินยากมากแล้วอ่ะค่ะ ...... แล้วเจอกันใหม่ในขนมไทยถัดไปนะคะ ^__^
:: เพิ่มเติม ::
วิธีกินขนมชนิดนี้ให้อร่อยมากกว่าปกติก็คือ โรยน้ำตาลทิ้งไว้สักแป๊บ ให้น้ำตาลละลายและซึมลงไปในเนื้อขนมสักเล็กน้อย แต่ยังมีเป็นเกล็ดน้ำตาลอยู่บ้าง จะกินอร่อยกว่าโรยน้ำตาลแล้วกินเลยอ่ะค่ะ