วันนี้พิมจะพาไปกินเนื้อย่างญี่ปุ่นที่ร้านๆ นึงค่ะ ซึ่งร้านๆ นี้เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน ประมาณเดือนนึงเอง และเป็นร้านที่โฆษณาตัวเองเอาไว้ว่า มีเนื้อย่างสไตล์ญี่ปุ่นแบบสุดยอดเลยอ่ะค่ะ .. ส่วนว่าจะอร่อยสุดยอดจริงๆ อย่างที่เค้าเขียนเป็นสโลแกนไว้หรือไม่ ก็ตามพิมกันมาเล๊ยยยยยยย
..............................
ร้านๆ นี้เนี่ย ... พิมเห็นครั้งแรกเมื่อราวเกือบ 1 เดือนก่อนค่ะ ตอนที่ไปกินโคขุนคุณทอง แล้วขากลับก็ต้องนั่งรถผ่านร้านนี้ ตอนนั้นเนี่ยแค่เห็นสีร้าน สไตล์การตกแต่งด้านนอก และสโลแกนของร้าน พิมก็คิดในใจค่ะว่าเดี๋ยววันใกล้ๆ นี่แหละจะต้องมาลองสักหน่อยแล้ว แบบว่ามันท่าทางจะแหล่มเอามากๆ แต่ ......... ปรากฎว่าเมื่อกลับถึงบ้าน และจนหลายวันถัดมา ก็ดั๊นนนนลืมร้านนี้ไปซะสนิทใจเลยค่ะ (ประมาณว่าไม่ได้นึกถึงอีกเลยอ่ะ)
จนกระทั่งเมื่อ 4-5 วันก่อน เพื่อนแคชมาชวนไปหาอะไรกินนอกบ้านกันค่ะ ด้วยความหิวและนึกไม่ออกว่าจะไปไหนดี ที่จะได้กินไวๆ ไม่ต้องไปรอคิว สั่งแล้วได้เลย แถมรสชาติโอเค ราคาก็ไม่แพงนัก .... ก็เลยตัดสินใจว่าจะไปโคขุนกัน (อีกแล้วค่ะ) แต่ปรากฎว่าด้วยความที่ระหว่างนั่งรถไปเม้าท์กันเพลินไปเล็กน้อย ก็เลยทำให้เพื่อนคุณแฟนพิมเค้าขับรถเลยทางเข้าที่จอดรถของโคขุนซะงั้น >_<" ทำให้ต้องขับรถตรงไปอีกหน่อยเพื่อจะรอกลับรถแล้ววกมาเลี้ยวเข้าที่จอดรถของโคขุนใหม่อ่ะค่ะ
แต่จังหวัดที่จอดรถชิดซ้ายเพื่อรอให้รถว่าง จะได้กลับรถ สายตาคุณแฟนพิมกับพิมและคุณเพื่อนแฟนพิม ก็ดันไปประสบพบเจอกับร้านเมกุมิ ซึ่งสีของร้านเป็นสีแดง-ดำ เด่นอยู่ตรงข้างหน้าค่ะ ...... แล้วก็พลันทำให้พิมนึกไปได้ว่า เออ...ครั้งที่แล้วที่ผ่านร้านนี้ ว่าจะมาลองกินที่ร้านนี้ดูนี่นา (แต่ก็ดันลืมไปเลย) .... สรุปแล้วหลังจากถกเถียงกันเล็กน้อยพอประมาณ พวกเราทั้ง 4 เลยเปลี่ยนใจจากโคขุนมาเป็นเมกูมิกันค่ะ
ร้านเนื้อย่าง "เมกูมิ" เนี่ย ตั้งอยู่ริมถนนนวลจันทร์ ประมาณ (ตรงข้าม) ซอยนวลจันทร์ 50 นะคะ .... หากมาจากทางถนนเลียบทางด่วน เลี้ยวซ้ายเข้ามา แป๊บเดียวก็ถึง ขับรถ 3 นาทีได้ แต่หากมาจากทางถนนสุขาภิบาล 1 ที่เลี้ยวซ้ายเข้ามาถนนนวลจันทร์ ก็จะไกลนิดนึง ขับรถก็ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีอะค่ะ และรับรองว่าร้านนี้หาได้ไม่ยาก เนื่องจากตัวร้านเป็นสีโทนดำ-ขาว-แดงแปร๊ด เรียกว่าอยู่ไกลระยะ 100 เมตรยังเห็นเลยค่ะ ^^
นี่ค่ะ ..... ร้านเมกุมิ หน้าตาประมาณนี้เลยนะคะ (ถ่ายมาแบบไม่เต็มหน้าร้าน แต่ก็ยังโอเคเน๊าะ)
เมื่อไปถึงร้าน และหาที่จอดรถกันได้เรียบร้อยแล้ว อันดับแรกก็ต้องไปหาที่นั่งกันก่อนเลยนะคะ ..
ซึ่งสำหรับที่นั่งของร้านนี้เนี่ยมีหลาย zone ค่ะ (พิมแบ่งเองแหละ) ไมว่าจะ zone หน้าร้าน / ข้างร้าน / ในร้าน / ห้องแอร์ แต่หลักๆ ก็คือ zone แอร์กับไม่แอร์ ค่ะ .... ซึ่งสำหรับพิมเนี่ยชอบแบบไม่แอร์นะ แต่ว่าที่เหลือเค้าอยากได้แบบแอร์ ... เอ๊าาาา แอร์ก็แอร์ค่ะ ไอ้เรามันเสียงส่วนน้อยอยู่แล้ว T___T ... ซึ่งตรงนี้น้องพนักงานของที่ร้านนี้เค้าก็บริการดีมากเลยค่ะ ถามเราเลยอยากได้โต๊ะไหน ตรงไหน ซึ่งพิมก็เลือกข้างหน้าต่างค่ะ เพราะกะว่าจะได้ถ่ายรูปออกมาแล้วแสงสวยๆ หน่อย (ปรากฎว่าคิดผิด ตรงไหนก็เหมือนกัน เนื่องจากฝนตก ฟ้ามึดมาก >_<")
และพอหาที่นั่งได้แล้ว น้องพนักงานเค้าก็เอาเมนูของร้านมาให้เราดูค่ะ .... ก็เป็นกระดาษแผ่นใหญ่ๆ สีดำแผ่นเดียว (แต่มีสองหน้า)
ป.ล. ด้วยความเห็นส่วนตัวสุดๆ พิมว่าเมนูนี่ถ้าเคลือบด้วยพลาสติคใสแข็งๆ เหมือนเคลือบนามบัตรได้ ก็จะดีมากเลยนะคะ เพราะว่าร้านเปิดมาแค่เดือนกว่าๆ แต่เมนูเริ่มเยินแล้วอ่ะค่ะ >_<"
หน้าแรกของเมนู ... ด้านบนก็จะเป็นหน้าของรายการเนื้อสัตว์ต่างๆ จัดชุดค่ะ ไม่ว่าจะเนื้อหมู เนื้อวัว แล้วก็อาหารทะเล ซึ่งรายละเอียดว่าชุดไหนมีเนื้ออะไรยังไงบ้าง ราคาเท่าไหร่ ก็ตามในภาพเลยนะคะ .... ส่วนด้านล่างก็จะเป็นรายการอาหารพวกซาซิมิ มากิทั้งหลายน่ะค่ะ ราคาก็ตามในภาพเช่นกันค่ะ
ส่วนอีกหน้า .... จะเป็นรายการเนื้อส้ตว์ ผักต่างๆ (ทั้งแบบย่างและแบบชาบู) แบบให้สั่งเป็นจานเเดี่ยวๆ แล้วก็จะมีพวกข้าว บะหมี่ สลัด และก็เครื่องดื่ม ของหวาน... ด้วย (ตรงไหนมีป้ายๆ แถบขาว แสดงว่าเค้ายกเลิกไปแล้วอ่ะค่ะ)
ซึ่งระหว่างที่เรากำลังดูว่าเราจะสั่งอะไรกันอยู่นั้น น้องพนักงานเค้าก็เอาน้ำจิ้มต่างๆ มาเสริฟไว้ให้เราก่อนค่ะ
น้ำจิ้มของที่ร้านนี้เค้าะมี 2 แบบด้วยกัน ก็คือน้ำจิ้มชาบูๆ กับน้ำจิ้มอาหารย่างอ่ะค่ะ (ทั้งสองอย่างออกรสหวานนำ แต่กลมกล่อม)
และนอกจากน้ำจิ้มแล้ว ที่ร้านเค้าก็ยังมีมะนาว พริก กระเทียมมาให้ด้วย ซึ่งเราจะเอามาใส่ในน้ำจิ้มอาหารย่าง หรือใส่ในน้ำจิ้มชาบูก็ได้ค่ะ ตามชอบเลย หากไม่พอ ก็ขอเพิ่มได้อีก หรือหากไม่ชอบ (อย่างคุณสามีพิม) ก็ไม่ต้องใส่อ่ะค่ะ
ป.ล. พิมว่าพริกขี้หนูที่เค้าหั่นมาเนี่ย น่าจะสับให้ละเอียดกว่านี้นะคะ เป็นแบบบดหรือสับหยาบ ๆ ก็ยังดี ........ เพราะซอยๆ มาแบบนี้กินยากจริง แถมถ้าจะใส่ลงในน้ำจิ้มเพื่อเอาความเผ็ดอย่างเดียว (คือไม่กินพริก แต่ชอบเผ็ด) มันก็จะไม่ค่อยเผ็ดด้วยอ่ะค่ะ >_<"
ซึ่งหลังจากเราทั้ง 4 ใช้เวลาในการนั่งดูเมนูกันมาสักพัก เราก็ตัดสินใจว่าสั่งเนื้อชุด A กับเห็ดเออรินจิมาก่อนแล้วกันค่ะ (ยังไม่กล้าสั่งเยอะ เพราะไม่รู้ว่าอาหารที่ร้านนี้ จะมีรสชาติยังไง) .... แล้วก็ข้าวสวยญี่ปุ่น ข้าวผัดกระเทียม (พิมต้องสั่งทุกครั้งที่ไปร้านอาหารญี่ปุ่น) ส่วนเครื่องดื่มก็เป็นชาเขียวแบบรีฟิล
..... ซึ่งหลังจากเราสั่งไปแป๊บเดียว น้องเค้าก็เอาชาเขียวเย็นมาเสริฟก่อน.... ชาเขียวที่นี่จะค่อนข้างใสๆ หวานนิดๆ กลิ่นชาเขียวไม่แรง ทำให้ดื่มได้เรื่อยๆ ค่ะ
และหลังจากชาเขียวมาเสริฟได้ไม่นาน น้องเค้าก็เอาข้าวผัดกระเทียม และข้าวสวยมาเสริฟค่ะ
.... ซึ่งข้าวผัดกระเทียมของที่นี่เนี่ย ดูๆไป จะเห็นว่าหน้าตาธรรมดาๆ แต่ว่าอร่อยดีนะคะ กระเทียมเค้าใช้วิธีซอยเป็นแผ่นบางๆ แทนการสับหยาบ ๆ เหมือนร้านอื่น แล้วรสชาติก็ต่างจากข้าวผัดกระเทียมที่เคยกินมาหลายๆ ที่ คือจะมีกลิ่นกระเทียม แต่กลิ่นไม่แรง รสนุ่มๆ สาหร่ายที่โรยมาด้านหน้าก็หอมดี คุณแฟนพิมชอบมาก กินไปซะเกือบหมดถ้วยเลยค่ะ (แต่จริงๆ ข้าวผัดกระเทียมเนี่ยพิมสั่งมากินเองนะคะ >_<")
ส่วนนี่ก็ข้าวสวยญี่ปุ่นของคุณแฟนพิมค่ะ .... ตัวข้าวค่อนข้าวหนึบ แต่ไม่เหนียวเกาะกันมาก ทำให้กินได้เรื่อย ๆ กินแล้วไม่ติดเพดานปาก ไม่ฝืดคอเหมือนข้าวสวยญี่ปุ่นบางร้าน (ที่พิมเพิ่งไปกินมาวันนี้) อ่ะค่ะ
และจากนั้นอีกไม่นาน น้องพนักงานอีกชุดเค้าก็จัดการเอาเตาย่างมาเสริฟให้เราค่ะ (ใครไป ระวังตรงนี้นิดนะคะ ร้อนมากเลย แต่น้องพนักงานเค้าก็ระวังกันสุดฤทธิ์ค่ะ) .... ซึ่งเตาย่างของที่นี่เนี่ย ดูหน้าตาดีมากค่ะ สะอาดสะอ้านแล้วก็ออกแบบได้ทันสมัย เสียอย่างเดียวตะแกรงย่างเล็กมากๆ (เหมือนที่คนอื่นที่เค้าเคยไปแล้วรีวิวเอาไว้เลยค่ะ) ..... เล็กขนาดที่ว่าถ้าไปคนเดียวสองคน ก็คงไม่มีปัญหา แต่ไปกัน 3-44 คนแบบพิมคราวนี้เนี่ย (แล้วโต๊ะนึง มีได้เตาเดียว) กว่าจะย่าง กว่าจะได้กิน บางทีแอบหงุดหงิดเหมือนกันค่ะ
และหลังจากเตามาตั้งแล้ว อาหารสดที่เราสั่งไปก็ทยอยมาล่ะค่ะ ... หนึ่งในนั้นก็คือ เห็ดเออรินจิ (แบบเอามาย่าง) อ่ะ
ตอนแรกที่เห็ดอันนี้มาเสริฟ พวกเราทุกคนต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า ทำไมมันหนาอย่างนี้น้อ คือ ดูน่ากินนะคะ .... ถ้าเอาไปต้มในน้ำเดือดจัดๆ แบบชาบูคงจะดี แต่พอเอาไปย่างแล้วเนี่ย นานมากค่ะกว่าจะสุก แล้วถ้ารอไม่ไหว กินแบบสุกๆ ดิบๆ มันก็จะมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ... ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เค้าหั่นให้บางกว่านี้สักหน่อยอ่ะค่ะ จะได้ย่างแล้วสุกง่ายๆ (แบบว่าย่างเนื้อสุกไป 1 เซตใหญ่แล้ว เห็ดยังไม่สุกเลยค่ะ)
ส่วนอีกจานที่สั่งไปก็เป็นเนื้อ Set A ค่ะ ซึ่งเนื้อ Set นี้เนี่ยก็ประกอบไปด้วยเนื้อหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสันใน สันคอ เนื้อติดมัน ลิ้นวัว ริปอาย และก็เนื้อซี่โครง (ทุกอย่างทางร้านบอกว่าคัดพิเศษ) ตามในภาพเลยนะคะ
และเพราะว่าจานนี้ที่สั่งไปมีเนื้อซี่โครงด้วย ทางร้านเค้าก็เลยให้อุปกรณ์ในการคีบ ตัดซี่โครง + กระบวยสำหรับตักน้ำซุปมาด้วยน่ะค่ะ ซึ่งอุปกรณ์ทุกอย่างไม่ว่าจะในภาพด้านล่างนี้หรือจานชามต่างๆ สะอาดมากค่ะ ไม่มีคราบมัน ไม่มีรอยเปื้อนเลยสักนิดค่ะ
ก่อนที่เราจะลงมือย่างเนื้อกัน เราก็มาดูวิธีย่างเนื้อให้อร่อยของร้านนี้กันก่อนนะคะ ซึ่งทางร้านก็ใช้วิธีการพิมพ์เอาไว้บนกระดาษรองจานทุกแผ่นเลยอ่ะค่ะ ^^ (แต่จะว่าไปถ้าไม่สังเกตุก็ไม่เห็นนะคะ เพราะว่าจานชาม ถ้วยน้ำจิ้มมันวางทับอยู่อ่ะค่ะ)
เมื่อเนื้อพร้อมแล้ว และเราอ่านวิธีการย่างเรียบร้อยแล้ว ก็มาลงมือย่างกันเลยดีกว่าค่ะ .... อันนี้ก็เป็นชุดแรกที่พวกเราลงมือย่างกันไป มีลิ้นวัว สันใน ติดมัน แล้วก็สันคออ่ะค่ะ (เห็นลายเนื้อแล้วน้ำลายจะไหลอีกแหละ >_<")
ก็ย่างแบบพลิกไปพลิกมาตามวิธีที่เค้าบอกแหละค่ะ แป๊บเดียวก็สุกแล้ว .... ย่างเสร็จแล้ว ก็จะกินล่ะนะคะ ^^
..... ซึ่งสำหรับเนื้อทุกชนิดของที่นี่ ขอบอกว่านุ่มในระดับนึงเลยค่ะ (นุ่มกว่าของไจแอนท์ โนบิตะ) แต่ตัวน้ำซอสที่หมักเนื้อมา จะมีรสค่อนข้างหวานกว่าที่อื่น ... คงจะเป็นสไตล์ของทางร้าน กินตอนแรก ๆ ก็แปลกๆ อยู่เหมือนกัน เพราะไม่เคยกินเนื้อย่างที่มีซอสหมักรสชาติแบบนี้ แต่กินไปนานๆ ก็อร่อยดีอ่ะค่ะ ^^
ย่างชุดที่หนึ่งเสร็จ กินหมดไปเรียบร้อย ก็มาย่างชุดที่ 2 กันต่อ ........ (ชุดนึงถ้าไปกัน 4 คน ก็ได้กินคนละ 1 ชิ้นอ่ะค่ะ ทรมานกระเพาะมากๆ T__T)
ซึ่งขอบอกว่าแม้การย่างเนื้อแบบนี้จะใช้เวลาไม่มาก แต่ด้วยความที่เราไปกันหลายคน แล้วเตามีแค่เตาเดียว แถมตะแกรงย่างเล็กอีกต่างหาก ทำให้ไม่ทันใจเลยค่ะ แรกๆ ยอมรับนะคะว่าหงุดหงิดอ่ะ แบบว่าหิว อยากกินค่ะ แต่มันไม่สุกสักที แถมสุกทีนึงก็กินได้แค่ชิ้นนึง >_<" .... แต่ว่าย่างไปย่างมา ก็ชินล่ะค่ะ อาศัยกินอย่างอื่นควบคู่กันไปด้วย ก็พอทำให้หายโมโหหิวไปได้ >_<"
พอชุดที่ 2 เรากินกันหมด ก็ย่างชุดที่ 3-4-5 กันต่ออ่ะค่ะ ชุดหลังๆ นี้ ... เราเริ่มย่างผักด้วยแล้วอ่ะ (หลังจากเนื้อเริ่มหร่อยหรอ ฮ่ะๆ) ....... ซึ่งผักที่เค้าให้มาในเซตด้วยก็จะมีแครอทบางๆ 2 ชิ้น ฟักทอง 1 ชิ้น แล้วก็หอมใหญ่ 1 แผ่นอ่ะนะค่ะ
แล้วพอเราย่างไปครบ 5 รอบ เนื้อชิ้นๆ ก็หมดแล้วล่ะค่ะ ^^ เราก็เลยทำการย่างซี่โครงเป็นอันสุดท้าย แล้วก็เริ่มย่างเห็ดเออรินจิด้วยอ่ะ ซึ่งเจ้าเห็ดนี่แหละค่ะที่พิมบอกว่าเค้าหั่นมาค่อนข้างหนา เชื่อไหมค่ะ ... เริ่มย่างเห็ดก่อนซี่โครง แต่ซ๊่โครงสุกแล้ว เห็ดยังไม่สุกเลยค่ะ >_<" ทรมานด้วยความอยากกินมากมาย ... แต่ก็นะ ย่างแล้วก็ต้องปล่อยเลยตามเลย จะเอาไปต้มต่อคงไม่อร่อย เพราะงั้นจำไว้ว่าครั้งต่อไปถ้ามาอีก จะไม่สั่งเห็ดเออรินจิแล้วค่ะ T__T
แล้วระหว่างนั่งกินกัน ... พิมก็แอบเก็บภาพบรรยากาศบนโต๊ะมาฝากเพื่อนๆ ทุกคนด้วยค่ะ ^^
หลังจากย่างเนื้อ set A เห็ดเออรินจิ และกินข้าวผัดกระเทียม ข้าวสวยญี่ปุ่นหมดแล้วเนี่ย ..... พวกเราก็ลงมติว่าไม่อิ่มค่ะ >_<" ดังนั้นคงจะต้องสั่งอะไรมาเพิ่มแล้วแหละค่ะ ซึ่งตอนแรกพวกเราก็คิดกันตั้งนานว่าจะสั่งอะไรดี จะสั่งเนื้อแบบเซตเดิมมาดีไหม คิดกันไปคิดกันมาก็คิดว่าไม่ดีล่ะค่ะ มาครั้งแรกแบบนี้ไม่อยากสั่งอะไรซ้ำกัน 2 จาน ครั้นจะสั่งเนื้อแบบแยกเป็นจานๆ ก็ไม่เอาดีกว่า เพราะอยากกินแบบหลากหลายน่ะค่ะ (จะได้เอามารีวิวให้เพื่อน ๆ ดูได้ไง)
เพราะงั้นสรุปแล้วพวกเราก็เลยสั่งเนื้อ Set B กันมาค่ะ ซึ่งหน้าตาเนื้อ Set B ก็จะเป็นแบบนี้นะคะ ประกอบไปด้วยเนื้อสันคอ สันนอก และเนื้ออารามิอ่ะค่ะ (ขอบอกว่าเนื้อเซตนี้ ชิ้นไหนเป็นเนื้อส่วนไหน คนตาถั่วอย่างพิมแยกไม่ออกเลยค่ะ >_<")
แล้วคุณสามีพิมก็ยังสั่งปลาแซลมอนสำหรับย่างมาด้วยอ่ะค่ะ
หน้าตาก็แบบนี้นะคะ มีพริกไทยดำโรยๆ มาด้วย ... แปลกตาดีค่ะ (แต่เนื้อปลาสด หวานอร่อยดีนะ)
นอกนั้นก็ยังสั่งกิมจิมาด้วย ... ซึ่งกิมจิของที่นี่ รสชาติหวานนำมากๆ สำหรับพิมชอบกิมจิที่รสเปรี้ยวนำมากกว่า
อ้อๆ ... แล้วคุณสามีพิมก็ยังสั่งคารูบิอุดุ้ง หรือ อุด้งซุปเนื้อติดมันมาด้วยนะคะ ... ซึ่งขอบอกว่าแม้จะเป็นอุด้งที่รสหวานนำรสอื่นอย่างรู้สึกได้ชัดเจน (และมีความมันย่องเอามากๆ) แต่ว่าอร่อยค่ะ ....... ขนาดคุณสามีพิมไม่ชอบกินอาหารคาวที่มีรสหวาน และเพื่อนคุณสามี ก็ยังว่าอร่อยเลยนะคะ
ซึ่งที่คุณสามีพิม เพื่อนคุณสามี และแฟนเพื่อนคุณสามีว่าอร่อย เพราะว่านอกจากน้ำซุปที่รสชาติเข้มข้นมากๆ แล้ว เส้นอุด้งของเค้าเหนียวนุ่มมากๆ เช่นกันค่ะ
แถมมีเนื้อติดมันมาหลายชิ้น แต่ละชิ้นก็ชิ้นใหญ่ แล้วก็เปื่อยนุ่มกำลังดีเลยค่ะ ^^
เกือบลืมๆ....... นอกจากข้างบนๆ ที่สั่งมากินกันแล้ว ก็ยังสั่งแคลิฟอร์เนียมากิมาด้วยนะคะ
แคลิฟอร์เนียมากิของที่นี่จะอันละ 90 บาทค่ะ ขนาดก็ตามภาพด้านล่างนี่เลย
ซึ่งแคลิฟอร์เนียมากิของที่นี่จะต่างจากที่อื่นตรงที่ แยกมายองเนสกับไข่กุ้ง (จริง ๆ มันคือไข่ปลา) มาให้ .... ซึ่งจริงๆ พิมว่าใส่ไข่ปลามาให้เลยน่าจะดีกว่านะคะ เนื่องจากมันจะกินง่ายกว่านี้ ไม่ต้องมาคอยคีบไข่ปลาทีละนิด ๆ ใส่ไปในด้านบนของมากิด้วยตะเกียบ ซึ่งมันลำบากมากเลยอ่ะค่ะ
สำหรับแคลิฟอร์เนียมากิของที่นี่ ... ใช้ได้ค่ะ รสชาติมาตรฐาน ทั่วๆ ไป เสียแต่สาหร่ายไม่ค่อยกรอบด้วย เวลากินมันจะเหนียวๆ หน่อยนึง ทำให้ขาดเสน่ห์ไปเล็กน้อยค่ะ
เนื่องจากว่าอาหารชุดที่สองที่เราสั่งไป มีค่อนข้างเยอะและหลากหลาย เพราะงั้นหลังจากอาหารชุดที่ 2 มาเสริฟทั้งหมดแล้ว พวกเราก็นั่งกินกันไป คุยกันไปเรื่อย ๆ เลยค่ะ
และระหว่างนั่งกินไป ย่างไป คุยไป พิมก็แอบถ่าย (จริง ๆ ไม่ได้แอบหรอกค่ะ น้องพนักงานเค้าเห็นแหละ) รูปที่นั่งโซนหน้าร้านมาให้ดูด้วย ซึ่งเป็นโซนที่ไม่มีแอร์นะคะ แต่ว่าบรรยากาศโล่งโปร่งสบายเอามากๆ ยิ่งถ้าไปวันที่ฝนตก ยิ่งเย็นและสดชื่นมากกว่าอยู่ในห้องแอร์อีกค่ะ
และหากใครไม่ชอบโซนหน้าร้าน จะนั่งโซนด้านข้างร้านก็ได้นะคะ ซึ่งโซนนี้ก็บรรยากาศดีไม่แพ้โซนด้านหน้าเลยค่ะ แถมกลางคืนแต่ละโต๊ะจะมีเทียนจุดให้ด้วยนะคะ บรรยากาศงี้โรคแมนติคเอามากๆ เสียแต่ถ้าฝนตก ... อดนั่งค่ะ ^^
ส่วนในภาพด้านล่างนี้จะเป็น Zone ที่พิมกับเพื่อนๆ นั่งกันอ่ะค่ะ คือโซนห้องแอร์ (ภาพนี้ถ่ายตอนจะกลับแล้วค่ะ ในห้องก็เลยดูมึดหน่อย แต่จริง ๆ ก็สว่างนะคะ) ซึ่งโซนห้องแอร์เนี่ย ขนาดลูกค้าเยอะๆ แต่แอร์ก็เย็นฉ่ำเอามากๆ เลยค่ะ
และหลังจากเราย่างอาหารชุดที่ 2 กันไป คุยกันไป ไม่นานค่ะ ประมาณครึ่ง ชม. กว่า ๆ อาหารก็เริ่มหมดแหละ แต่ความอิ่มเรามันยังไม่ค่อยเต็มที่ คืออิ่มแล้วอ่ะนะคะ แต่ยังอยากได้อะไรอีกนิดหน่อย เราก็เลยต้องสั่งอาหารชุดที่ 3 กันมาต่อล่ะค่ะ ..... ซึ่งอาหารชุดที่ 3 ที่เราสั่งไปกันเนี่ย เราก็สั่งกันไปแบบซอฟท์ ๆ ค่ะ เนื่องจากว่าไม่อยากให้อิ่มเกินไป เพราะนั้นเราก็เลยสั่งหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ (เอามาย่าง) กับเกี๊ยวซ่ากันไปค่ะ
ซึ่งสำหรับหอยแมลงภู่นิวซีแลนด์จานที่พิมสั่งมานี่ .... ยอมรับว่าค่อนข้างรู้สึกผิดหวังค่ะ เพราะหอยมันเหมือนสุกมาบ้างแล้ว แถมเนื้อหอยบางตัวก็รู้สึกจะยุ่ยๆ ไปนิด แล้วซอสที่ราดมาแม้จะน้อย แต่มันมีรสหวาน รู้สึกว่ามันไม่ค่อยเข้ากับหอยแมลงภู่เลยอ่ะค่ะ (ความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ) แต่ว่านะ .. ก็กินกันหมดน่ะค่ะ
และอีกอย่างที่สั่งไปก็คือเกี๊ยวซ่า .. สำหรับเกี๊ยวซ่าที่นี่ เป็นเกี๊ยวซ่ารสชาติที่ไม่เคยกินที่ไหนมาก่อนค่ะ ตัวแป้งเค้าจะนิ่มๆ ในบางส่วน และก็กรอบในบางส่วน แต่คิดว่าคงจะย่างหรือทอดเอาไว้พักนึงแล้ว เพราะว่ามันมาแบบเย็นๆ แห้งๆ หน่อย แป้งบางส่วนเลยแข็งนิดๆ อ่ะค่ะ นี่ถ้าได้แบบทำให้สุกใหม่ ๆ คงจะอร่อยกว่านี้
และระหว่างที่เรากำลังกินเกี๊ยวซ่ากันอยู่ เจ้าของร้านเค้าก็เดิมเข้ามาทักทายโต๊ะของเราด้วยความยิ้มแย้มค่ะ (จริงๆ เค้าไปทุกโต๊ะแหละค่ะ) แล้วก็ถามว่าเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร อย่างให้ปรับปรุงตรงไหนบ้าง ประมาณนี้ล่ะ ซึ่งคุณสามีเค้าก็บอกๆ ไปค่ะ ^^ แล้วก่อนคุณเจ้าของร้านเค้าจะเดินจากไป เค้าก็ถามว่าเราลองสั่งเมกุมิไอซ์กันหรือยัง แบบว่าอร่อยมากๆ เค้าอยากแนะนำอะไรทำนองนั้นอ่ะค่ะ
เพราะงั้นแล้วในเมื่อเจ้าของร้านเค้า proud to present ขนาดนี้ เราสองคู่ 4 คน ก็เลยต้องขอลองสั่งเมกุมิไอซ์กันมาสักหน่อย .... ซึ่งเมกูมิไอซ์เนี่ยก็คล้ายๆ น้ำแข็งใสราดด้วยท๊อปปิ้งล่ะค่ะ แล้วท๊อปปิ้งเนี่ย 1 ถ้วยจะเลือกได้ 2 อย่าง .... และหลังจากเลือกอยู่นาน สรุปว่าเมกูมิไอซ์ของพิมกับคุณแฟนก็เลือกราดหน้าด้วยบลูเบอรี่กับพีซอ่ะนะคะ
ตอนที่สั่งไปตอนแรกก็ลุ้นๆ ค่ะว่ามันจะออกมาหน้าตาเป็นยังไงนะ จะน่ากินไหม จะเหมือนไอซ์ๆ อะไรของไจแอนท์หรือเปล่า เพราะว่ามันไม่มีภาพในเมนูอ่ะค่ะ ..... แต่พอน้องพนักงานเสริฟเค้าเอามาเสริฟ ต้องขอบอกว่าพิมตาโตเลยค่ะ แบบว่ามันอันใหญ่ แล้วก็น่ากินเอามากๆ อ่ะ ... แถมพอได้กิน โอ้ววว มันอร่อยมากๆ อร่อยกว่าที่คิดไว้ซะอีกค่ะ อร่อยสมกับที่เจ้าของร้านเค้าบอกไว้จริงๆ อ่ะ ^^
.... ก็ตัวไอซ์หรือน้ำแข็งเนี่ย ถึงแม้มันจะเป็นเกล็ดเล็กๆ มา (ดูเหมือนจะต้องเคี้ยวก่อนกลืน) แต่ขอบอกว่าแค่เอาเข้าปาก มันก็ละลาย โดยไม่ต้องเคี้ยว ไม่ต้องอม และแทบไม่ต้องกลืนเลยค่ะ (อันนี้ประทับใจมาก) แล้วตัวน้ำแข็งมันก็มีรสชาติของซอส + นมที่ราดมา มันก็แบบว่าอร่อยเลยค่ะ แถมพอได้กินกับเนื้อท๊อปปิ้งที่โปะอยู่ด้านบนด้วยแล้วเนี่ย มันยิ่งอร่อยมากๆ อ่ะ ..... ขนาดคุณแฟนพิม กับเพื่อนคุณแฟนพิม ว่าไม่ค่อยชอบของหวานแล้ว ยังกินเอาๆ จนหมดถ้วยเลยค่ะ ^^ ... งานนี้ก็ต้องขอบคุณเจ้าของร้านที่แนะนำเมนูนี้มานะคะ
ส่วนของเพื่อนคุณแฟนก็เลือกเป็นเงาะกับสตรอเบอรี่อ่ะค่ะ .... เห็นบอกว่าอร่อยมาก ไม่แพ้กับของพิมเลย ... สรุปว่าถูกใจกันทั้งพิม แฟนพิม เพื่อนคุณแฟนพิม และก็แฟนเพื่อนคุณแฟนพิมเลยค่ะ ^^
และหลังจากที่เรานั่งกินกันมาเรื่อย ๆ ด้วยความเพลิดเพลินใจ ตั้งแต่ 5 โมงเย็นกว่าๆ ตั้งแต่อาหารคาว ยันจบอาหารหวาน .... เราก็พบว่า ... เวลามันล่วงเลยเข้ามาจนทุ่มกว่าเกือบจะทุ่มครึ่งแล้วค่ะ ^^ เพราะงั้นเนี่ย ... ก็คงต้องถึงเวลาที่พวกเราจะต้องจรลีกลับบ้านกันแล้วล่ะ ก่อนที่จะดึกไปกว่านี้ (เพราะต้องกลับไปนั่งทำงานกันต่อ)
พิมก็เลยเรียกให้น้องพนักงานเค้ามาเช็คบิลค่ะ .... ค่าเสียหายก็ตามนี้เลยนะคะ ...... เฉลี่ยแล้ว 4 คนก็คนละ 400 บาท ค่ะ เรทเดียวกับซูมิซูมิ แบบ 399 (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ) ... และถ้าไม่นับว่าไม่มีกุ้ง (ซึ่งพิมอยากกินกุ้งอ่ะ) และกินได้หลากหลาย ก็จะถูกกว่าพวกไจแอนท์หรือโนบิตะหน่อย (แต่น้ำจิ้มและน้ำที่ราดเนื้อมา จะคนละรสชาติกับไจแอนท์นะคะ)
ก็ยังไงพิมขอจบรีวิวร้านนี้ไว้ตรงนี้เลยแล้วกันนะคะ ...... แล้วเจอกันใหม่รีวิวร้านหน้าจ้า (แต่ยังไม่รู้ร้านไหน) ^^
สุดท้ายๆ ... แถมรูปเพื่อนสาวรุ่นน้องกับป้ายภาพเนื้อเซตต่างๆ ที่ตั้งอยู่หน้าร้านอ่ะค่ะ
อ้อ ๆ.... ขอบอกว่าร้านนี้ตอนเย็นถึงหัวค่ำ ลูกค้าเยอะนะคะ ถึงเยอะมาก (น้องพนักงานเค้าบอกมา / และวันที่พิมไปก็เห็นเยอะอย่างนั้นจริงๆ แทบไม่มีโต๊ะให้นั่ง) .... ดังนั้นถ้าใครสนใจจะไปช่วงหัวค่ำๆ โดยเฉพาะวันหยุด โทรจองก่อนดีกว่าค่ะ เบอร์โทรก็ตามข้างล่างนี่เลยค่ะ (ไม่ได้ค่าโฆษณานะจ๊ะ)
:: สรุป ... ความเห็นส่วนตัวพิมล้วนๆ ::
รสชาติอาหารโดยรวม :: อร่อยค่ะ แม้จะหวานนำแทบทุกอย่าง แต่กลมกล่อม ไม่ได้หวานโด่ หวานจี๊ดจ๊าด ซึ่งน่าจะเป็นสไตล์หรือรสชาติของทางร้าน หรือสไตล์ของเนื้อย่างประเภทนี้อ่ะค่ะ
ความสดและความนุ่มของเนื้อสัตว์ :: อยู่ในระดับดี และบางอย่างดีมากค่ะ
ความสะอาดของร้านและภาชนะ :: สะอาดในระดับดีเลยค่ะ จานชาม ช้อนส้อม ไม่มีคราบไม่มีรอยเปื้อน / โต๊ะไม่มีความมัน / พื้นร้านไม่สกปรก
การบริการ/พนักงานเสริฟ :: พนักงานมีเยอะ การบริการดีมากค่ะ รวดเร็วทันใจ ตัวพนักงานเองก็มารยาทดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีหน้าบูดหน้าบึ้ง สั่งของไปก็ได้เร็ว ไม่ต้องมีการทวงถามหรือตามหลาย ๆ รอบเหมือนในบางที่
ที่จอดรถ :: กว้างขวาง ไม่แออัด จอดไปน่าจะเป็นร้อยคัน
โปรโมชั่นตอนนี้ :: กินครบ 500 ได้ปั๊มตราเมกูมิ 1 ดวง ถ้าได้ครบ 7 ดวง แลกเนื้ออะไรสักอย่างได้ 1 จานอ่ะค่ะ
อื่นๆ :: ไปกินอีกแน่นอนค่ะ