ช่วงที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ร่างกายพิมและคุณสามีมีความต้องการทะเลเป็นอย่างมาก ^^' ก็เลยพยายามหาวันว่างให้ตรงกัน พอเหมาะพอเจาะกับพิมเคลียร์เวลาได้ 4 วัน คุณสามีก็เคลียร์ได้ 3 วัน เราสองคนก็เลยชวนกันไปทะเลระยองกันค่า
แต่ไปทะเลอย่างเดียว แลดูจะไม่ใช่ครัวบ้านพิมเน๊าะคะ ฮ่ะๆ เพราะนั้นทริปนี้พิมกับคุณสามีก็เลยคิดว่าจะตามไปหาของอร่อย ๆ โดยเฉพาะของกินที่เป็นอาหารพื้นถิ่นและขนมพื้นบ้านด้วยอ่ะค่ะ ซึ่งแน่นอนว่าไม่อร่อยไม่เอามานำเสนอ ..... และตอนนี้พิมกับคุณสามีก็พร้อมแล้ว แล้วเพื่อน ๆ ล่ะคะพร้อมหรือยัง ถ้าพร้อมแล้ว ตามพิมมาเลยจ้า
ทริปนี้ของพิมเริ่มต้นเดินทางกันช่วงสายของวันอังคารวันนึงนะคะ ซึ่งตอนแรกที่พิมชวนคุณสามีเนี่ย พิมชวนเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เพราะกะว่าจะได้เจอคนเยอะๆ แต่คุณสามีบอกว่าไปวันธรรมดาดีกว่าไหม เพราะว่าวันธรรมดาคนน้อย ไปไหนมาไหนก็จะมีแต่เราสองคนอ่ะค่า ^_^ (คุณสามีหวานมาก มีเลศนัยอะไรป่ะเนี่ย ฮ่าๆ)
จุดหมายปลายทางจุดแรกของเรา ก็คือ ก๋วยเตี๋ยวแกงส้มที่ร้านป้าตุ่มนะคะ
พูดถึงก๋วยเตี๋ยวแกงส้ม พิมเชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะไม่เคยได้ยิน และอาจจะสงสัยว่าก๋วยเตี๋ยวแกงส้มคืออะไรนะคะ ก๋วยเตี๋ยวแกงส้มก็คือก๋วยเตี๋ยวน้ำที่ใช้น้ำแกงส้มแทนน้ำก๋วยเตี๋ยวแบบทั่วไปอ่ะค่ะ ส่วนเครื่องก็จะเน้นเป็นของทะเล เช่น หมึก กุ้ง กั้ง ปลาอินทรีสดๆ รวมไปถึงเส้นปลา ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นกุ้งด้วยนะคะ
เท่าที่พิมเดินทางท่องเที่ยวมาหลายต่อหลายจังหวัด จังหวัดที่พิมเห็นมีก๋วยเตี๋ยวแกงส้มขาย ก็มีแค่ระยองเพียงจังหวัดเดียวอ่ะค่ะ เพราะงั้นแล้วการมาเที่ยวระยอง แต่ไม่มากินก๋วยเตี๋ยวแกงส้มนี่ อาจจะถือได้ว่าพลาดนะคะ อิอิ
จะว่าไปร้านขายก๋วยเตี๋ยวแกงส้ม นอกจากร้านป้าตุ่มแล้วก็จะมีอีกร้าน ชื่อร้าน ลำดวนนะคะ แต่เผอิญช่วงวันที่พิมไปเที่ยวระยองเนี่ย ร้านเค้าปิดยาววว.ว.ว.ว.ว. เลยค่ะ กว่าจะเปิดอีกทีเกือบปลายเดือน พิมก็เลยกินร้านอื่นก่อนก็ได้จ้า
สำหรับร้านที่พิมไปกินวันนี้ อย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่าชื่อร้านป้าตุ่มนะคะ ร้านป้าตุ่มเนี่ยอยุ่ในอำเภอบ้านฉาง ถ้าใครมาไม่ถูก search ใน google ได้เลยค่า
ส่วนเมนูของร้านป้าตุ่ม นอกจากก๋วยเตี๋ยวที่ขึ้นชื่อลือชาแล้ว ก็ยังมีข้าวแกง มีส้มตำไก่ย่าง มีก๋วยเตี๋ยวอย่างอื่นอยู่ด้วยนะคะ แต่ไหน ๆ มาถึงระยองแล้ว ขอกินเป็นก๋วยเตี๋ยวแกงส้มจะดีกว่าค่าา ^_^
ด้วยความที่วันนี้พิมออกเดินทางจากกรุงเทพฯ มาแต่เช้า แล้วก็รองท้องมาแค่นิดหน่อยด้วย เพราะงั้นมื้อนี้พิมขอจัดหนักนิ๊ดดดนึง กับเส้นใหญ่แกงส้มพิเศษ ที่มาพร้อมกับผักกาดลวก ผักกระเฉดลวก ชะอมทอดไข่ กุ้งชุบแป้งทอด กุ้งสด หมึกทอด ปลาอินทรี และลูกชิ้นปลานะคะ สนนราคาก็แค่ชามละ 50 บาท แต่ปริมาณนี่อิ่มไปถึงเย็นเลยค่ะ
ในเรื่องรสชาติ ถ้าใครชอบรสน้ำแกงที่เปรี้ยวนำ น่าจะชอบของร้านป้าลำดวนมากกว่านะคะ แต่ถ้าใครชอบแบบที่หวานนำ พิมแนะนำป้าตุ่มเลยค่า
ส่วนคุณสามีพิม เนื่องจากว่าตอนเช้าเค้ากินมาเยอะกว่าพิมนิดหน่อยนะคะ มื่้อนี้เค้าก็เลยขอเบา ๆ แค่ขนมจีนน้ำยาปลาผสมไก่เท่านั้นเองค่ะ แต่พิมว่าที่ร้านนี้เค้าอาจจะติดทำอาหารรสหวาน แกงเขียวหวานไก่จานนี้ก็เลยหวานมากไปหน่อย ถ้าใครไม่ชอบทานหวาน พิมแนะนำให้กินเป็นพวกข้าวแกง หรือก๋วยเตี๋ยวทะเลธรรมดาจะดีกว่านะคะ ^^
อ้อ ๆที่นี่เค้ามีพิเศษอยู่อย่างนึง ถ้าใครกินอาหารคาวจบแล้ว และอยากกินขนมหวานต่อ ทางร้านเค้าก็จัดไว้บริการแบบบุฟเฟท์เลยค่ะ ก็คือคิดหัวละ 10 บาท แต่ว่าใครอยากจะกินอะไร กินมากน้อยแค่ไหน ก็บริการตัวเองได้ตามสะดวกเลยค่า ^_^
จากร้านป้าตุ๋ม เรามีนัดกับคุณสุภาภรณ์ที่สวนคุณไพบูลย์ต่อนะคะ
สวนคุณไพบูลย์เป็นสวนที่มีชื่อเสียงในเรื่องของทุเรียนพันธุ์หลงลับแล หลินลับแล และนกกระจิบค่ะ ทุเรียนของที่นี่รับประกันคุณภาพทุกลูก ซึ่งใครอยากจะกินทุเรียนของที่นี่ ใช่ว่าเดินดุ่ม ๆ เข้ามาแล้วจะได้กินเลยนะคะ แต้ต้องมีการสั่งจองไว้ก่อนค่ะ จะช้าหรือเร็ว..บอกไม่ได้ ขึ้นกับว่าก่อนหน้าเรามีคนสั่งไปมากน้อยเท่าไหร่นะคะ แล้วพอถึงคิว ทางสวนเค้าก็จะแจ้งเราเองอ่ะค่ะ แล้วจะไปรับถึงที่สวนเองอย่างพิม หรือว่าบอกทางสวนส่งไปรษณีย์มาให้ ก็ได้ทั้งนั้นเลยนะคะ
จากสวนคุณไพบูลย์ จุดหมายต่อไปของพิมคือ บุฟเฟ่ท์ผลไม้ที่สวนลุงทองใบอ่ะค่า
สวนลุงทองใบ อยู่ห่างจากสวนคุณไพบูลย์ในระยะที่ขับรถประมาณ 10 นาทีก็ถึงนะคะ หลายคนอาจจะสงสัยว่า เอ๊ะ !! เมื่อกี้พิมก็ไปสวนผลไม้แล้ว แล้วจะมาสวนผลไม้อีกทำไม ก็เพราะว่าสวนคุณไพบูลย์ในปีนี้ไม่มีผลไม้อื่นอ่ะค่ะ ด้วยความที่พิมชอบกินผลไม้พวก เงาะ ทุเรียน มังคุดมาก ก็เลยขอแวะอีกสวนล่ะกันจ้า
แต่ก่อนจะไปชิมผลไม้กัน ที่นี่เค้ามีบริการนั่งรถชมสวนผลไม้ด้วยนะคะ ในราคาหัวละ 40 บาท ซึ่งแน่นอนว่าลูกชาวสวนอย่างพิมไม่พลาดแน่นอนค่ะ ^_^
สวนลุงทองใบแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งด้วยกันนะคะ ฝั่งนึงจะปลูกทุเรียนเยอะมาก ส่วนอีกฝั่งก็จะปลูกเงาะมังคุดเยอะมากอ่ะค่ะ ระหว่างที่นั่งรถชมสวนไปเรื่อยๆ คุณลุงคนขับรถก็จะอธิบายให้เราฟังไปด้วยว่า สภาพสวนของลุงทองใบเป็นแบบไหน ปีนี้สวนลุงทองใบมีผลผลิตอะไรบ้าง แต่ละอย่างมากน้อยเท่าไหร่ พร้อม ๆ กับจะคอยชี้ให้ดูตลอดว่าต้นนั้น ต้นโน้น ต้นนี้คือต้นอะไรด้วยนะคะ
แล้วระหว่างทาง เราก็จะเจอพี่คนงานคนนึงกำลังสอยมังคุดอยู่ด้วยค่ะ ลุงบอกว่ามังคุดที่เค้ากำลังสอยเป็นมังคุดเบอร์ส่งออก คือ แก่แล้วแต่เปลือกจะยังเขียวอยู่ (อารมณ์สอยมมะม่วงที่เริ่มหัวเหลืองมาบ่ม) พอส่งไปถึงประเทศปลายทางก็จะสุกพอดีนะคะ ส่วนถ้าเก็บขายในไทยก็จะเป็นแบบผิวน้ำตาลเข้ม ม่วงเข้ม หรือไม่ก็สีดำไปเลย คือสุกพร้อมกินอ่ะค่า
หลังจากนั่งรถชมสวนไปประมาณ 15 นาที ก็ได้เวลาที่เราจะกลับมาตรงโซนขายผลไม้และบุฟเฟท์ผลไม้แล้วนะคะ ^_^ ซึ่งขอบอกเลยว่าตอนที่พิมไป ผลไม้ที่นี่สดมากกกก และคุณภาพดีงามมากค่ะ ทั้งเงาะ มังคุด ลองกอง สละ คุณภาพนี่เหมือนเราเก็บเองกับมือเลยจ้า
ตอนแรกพิมกะว่าพิมจะชิมผลไม้ของที่นี่แบบบุฟเฟท์นะคะ แบบว่าอยากลองเหมือนคนอื่นเค้าบ้าง แต่เนื่องจากคุณสามีพิมไม่กินผลไม้ คุณป้าที่ขายตั๋วบุฟเฟท์เลยแนะนำว่า ถ้าเป็นแบบนี้ซื้อเอาเฉพาะทีอยากกินดีกว่า แม้จะแพงกว่า 300 บาท (คือที่นี่บุฟเฟท์หัวละ 300 บาท) แต่รวมแล้วน่าจะถูกกว่า 600 บาท อย่างแน่นอนอ่ะค่ะ (คือถ้ากินแบบบุฟเฟท์ก็ต้องจ่ายเงิน 300 *2 ไม่สามารถจ่ายคนเดียวได้ แม้อีกคนจะไม่กินนะคะ) ตอนแรกพิมก็งุ้งงิ้งนิดนึง เพราะอยากกินแบบบุฟเฟท์ คืออยากได้อารมณ์เหมือนกินบุฟเฟท์เนื้อย่าง แบบหยิบมากินเท่าไหร่ก็ได้ไม่ต้องคิดไรเยอะ แต่พอคิดตามที่คุณป้าพูด ... เออ มันก็สมเหตุสมผล และดีกว่าจริง ๆ นะ ที่สำคัญท่าทางจะประหยัดกว่า ^^ เพราะงั้นไม่บุฟเฟท์ดีกว่าค่า
ว่าแล้วพิมก็เลยเดินไปเลือกผลไม้ที่แผงทันทีเลยค่ะ เลือกเอาทุเรียนหมอนทองลูกย่อมๆ มา 1 ลูก มังคุดกับเงาะอย่างละครึ่งโล คือเอาเฉพาะที่ตัวเองอยากกิน อันไหนที่ไม่ชอบกินอย่างสละกับลองกอง พิมก็ไม่ได้เลือกมานะคะ ซึ่งข้อดีของการกินแบบไม่บุฟเฟท์ก็คือ เราสามารถเลือกเฉพาะผลไม้ที่อยากกิน และเลือกเฉพาะลูกที่ชอบได้ ที่สำคัญคือผลไม้แบบนี้สดใหม่ปิ๊ง ๆ กว่าผลไม้ในบุฟเฟท์เย๊อะะะเลยอ่ะ และที่สำคัญสุด ๆ คือสรุปแล้วสรุปเสียค่าผลไม้ไป 360 กว่าบาทเท่านั้นเองค่า ^_^
และหลังจากนั่งกินผลไม้ไป ชมสวนไป คุยกับคุณสามีไปแบบมุ้งมิ้งหนุงหนิงประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า ๆ พิมก็เริ่มอิ่มผลไม้ล่ะจ้า (แต่ยังไม่อิ่มข้าวน๊า) ก็เลยคิดว่าได้เวลาแหละที่เราจะต้องขยับขยายไปตรงอื่นซะที โดยเฉพาะไปกินข้าวกลางวันที่ร้านๆ นึง ซึ่งพิมได้ยินมาว่า ร้านนี้ทำข่าวห่อกาบหมาก แกงกระทือ และห่อหมกใบมัน ได้อร่อยมากกกกค่ะ
จากสวนลุงทองใบ พิมกับคุณสามีขับรถกันมาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงร้านสวนย่าสน อีกร้านนึงในตำนานร้านอาหารของคนเมืองระยองแล้วนะคะ
ร้านสวนย่าสน หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า สวนย่าสน คนเคยมา เป็นร้านอาหารสไตล์สวนอาหารแบบบ้านๆ สุดๆ บอกตามตรงเลยว่าตอนที่พิมเข้าไปถึงที่ร้าน ร้านเงียบมาก จนพิมแอบคิดว่าร้านเค้ายังเปิดอยู่รึเปล่านะ แต่พอจอดรถปุ๊บก็มีน้องผู้ชายคนนึงมาต้อนรับด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มมาก พร้อมกับถามว่ากี่คนครับ เลยแน่ใจว่าร้านยังเปิดอยู่อ่ะค่ะ
อาหารของร้านย่าสน ส่วนใหญ่ก็จะมีเหมือนร้านอาหารทั่วไปนะคะ และก็จะมีพวกอาหารป่าด้วย ที่มากสุดก็จะเป็นอาหารจากปลา ไม่ว่าจะเป็นปลาช่อน ปลาอินทรี ปลาทับทิม ปลากะพง ปลาทู ปลาไหล ปลาซิว ปลาดุก ที่นี่มีหมดเลยอ่ะค่ะ แต่ที่พิมมาฝากท้องที่ร้านนี้อย่างที่บอกคือ เพราะเค้ามีอาหารพื้นบ้านเด็ดๆ ที่หากินที่อื่นไม่ได้หลายเมนู แต่น่าเสียดายว่าพิมมาวันธรรมดา ห่อหมกที่พิมอยากกิน เค้ามีขายเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ ก็เลยอดชิมไปอ่ะค่ะ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะนอกจากห่อหมกแล้ว ที่นี่ก็ยังมีอาหารน่าสนใจอีกเยอะนะคะ (คือพิมเลือกจากบ้าน มาเป็นสิบเลยค่ะ ฮ่าๆ)
อย่างแรกที่พิมสั่งมารองท้องแบบเบา ๆ ก็คือ "ยำผักกูดทะเล" นะคะ เห็นร้านแลดูธรรมดา ๆ อย่างนี้ แต่ขอบอกว่าหน้าตาอาหารและรสชาติ พิมให้ 3 ผ่านเลยค่ะ (ขอเลียนแบบรายการ Thailand Got Talent หน่อยน๊าาา ^^) คือ แม้ผักกูดจะถูกลวกมาแล้ว แต่จากกลิ่นบอกได้เลยนะคะว่าผักกูดอันนี้สดมาก แล้วก็ลวกมาได้แบบสีเขียวสดใสสวยสม่ำเสมอ ไม่เหม็นเขียว หมึกกุ้งก็สด ลวกมาได้แบบสุกกำลังดี ส่วนน้ำยำก็รสชาติเปรี้ยว หวาน เผ็ดกลมกล่อม คุณสามีซึ่งปกติไม่ค่อยกินผักเท่าไหร่ แต่กินจานนี้เกือบหมดจานเลยค่ะ
จานต่อมาก็จะเป็น "แกงกะทือหมู" นะคะ ซึ่งเป็นหนึ่งในอาหารพื้นบ้านของเมืองระยองนี่แหละค่ะ หลายคนอาจจะสงสัยกะทือคืออะไร กะทือเป็นสมุนไพรชนิดนึงค่ะ ลักษณะต้น ลักษณะหัวที่คล้ายๆ ข่าเลย แต่เนื้อข้างในจะคล้ายขิงนะคะ มีรสขมเล็ก ๆ เวลาจะเอามาทำกับข้าวเนี่ย เช่นเอามาแกงเนี่ย จะต้องหั่นแล้วเอาไปขยำกับเกลือและล้างน้ำหลาย ๆ ครั้งซะก่อน เพื่อให้หายขมอ่ะค่ะ แต่ก็จะมีบางคนชอบขม ๆ เลยไม่ลวก เอาไปแกง เอาไปยำเลยก็มีนะคะ
ส่วนแกงกะทือ เป็นแกงแบบคั่วเกือบแห้ง นิยมแกงกับหมู แกงกับไก่บ้าน แกงกับเนื้อ ไม่ก็แกงกับกบอ่ะค่ะ รสชาติเกือบๆ จะคล้ายแกงเผ็ดทั่วไปนะคะ แต่ไม่เหมือน มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของกะทือโดยเฉพาะ ซึ่งคุณสามีพิมบอกว่าคล้ายคั่วกลิ้งเลยอ่ะค่ะ ^_^ (แต่พิมว่าไม่คล้ายนะ ฮ่าๆ)
อย่างถัดมา เป็นอีกจานที่พิมว่าไม่ค่อยเจอใครทำอร่อย นั่นก็คือผักกูดผัดไฟแดงนะคะ จานนี้เหมือนจะดูธรรมดา ๆ แต่พิมว่าอร่อยเกินราคาเลยค่ะ
ส่วนอย่างสุดท้าย อันนี้พิมภูมิใจนำเสนอมากๆ เพราะตั้งใจมากินสุด ๆ และก็ไม่ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย นั่นก็คือข้าวห่อกาบหมากที่ราคาห่อละ 60 บาทนะคะ
ข้าวห่อกาบหมาก แต่เดิมในสมัยก่อนชาวบ้านเค้าจะนิยมห่อข่าวแบบนี้พกไปกินระหว่างทางเวลาเดินทางไกล ๆ อ่ะค่ะ แต่ในปัจจุบันมีหลายร้านอาหารที่ทำออกมาขาย หนึ่งในนั้นก็คือร้านสวนย่าสนนะคะ ในชุดของข้าวห่อกาบหมาก ก็จะประกอบไปด้วยปลาทูทอด 1 ตัว ผักลวก 1 ห่อ (มีผักประมาณ 6-7 ชนิด) มีข้าวสวย และก็มีน้ำพริกที่คล้ายน้ำพริกระกำ (ขอบอกว่าน้ำพริกอร่อยมาก หอมมาก) ซึ่งทุกอย่างจะถูกห่อแยกกันด้วยใบตองสดมาอย่างดี ให้ความรู้สึกว่าคนทำเค้าตั้งใจทำมาให้เรากินจริง ๆ อ่ะค่ะ
สรุปแล้ว ... ร้านนี้เป็นร้านที่พิมประทับใจมาก อาหารไม่แพง (รวมน้ำ น้ำแข็งแล้ว แค่ 300 กว่าบาท) หน้าตาดี ที่สำคัญอร่อย แต่น่าเสียดายว่าคนมากินน้อยมาก (ดูจากวันที่พิมไปนะ) ส่วนนึงอาจจะเพราะทางเข้ายังลำบากอยู่ เป็นเหมือนทางลูกรัง/ถนนที่กำลังทำใหม่ และอีกส่วนนึงเพราะร้านมีลักษณะเป็นแบบบ้านๆ มาก เพราะงั้นถ้าเพื่อน ๆ คนไหนไประยอง อยากกินอาหารพื้นบ้านของคนระยอง ลองแวะไปร้านนี้นะคะ ไม่ผิดหวังจริง ๆ ค่ะ
จากร้านย่าสน ดูนาฬิกาอีกทีปาเข้าไปบ่าย 3 กว่าๆ ก็ได้เวลาที่พิมแพลนไว้ว่าจะไปเช็คอินที่โรงแรมแล้วอ่ะค่ะ ซึ่งโรงแรมที่พิมเลือกพักในคืนนี้ก็คือ Caza V1 ที่อยู่ในเขตตัวเมืองระยองเลยนะคะ
หลายคนอาจจะสงสัยค่ะว่าทำไมถึงมาพักที่นี่ คือตอนแรกพิมก็ไม่รู้ว่าจะเลือกพักที่ไหนเหมือนกันอ่ะค่ะ เนื่องจากโรงแรมในโซนนี้มีหลายโรงแรมเลย แต่แพลนของพิมคือเย็นนี้พิมจะไปพิพิธภัณฑ์ระยอง ไปชมเรื่องราวของเมืองระยองในอดีตที่ผ่านมา และพรุ่งนี้เช้าพิมก็จะไปหาขนมข้าวเกรียบอ่อน ขนมนิ่มนวล และข้าวเกรียบน้ำจิ้มซึ่งเค้าว่ากันว่าเป็นขนมพื้นเมืองของคนระยอง.. มาชิม และพิมก็แบบว่าไม่อยากขับรถไป เพราะตัวเมืองระยองค่อนข้างหาที่จอดรถยาก ก็เลยพยายามจะหาโรงแรมที่เป็นศูนย์กลาง และอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พิมอยากไปมากนัก (อยู่ในระยะเดินได้) ก็เลยเลือกเป็น Caza V1 นี่แหละค่ะ ที่สำคัญตอนพิมมา ทางโรงแรมเค้ากำลังทำโปรโมชั่นอยู่ ห้องพร้อมอาหาร 1 มื้อสำหรับ 2 คน อยู่ที่ 990 บาทเท่านั้น ซึ่งถูกมากเมื่อเทียบกับคุณภาพห้องและคุณภาพอาหาร พิมก็เลยตัดสินใจเอาโรงแรมนี้นี่แหละค่ะ แต่ถ้าเพื่อน ๆ สะดวกที่จะขับรถไปจอดตามจุดต่างๆ แถวนี้ก็ยังมีโรงแรมให้เลือกอีกเพียบเลยค่า
หลังจากเก็บข้าวของขึ้นห้องพักเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาที่พิมจะไปเที่ยวต่อล่ะค่ะ จุดหมายถัดไปของพิมก็คือพิพิธภัณ์เมืองระยองที่อยู่บนถนนยมจินดา ซึ่งเป็นถนนสายแรกที่สร้างขนานไปกับแม่น้ำระยองนะคะ ^_^
ถนนยมจินดาเกิดจากดำริของพระศรีสมุทรโภค หรืออิ่ม ยมจินดา เจ้าเมืองระยองคนสุดท้ายอ่ะค่ะ ซึ่งสมัยนั้นเป็นยุคที่การคมนาคมยังใช้การคมนาคมทางน้ำเป็นหลัก แต่ท่านก็ได้ดำริให้ตัดถนนใหญ่ขึ้นที่ใจกลางเมืองเลยนะคะ นับจากนั้นมาแหล่งการค้าต่างๆ การคมนาคมต่างๆ ก็เลยย้ายจากในน้ำขึ้นมาบนบาก และถนนยมจินดาก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางของเมืองระยองนับแต่นั้นมาอ่ะค่ะ
แต่พอต่อมาเมื่อเมืองระยองเติบโตขึ้น และมีร้านค้าในรูปแบบของซุปเปอร์มาเกตเข้ามาในเมืองระยอง ทำให้ถนนยมจินดาจากที่ครึกครืั้นก็ค่อย ๆ เงียบลงนะคะ จากที่เคยมีคนอยู่เยอะ คนก็ค่อย ๆ ย้ายออกไป บ้านแถวนั้นซึ่งเป็นบ้านไม้ทรงโบราณทั้งหลาย ก็ถูกปล่อยปละละเลยจนทรุดโทรมเป็นเวลาหลายปีอ่ะค่ะ จนมาถึงช่วงนึงที่ชาวชุมชนและหนุ่มสาวรุ่นใหม่รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ก็เลยตัดสินใจรวมตัวกันตั้งกลุ่มชมรมอนุรักษ์ฟื้นฟูเมืองเก่าระยอง ร่วมมือกับเทศบาล ทำการฟื้นฟูย่านชุมชนถนนยมจินดานี้ให้กลับฟื้นมามีชีวิตมาอีกครั้งนะคะ ^_^
ในปัจจุบันถนนยมจินดาก็เลยกลายเป็นถนนที่มีความครึกครื้น มีคนมาปรับปรุบบ้านเก่าเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านเบเกอรี่ ร้านกาแฟ ร้านนั่งดื่มแบบชิว ๆ แบบสไตล์เก่าๆ มากมายหลายร้านอ่ะค่ะ โดยเฉพาะถ้ามาตรงกับเสาร์อาทิตย์ช่วงเย็น ๆ ค่ำ ๆ ก็จะครึกครื้นมากเป็นพิเศษ เพราะเค้าจะปิดถนนที่นี่ ให้กลายเป็นถนนคนเดินแบบตลาดโบราณ มีของกินของใช้ของเล่นมาวางขายเยอะแยะมากมาย ถ้าเพื่อนๆ คนไหนสนใจและชอบอะไรสไตล์นี้ ก็ลองแวะมาดูกันนะคะ
ส่วนเพื่อนๆ คนไหนที่อยากเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเมืองระยอง ก็สามารถมาดูได้ที่พิพิธภัณฑ์ระยองได้อ่ะค่ะ เพราะที่นี่เค้าจะจัดแสดงเรื่องราวของเมืองระยอง คนระยอง ผ่านภาพถ่าย ผ่านข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ของคนสมัยก่อนเอาไว้มากมายเลยนะคะ
หรือถ้าเพื่อน ๆ คนไหนสนใจอยากได้ข้อมูลการเกี่ยวกับถนนยมจินดามากกว่านี้ ก็สามารถมาสอบถามได้ที่ศูนย์ประสานงานการท่องเที่ยวเมืองเก่าระยอง ซึ่งอยู่ถัดจากพิพิธภัณฑ์ระยองมาประมาณไม่กี่ห้องเท่านั้นเองค่ะ
จากถนนยมจินดา ดูเวลาอีกทีเกือบจะทุ่มนึงแล้ว พิมก็เลยรีบเดินกลับโรงแรม เพราะมีนัดกับคุณสามีไว้ว่าจะทานข้าวเย็นที่นั่นด้วยกันนะคะ
จริง ๆ ตอนแรกพิมแพลนไว้ว่าจะไปหาอะไรที่เป็นอาหารพื้นบ้านพื้นถิ่นกินอ่ะค่ะ แต่ที่เมืองระยองเนี่ย เท่าที่พิมถามคนระยอง ถามพี่ google แล้ว ก็พบว่าหลังจาก 5-6 โมงเย็นไปแล้ว ร้านอาหารที่จะเปิด ก็มักจะเป็นร้านอาหารแบบทั่วไป ไม่ค่อยมีร้านแบบที่พิมคิดไว้นะคะ กอร์ปกับมีฝนตกปรอย ๆ พิมก็เลยคิดว่าเพื่อความสะดวก กินอาหารที่โรงแรมนี่ก็ได้ค่ะ
แต่เอาจริงแล้ว อาหารของที่นี่ก็ไม่ได้ทำให้พิมผิดหวังเลยนะคะ ทุกเมนูที่พิมได้ทานไม่ว่าจะเป็นไส้อั่ว กุ้งแม่น้ำชาววัง เนื้อปูผัดผงกะหรี่ กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา เป็ดผัดเผ็ด และอีกที่พิมจำชื่อเต็ม ๆ ไม่ได้ - -" ทุกอย่างรสชาติอร่อยกลมกล่อมหมดเลยค่ะ ที่ควรจะเค็มก็เค็ม ที่ควรจะเผ็ดก็เผ็ด โดยเฉพาะไส้อั่วกับกะหล่ำปลีทอดน้ำปลา รสชาติดีงามจนอยากจะสั่งมาเพิ่มอีกสักจานสองจานเลยนะคะ เพียงแต่ว่าอาจะเป็นรสชาติที่ละมุน ๆ ไม่จัดจ้านเหมือนอาหารบ้าน ๆ อย่างที่พิมชอบทำก็เท่านั้นเองอ่ะค่ะ ^_^
พูดถึงอาหารของที่นี่แล้ว เท่าที่พิมได้สอบถามพนักงานที่ฟร้อนท์เกี่ยวกับอาหารเช้า เค้าบอกว่าอาหารเช้าของที่นี่ (ที่มาพร้อมกับค่าห้องพัก) จะไม่เหมือนใครนะคะ คือปกติอาหารเช้าตามโรงแรมทั่วไป ถ้าเป็นแบบสั่งเอาก็มักจะเป็นข้าวต้ม ไม่ก็พวกขนมปัง ไข่ดาว แฮม ไส้กรอก ที่มาพร้อมกับน้ำผลไม้หรือชากาแฟสักแก้วประมาณนี้อ่ะค่ะ แต่อาหารเช้าของที่นี่เนี่ยจะมาเป็นชุด คือ อาหารจานหลัก + เครื่องดื่มร้อน/เครื่องดื่มเย็น + เบเกอรี่ + น้ำเปล่า และผลไม้ะคะ ซึ่งในส่วนของอาหารจานหลักเนี่ย พิมว่าที่นี่มีให้เลือกเยอะที่สุดในประเทศไทยแล้วค่ะ คือมีให้ได้เลือกถึง 200 กว่ารายการในเมนู และอีก 80 กว่ารายการนอกเมนูอ่ะค่ะ ....... ส่วนว่าจะมีอาหารอะไรบ้างนั้น ค่อยมาลุ้นกับพิมอีกทีในวันพรุ่งนี้ ส่วนตอนนี้พิมขอตัวไปนอนก่อน ราตรีสวัสดิ์ค่า ^_^