เริ่มต้นวันที่ 2 ... เช้าวันนี้พิมตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวกันตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เพราะมีนัดกับเพื่อนในทริปว่าเราจะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดดอยแม่สลองกันนะคะ ^_^
จริง ๆ แล้วเนี่ยในชีวิตประจำวันของพิม บอกเลยว่าพิมเป็นคนที่นอนดึกและตื่นสายมากค่ะ ปกติพิมจะนอนประมาณตี 2 บางคืนก็ตี 3 แล้วก็ไปตื่นเอาประมาณ 8-9 โมงเช้านะคะ แต่ว่าถ้าวันไหนพิมได้มาเที่ยวต่างจังหวัด โดยเฉพาะมาเที่ยวอะไรที่เป็นธรรมชาติ ๆ แบบนี้ ให้นอนตี 2 ตื่นตี 5 พิมก็ยอมค่ะ ^_^
สำหรับจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นบนดอยแม่สลอง จะอยู่ที่พระบรมธาตุเจดีย์ ศรีนครินทร์สถิตมหาสันติคีรีนะคะ ซึ่งจากรีสอร์ทที่พิมพักอยู่เนี่ย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที หรือราว ๆ 8 กม. ก็จะถึงพระบรมธาตุล่ะค่ะ
พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทร์สถิตมหาสันติคีรี ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของแม่สลอง ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 4 กม. นะคะ ทางขึ้นพระธาตุเป็นถนนลาดยางอย่างดีเลย แต่ว่าถนนมีความชันและคดเคี้ยวมากกกก บางมุมก็โค้งแบบหักศอกกันเลยทีเดียวค่ะ ที่สำคัญคือทางขึ้นมึดมากเพราะไม่มีไฟทาง #เฉพาะช่วงกลางคืน เพราะงั้นใครที่ไม่ชินทาง หรือไม่ชินกับการขับรถขึ้นเขาแบบโค้งหนัก ๆ แนะนำว่าให้ขับรถอย่างระมัดระวังที่สุดนะคะ
ส่วนใครที่อยากจะขึ้นมาชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นบนพระธาตุ แนะนำให้มาถึงก่อน 6 โมงเช้า หรืออย่างช้าไม่เกิน 06.10 เพราะพระอาทิตย์ที่นี่ขึ้นเร็วมาก บางวันขึ้นตอนหกโมงยี่สิบ บางวันขึ้นตอนหกโมงครึ่ง คือถ้าช้าไปนิดเดียว อาจจะพลาดได้เลยค่ะ
** ภาพด้านล่าง ถ่ายตอน 06.20 น.
** ภาพด้านล่าง ถ่ายตอน 06.30 น.
** ภาพด้านล่าง ถ่ายตอน 06.45 น.
หลังจากยืนรับลมหนาวและชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดดอยแม่สลองกันจนจุใจแล้ว ประมาณ 7 โมงเช้าพวกเราก็เริ่มขยับขยายและย้ายร่างมาหาอะไรกินที่ตลาดเช้าดอยแม่สลองกันค่ะ สำหรับหลายคนที่ยังไม่เคยมา ตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับโรงแรมซินแส และลิตเติ้ลโฮมเกสเฮ้าท์นะคะ ซึ่งตรงจุดนี้ บอกเลยว่าไม่มีที่จอดรถ (มีแต่จุดจอดรถชั่วคราวหน้าลิตเติ้ลโฮมเกสเฮ้าท์) เพราะงั้นถ้าใครเอารถมาเอง แล้วอยากมาเดินเล่นที่ตลาดแบบชิล ๆ ให้ไปจอดแถวหน้าเซเว่น พิกัดตามด้านล่าง แล้วเดินย้อนขึ้นเนินมานิดนึงค่ะ ^_^
พิกัดตลาดสด >> https://goo.gl/maps/tyxTMPtNnhuqims28
พิกัดเซเว่น >> https://goo.gl/maps/oH4dUnD2occrBmzdA
สำหรับตลาดเช้าดอยแม่สลอง เป็นตลาดสดเล็ก ๆ แบบชาวบ้าน ๆ นะคะ ตลาดเปิดตั้งแต่ประมาณตี 5 ครึ่ง แต่ใครที่จะมาเดิน มาสัก 6 โมงเช้าหรือ 7 โมงก็ได้ค่ะ
ข้าวของส่วนใหญ่ที่ขายอยู่ในตลาดนี้ก็จะแบ่งเป็น 2 อย่างด้วยกัน ก็คือ พวกวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร และอาหารพร้อมกินนะคะ
สำหรับวัตถุดิบทำอาหาร ส่วนใหญ่ที่ขายกันก็จะเป็นพวกผักสด ผลไม้ที่ชาวบ้านเค้าปลูกไว้กิน พอเหลือเค้าก็เก็บมาขายค่ะ อย่างเช่นคะน้า กะหล่ำ กวางตุ้ง พริก รากชู มะละกอ กล้วย ยอดถั่วลันเตา ผักชี และอื่นๆ อีกมากมายนะคะ
ส่วนอาหารพร้อมกินค่อนข้างจะมีน้อย เพราะชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่เค้าทำอาหารกินเอง ไม่ค่อยซื้อกินกันค่ะ (ร้านอาหารมีไว้สำหรับนักท่องเที่ยว) แต่ว่าที่มีขายอยู่ ไมว่าจะเป็นข้าวเหนียวปิ้ง ข้าวปุกงา น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ ข้าวฟืนถั่ว ซาลาเปาทอดน้ำ รวมไปถึงอาหารหมักดองอย่างเต้าหู้ยี้หมักกับรากชู ขาหมูยูนนาน กุนเชียงยูนานน ..... ก็อร่อยไปซะทุกอย่างเลยนะคะ ^_^
เวลาพิมมาที่นี่ ของที่พิมต้องซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านทุกครั้งก็คือเต้าหู้ยี้ เต้าเจี้ยวแผ่น และแฮมยูนนานค่ะ ตัวเต้าหู้ยี้จะมีรสเผ็ดนิด ๆ จากรากชู และเค็มละมุน ๆ เวลาเอาไปกินกับข้าวต้มร้อน ๆ จะเค็มกำลังดีนะคะ ส่วนเต้าเจี้ยวแผ่น จะเป็นเต้าเจี้ยวที่เค้าปรุงรสแล้วอัดเป็นแผ่น อบให้แห้ง เพื่อให้สะดวกเวลาที่ต้องเดินทางค่ะ เวลาที่เราเอาเต้าเจี้ยวแผ่นไปทำกับข้าว ก็แค่หักเต้าเจี้ยวออกมาตามปริมาณที่เราต้องการ แล้วเอาไปตำหรือทุบให้แหลก จากนั้นก็เอาไปใส่ในผัดผักผัดเนื้อสัตว์ตามชอบเลยนะคะ เปรียบเสมือนเครื่องปรุงรสชนิดนึงที่มีรสเค็ม ๆ เผ็ด ๆ ประมาณนั้นเลยค่ะ ส่วนแฮมยูนนาน อันนี้เอาไปหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ผัดกับผักสด ๆ แบบไม่ต้องปรุงเยอะ หรือจะใช้เต้าเจี้ยวแผ่นในการปรุง บอกเลยว่าอร่อยมากจ้า ^_^
จากดอยแม่สลอง เรากลับมาพักผ่อนชิว ๆ ชมวิวสวย ๆ ที่รีสอร์ทอีกสักแป๊บนึงค่ะ จากนั้นเราก็เข้าไปเก็บข้าวของและออกเดินทางสู่ดอยช้างมูบกันต่อนะคะ
จากดอยแม่สลอง เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงก็ถึงจุดชมวิวดอยช้างมูบล่ะค่ะ
พิกัดดอยช้างมูบ >> https://goo.gl/maps/VXiiirKpsB3QwSUF9
ดอยช้างมูบ .. นอกจากจะเป็นดอยที่ตั้งอยู่บนแนวสันเขาที่แบ่งเขตแดนไทย-พม่าแล้ว ดอยช้างมูบก็ยังเป็นยอดดอยสูงที่สุดของจังหวัดเชียงรายอีกด้วยนะคะ สำหรับใครที่อยากจะไปดอยช้างมูบ ไม่ว่าจะไปจากตัวเมืองเชียงราย หรือไปจากดอยแม่สลองอย่างพิม ก็ให้ไปทางพระตำหนักดอยตุงได้เลย เพราะว่าดอยช้างมูบจะอยู่ห่างจากสามแยกทางเข้าพระตำหนักดอยตุงไปนิดเดียวเองค่ะ
ที่ดอยช้างมูบ .. นอกจากจะมีวิวสวย ๆ ให้เราได้ชม มีมุมสวย ๆ ดอกไม้สวย ๆ ให้เราได้นั่งถ่ายรูปไปอวดเพื่อนแล้ว ที่นี่ก็ยังมีลานกางเต้นท์แบบวิว 180 องศา และร้านกาแฟเก๋ ๆ ให้เราได้นั่งจิบกาแฟเบา ๆ ด้วยนะคะ
หลังจากชมวิวบนดอยช้างมูบไปสักพัก ก็ได้เวลาที่เราจะเดินทางไปยังผาฮี้กันต่อล่ะค่ะ
ผาฮี้ ... เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเผาอาข่าแห่งชุมชนผาฮี้นะคะ ทีนี้เป็นอีกหนึ่งแหล่งปลูกกาแฟที่ขึ้นชื่อของจังหวัดเชียงรายค่ะ ด้วยความที่ผาฮี้ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงที่มีอากาศเย็นสบาย และการปลูกกาแฟของที่นี่เป็นการปลูกแบบให้กลมกลืนไปกับป่า (ไม่ถางป่าเพื่อปลูกกาแฟ) ทำให้ผลผลิตเมล็ดกาแฟที่ได้นั้นมีคุณภาพมาก เมล็ดกาแฟของที่นี่จึงถูกส่งออกไปยังร้านกาแฟทั่วประเทศไทยเลยนะคะ
พิกัด ร้านกาแฟผาฮี้ >> https://goo.gl/maps/TMXKT2XZcRDxoQU17
จริง ๆ แล้วร้านกาแฟที่ดอยผาฮี้ก็มีอยู่หลายร้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นร้านหมื่อแลผาฮี้ ร้านผาฮี้วัลเลย์ กาแฟภูผาฮี้ ฯ แต่ว่าร้านที่พิมจะพาทุกคนไปในวันนี้ก็คือร้านกาแฟผาฮี้นะคะ ซึ่งที่นี่นอกจากเค้าจะมีเครื่องคั่วกาแฟแบบโบราณให้เค้าได้ดูแล้ว เค้าก็ยังเด่นในเรื่องของกาแฟดริป ซึ่งเป็นกาแฟซิกเนเจอร์ของทางร้านอีกด้วยค่ะ
เวลาที่ลูกค้าสั่งกาแฟดริป ทางร้านเค้าก็จะเสิร์ฟกาแฟมาพร้อมกับกาน้ำร้อน และกระดาษกรองนะคะ จากนั้นลูกค้าก็จะต้องเทผงกาแฟใส่ลงไปในกระดาษกรอง และรินน้ำร้อนตามลงไป แล้วก็ค่อย ๆ รอให้น้ำกาแฟค่อย ๆ ซึมผ่านกระดาษกรองอีกที กลายเป็นกาแฟร้อนหอมกรุ่น ให้เราได้จิบพร้อมกับชมวิวงาม ๆ ของหมู่บ้าน และทิวเขาขุนน้ำนางนอนไปในตัวด้วยค่ะ
จิบกาแฟและชมวิวเพลินไปนิ๊ดดดดนึง กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็เกือบเที่ยง ท้องพิมก็เริ่มร้องแล้วค่ะ เราก็เลยพากันเดินทางต่อจากผาฮี้ไปผาหมี ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่นะคะ
ผาหมี หรือ ดอยผาหมี เป็นดอยที่อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 1 ชม. และอยู่ห่างจากผาฮี้ประมาณ 15 นาทีค่ะ ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดของต้นกาแฟต้นแรกในประเทศไทย ที่ในหลวง ร.9 ท่านทรงพระราชทานในกับชาวเขาเผ่าอาข่าเพื่อเอาไปปลูกเลี้ยงชีพแทนการปลูกฝิ่นนะคะ ซึ่งกาแฟต้นแรกที่ถูกนำมาปลูกไว้ที่นี่ เป็นกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าค่ะ แต่พอปลูกไปสักพัก ในหลวง ร.9 ท่านทรงเห็นว่าลักษณะของต้นกาแฟพันธุ์นี้ไม่เหมาะกับพื้นที่ที่อยู่บนเขาสูง จึงพระราชทานพันธุ์อาราบิก้าให้ไปปลูกแทน จนกลายเป็นกาแฟสายพันธุ์ปัจจุบันของดอยผาหมีนะคะ
ทีนี้ก็เหมือนกับผาฮี้ นอกจากดอยผาหมีเป็นอีกหนึ่งแหล่งปลูกกาแฟที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ของจังหวัดเชียงรายแล้ว ที่นี่ก็ยังมีร้านกาแฟ และร้านอาหารน่านั่งเต็มไปหมดเลยค่ะ แต่ว่าร้านที่มีวิวสวยมากรวมถึงมีอาหารชนเผ่าอาข่า (ซึ่งเป็นชนเผ่าประจำดอยผาหมี) ให้กินแบบจัดเต็ม ก็คงหนีไม่พ้นร้านโอโซนผาหมีนะคะ
พิกัดร้านโอโซนผาหมี >> https://goo.gl/maps/WrYCfs9NBNSkMvw89
** ร้านเปิดวันอังคาร - วันอาทิตย์ 9 โมงเช้า - 6 โมงเย็น / หยุดวันจันทร์และทุกวันหยุดนักขัตฤกษ์
ร้านโอโซนผาหมีเป็นร้านที่ขายอาหารแบบชนเผ่าอาข่าและจีนสิบสองปันนานะคะ อาหารของที่นี่ทั้งหมดจะไม่ใส่น้ำตาล ไม่ใส่น้ำปลา ไม่ใส่ผงชูรส จะปรุงรสด้วยเกลือเป็นหลักและแต่งเติมรสด้วยซีอิ๊วนิดหน่อยค่ะ ซึ่งอาหารของที่นี่นอกจากจะมีให้สั่งเป็นจาน ๆ แล้ว ก็ยังมีให้สั่งเป็นสำรับด้วยนะคะ เรียกว่าใครสะดวกแบบไหนก็สั่งแบบนั้นได้เลยค่ะ
ในวันที่พิมไปเนี่ย ถ้าจำไม่ผิด เราสั่งเป็นสำรับมาค่ะ สำรับละ 900 บาท ... ในสำรับนึงก็จะมีอาหารอยู่ 7 อย่าง คือ ไก่ผาหมี ต้มผักรวม (ไม่มีเนื้อสัตว์) ปลาสิบสองปันนา อาข่าส่าเบีย (ลาบหมูดำ) น้ำพริกถั่วดิน+น้ำพริกรากชู ห่อปะแซะ (เปลี่ยนเป็นหมูผัดรากชูแทน) ตำละลู และก็ข้าวดอยนะคะ ส่วนไข่เจียวนั้น ทางเราสั่งเพิ่ม และข้าวโพดหวานผาหมี ทางร้านแถมมาให้ค่ะ ^_^
อาหารของที่นี่ รสชาติส่วนใหญ่ก็จะเค็มนำ ไม่หวานนะคะ มีรสเผ็ดและกลิ่นหอมจากสมุนไพร ถ้าเป็นต้ม ๆ อย่างต้มเผือกกับกวางตุ้งก็จะเค็มน้อย มีความหวานจากเผือก รสละมุน ๆ โดยรวมแล้วพิมชอบเลยค่ะ แต่ว่าพวกเมนูที่เป็นไก่ เนื้อจะน้อยหน่อย กระดูกจะเยอะหน่อย เพราะทางร้านเค้าใช้ไก่บ้าน ซึ่งถ้าใครชอบแนว ๆ นี้ก็โอเคนะคะ ^_^
จากผาหมี เราขับรถต่อไปอีกสักประมาณครึ่ง ชม. ก็จะถึงหมู่บ้านปางห้านะคะ
หมู่บ้างปางห้าเป็นชุมชนเล็ก ๆ ที่อยู่ในอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายค่ะ ที่นี่นอกจากจะเป็นแหล่งเรียนรู้การทำกระดาษสาแล้ว ก็ยังมีโฮมสเตย์ มีกิจกรรมต่าง ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ทำมากมายนะคะ ไม่ว่าจะเป็น #กิจกรรมทำกระดาษสาแบบ DIY แผ่นเดียวในโลก กิจกรรมขี่จักรยานหรือนั่งรถอีต๊อก #ชมสวนฝรั่งไส้แดง #กิจกรรมฐานบ้านตีมีด ไปเรียนรู้การตีมีดในแบบดั้งเดิมของชาวล้านนา ที่ตัวมีดจะทำมาจากแหนบรถยนต์ค่ะ #กิจกรรมบ้านทำเทียน ไปเรียนรู้วิธีการทำเทียน และทดลองทำเทียนไว้สำหรับจุดลอยประทีปot8t #กิจกรรมฐานเตาบ่มใบยาสูบ สำหรับคนที่ชอบการถ่ายรูปกับโรงบ่มใบยาเวียงแก้ว ที่ปัจจุบันไม่ได้ใช้งานแล้วค่ะ รวมไปถึงกิจกรรมฐานบ้านจิ้งหรีด อาหารไทยลื้อ บ้านขนมล๊อคนา บ้านเจียระไนหยก บ้านกษตรอินทรี และอื่น ๆ อีกมากมายนะคะ ^_^
พิกัดหมู่บ้านปางห้า >> https://goo.gl/maps/19PiypUMJcT1nWzU7
สำหรับกิจกรรมแรกที่พิมจะมาทำที่บ้านปางห้า ก็คือ กิจกรรมทำกระดาษสา DIY ค่ะ เนื่องจากว่าที่นี่เมื่อก่อนเค้าเป็นโรงงานทำกระดาษสาแบบทำมืออันดับต้น ๆ ของไทยนะคะ ปริมาณการส่งออกปี ๆ นึงคือเยอะมาก แต่ด้วยความที่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป ความนิยมในกระดาษสาน้อยลง ทางเจ้าของเค้าก็เลยเปลี่ยนจากโรงงานทำกระดาษสามาเป็นศูนย์การเรียนรู้ประจำชุมชนแทนค่ะ ซึ่งหนึ่งในกิจกรรมของศูนย์นี้ก็คือการทำกระดาษสาแบบ DIY นะคะ นักท่องเที่ยวสามารถจะมาเที่ยวที่นี่ และมาทำกระดาษสา DIY ได้ในราคาแค่ 199 บาท เท่านั้นเองค่ะ
นอกจากกิจกรรมทำกระดาษสาแล้ว อย่างที่พิมบอกในตอนแรก ที่มีเค้ามีฐานการเรียนรู้หลายอย่าง ซึ่งในวันเวลาปกติเราสามารถที่จะยืมจักรยานของทางชุมชนฯ ขี่ไปตามบ้านต่างๆ ที่เป็นแหล่งเรียนรู้ได้ค่ะ อย่างวันที่พิมไปก็จะมีไปชมวิธีการทำขนมล๊อคนา (ขนมรังผึ้ง) ชมวิธีการทำข้าวซอยน้อย และชมกล้วยปิ้งแบบปางห้า ที่ยังคงใช้วิธีปิ้งบนเตาถ่านแบบดั้งเดิมนะคะ
สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่สนใจอยากจะมาท่องเที่ยวแบบทำกิจกรรมในแนว ๆ นี้ที่หมู่บ้านปางห้า ก็ติดต่อกับคุณลักษณ์ ได้ที่เพจ >> ท่องเที่ยวชุมชนหมู่บ้านปางห้าโฮมสเตย์ หรือโทร 087-661-2172 ได้เลยค่ะ
จากปางห้า จุดหมายต่อไปของเราก็คือดอยสะโง้นะคะ
จริง ๆ แล้วเนี่ยไฮโลท์ของดอยสะโง้ ก็คือการมาชมพระอาทิตย์ขึ้นแบบ 360 องศาบนดอยสะโง้ค่ะ แต่ด้วยความที่อะไร ๆ มันไม่ค่อยจะลงตัว พวกเราก็เลยเปลี่ยนแผนมาชมพระอาทิตย์ตกที่ดอยสะโง้แทน แล้วเดี๋ยวตอนเช้าค่อยไปชมพระอาทิตย์ขึ้นอีกที่นะคะ ^_^
สำหรับการเดินทางขึ้นไปบนดอยสะโง้ ในช่วงที่ไม่ใช่หน้าฝนมีวิธีการเดินทาง 2 แบบค่ะ แบบแรกก็คือขับรถขึ้นไปเอง จะเป็นเก๋ง กระบะได้หมด ทางเป็นดินแต่ทางไม่เละ กับอีกแบบคือจอดรถไว้ที่จุดบริการจอดรถของหมู่บ้าน (ค่าจอดค้างคืน 50 บาท) แล้วขึ้นรถบริการของชาวบ้านไป ซึ่งก็จะมีทั้งรถกระบะและรถหน้าตาแบบข้างล่างนี้นะคะ ค่าบริการคนละ 50 บาท ไปกลับก็ 100 บาทค่ะ ^_^
ส่วนที่พักบนดอยสะโง้ก็จะมีหลากหลายนะคะ ทั้งแบบที่เป็นกระท่อมไม้ไผ่ แบบที่เป็นเต้นท์ (ห้องน้ำรวม/ห้องน้ำแยก) แบบที่เป็นบ้านหลัง ๆ ซึ่งก็มีราคาค่าบริการตั้งแต่คืนละ 1500 ไปจนถึงคืนละ 2500 เลยค่ะ ใครที่อยากจะขึ้นมาพักที่นี่ ถ้าไม่ใช่ช่วงเทศกาล พิมแนะนำว่าให้ขึ้นมาที่ดอยก่อน แล้วค่อยมาเดินดูไปทีละหลัง ๆ จะได้ไม่ผิดหวังนะคะ
ความพิเศษของดอยสะโง้ คือที่นี่เค้าจะมีบริการอาหารชนเผ่าอาข่า และหมูหันสไตล์อาข่าด้วยค่ะ ซึ่งหมูหันเนี่ยเค้าจะทำมาจากหมูดำที่เลี้ยงโดยชาวบ้านนะคะ แถมยังปรุงและย่างแบบอาข่าดั้งเดิม ทำให้ได้หมูหันที่เนื้อแน่น มันน้อย หนังกรอบ และหอมอร่อยมากค่ะ
ส่วนอาหารอาข่าของที่นี่ แม้จะชื่อว่าอาหารอาข่าเหมือนกับทางชุมชนผาหมี แต่ว่าก็จะมีความแตกต่างกันนะคะ อาหารอาข่าของที่นี่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีเนื้อสัตว์ หรือถ้ามีก็มีน้อยมาก เช่น ยำหน่อไร่ ผัดมะระหวาน ตำมะเขือ คั่วหัวปลี ยำผักกาดแบบชนเผ่า แอ๊บปลานิล คั่วหมูดำกับรากชู หมกไข่ ต้มฟัก ประมาณนี้ค่ะ รสชาติรวมๆ แล้ว แม้จะปรุงด้วยเกลือเหมือนกัน แต่ที่นี่จะเค็มน้อยกว่าทางผาหมีนะคะ รสชาติออกแนวจืด ๆ เน้นไปทางรสชาติของวัตถุดิบมากกว่าค่ะ (แต่หมูหันและน้ำจิ้ม คือแซ่บมากกก)
อาหารของที่นี่ จะมีทั้งแบบให้สั่งเป็นจาน จานละ 60-70-80 ก็ว่ากันไป ตามจำนวนคนบนโต๊ะนะคะ (ยกเว้นหมูหัน เริ่มที่ 250 บาท) แต่ว่าถ้าใครอยากกินเป็นสำรับแบบในรูปด้านบน ก็สามารถสั่งได้เหมือนกัน ทางร้านเค้าคิดค่าใช้จ่ายเป็นคน ๆ ละแค่ 250 บาท เท่านั้นเองค่ะ
สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่สนใจทั้งในเรื่องของอาหารและที่พัก ก็สามารถโทรไปสอบถามรายละเอียดได้ที่คุณทวีพงษ์ 092-2639394 ได้เลยนะคะ ^_^
หลังจากที่กินข้าวกินปลาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ประมาณทุ่มครึ่ง เราก็กลับมาพักผ่อนกันที่โรงแรมเดอะอิมพีเรียล โกลเด้น ไทรแองเกิ้งรีสอร์ท ที่อยู่แถวสามเหลี่ยมทองคำค่ะ ซึ่งโรงแรมนี้พิมเคยมาพักสามสี่ครั้งแล้วตอนที่พาแม่มาเที่ยวเมื่อปีก่อน ๆ นะคะ เป็นโรงแรมที่ห้องพักกว้างขวางมาก แล้วก็สะอาด ชอบตรงมีหมอนหลายใบค่ะ
สำหรับคืนนี้ พิมก็ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้พิมจะพาไปเที่ยวชมอะไร ไปชิมอะไรอีก คอยติดตามกันค่ะ ^_^