หลังจากที่เราเดินทางกันมาครึ่งค่อนวัน เราก็มาถึงทุ่งดอกกระเจียวกันแล้วค่ะ ... ใครที่ยังไม่เคยไปทุ่งดอกกระเจียวหรือเคยไปแล้ว แต่ยังอยากดูอีก ก็ตามพิมมาเลยนะคะ
สำหรับทุ่งดอกกระเจียวที่่จังหวัดชัยภูมินั้น เพื่อนๆ หลายคนคงพอจะทราบว่ามีอยู่ 2 แห่งคือที่อุทยานแห่งชาติไทรทอง กับอุทยานแห่งชาติป่าปินงามนะคะ ซึ่งตามข่าวแว่ว ๆ มาจากเพื่อนพิมที่เคยไปทั้งสองที่ เค้าบอกว่าทุ่งดอกระเจียวที่ไทรทองจะใหญ่กว่า กว้างกว่า มีหลายทุ่งมากกว่า และดอกกระเจียวมีหลากสีกว่า (ขาว ชมพูอ่อน ชมพูเข้ม) แต่ระยะทางนั้นก็ไกลกว่า ต้องใช้เวลาในการเดินทางไปมากกว่า ด้วยความที่ทริปครั้งนี้มีเวลาจำกัด (เช้าไปเย็นกลับ แวะหลายที่) การจะเลือกไปที่ไหนๆ ก็เลยต้องเลือกสถานที่ที่ไม่ไกลมากนัก และอยู่ใกล้ ๆ กัน เพราะงั้นทริปในคราวนี้ทาง ขสมก. เค้าก็เลยเลือกที่จะพาพิมและพวกเราลูกทัวร์ทุกคนไปดูดอกกระเจียวที่ อช.ป่าหินงาม ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานที่อื่นๆ มากกว่า อช.ไทรทองค่ะ
และแล้วหลังจากที่เราเดินทางกันมาครึ่งค่อนวัน เวลาประมาณบ่าย 2 กว่า ๆ เราก็เดินทางกันมาถึง อช.ป่าหินงามกันแล้วนะคะ
ตอนที่รถ ขสมก. ทัวร์ของเราเดินทางมาถึงหน้า อช. (แปลว่า อุทยานแห่งชาตินะคะ) น้องอารีย์ พนักงาน ขสมก.ประจำรถก็บอกพวกเราทุกคนว่า ทริปนี้เป็นทริปที่ไม่รีบมาก แต่ด้วยความที่ขากลับเราจะต้องเดินทางไกลหลาย ชม. กว่าจะถึงกรุงเทพฯ แถมยังจะต้องแวะไปกินข้าวเย็นกันแถวลพบุรีด้วย เพราะงั้นก็เลยอยากจะขอให้เพื่อนๆ ลูกทัวร์ทำเวลากันนิ๊ดดดดนึง คือขอให้กลับมาถึงรถไม่เกิน 4 โมง 15 หรือแปลได้ว่าให้เวลาพวกเราทุกคนในการเดินชมทุ่งดอกกระเจียวเป็นเวลา 2 ชม. ค่ะ ..... ตอนแรกพิมก็แอบคิดนะคะว่า แหมมม...ให้เวลาตั้ง 2 ชม. มันจะพอไหมเนี่ย อย่างนี้คงต้องรีบมากแน่ ๆ เลย .... แต่เอาจริงจะพอหรือไม่พอ ต้องตามไปดูกันนะคะ
หลังจากที่รถ ขสมก. ทัวร์พาเรามาถึง อช. ป่าหินงาม พี่พนักงานขับรถเค้าก็ขับรถไปจอดปล่อยเราที่หน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ซึ่งก็จะอยู่ติด ๆ กับลานจอดรถ ใกล้ ๆ กับที่ซื้อตั๋วขึ้นอุทยานอ่ะนะคะ
ซึ่งตรงที่หน้าศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเนี่ย ก็จะมีป้ายบอกอุณหภูมิที่สูงสุดกับต่ำสุดของวันนี้เอาไว้ด้วยค่ะ ซึ่งก็จะอยู่ราว ๆ 22 - 30 องศานะคะ แบบว่าอากาศกำลังสบายดีเลยค่ะ (แต่ที่วัดเขาประตูชุมพล ที่ติด ๆ กับ อช. แต่อยู่ในป่า อากาศจะเย็นมากกว่าและอุณหภูมิจะต่ำกว่านี้เล็กน้อยอ่ะค่ะ)
หลังจากที่พิมกับคุณสามีลงจากรถเรียบร้อยแล้ว เราสองคนก็เดินตามทางไปเรื่อย ๆ เพื่อไปยังจุดซื้อตั๋วเข้าอุทยานน่ะค่ะ
สำหรับตั๋วเข้าอุทยานเนี่ย ต้องซื้อทุกคนนะคะ ยกเว้นผู้สูงอายุ เกิน 60 ปี กรณีนี้เข้าฟรี ไม่ต้องซื้อค่ะ ^^
พอซื้อเสร็จ.. ด้วยความที่แอบเห็นว่ามีเวลามากอยู่ คุณสามีพิมเค้าก็เลยขอลัลล๊า แบบว่าถ่ายรูปกับตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อยค่ะ ^^ (ไม่ต้องแปลกใจไปนะคะที่ทริปนี้แทบไม่มีรูปพิมเลย เพราะพิมเป็นตากล้องอย่างเดียวอ่ะค่ะ)
พอถ่ายรูปเสร็จ (จริง ๆ ถ่ายรูปก่อนเข้าเยอะมาก ฮ่าๆ แต่เอามาให้ดูแค่ 2 รูปพอ) เราสองคนก็เดินไปที่จุดตรวจตั๋วล่ะค่ะ ซึ่งตรงจุดนี้เราจะต้องเอาบัตรที่เราซื้อเมื่อกี้ให้ จนท. เค้าดู แล้วเค้าจะฉีกไปส่วนนึง อีกส่วนจะเก็บไว้ให้เราเป็นที่ระลึกนะคะ ส่วนผู้สูงอายุ เดินผ่านเข้าไปได้เลยค่ะ
พอเดินผ่านตรงจุดตรวจเข้าไป ก็จะเห็นป้าย "คำแนะนำนักท่องเที่ยว" ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า ซึ่งพิมขอแนะนำว่าทุกคนควรจะอ่านก่อนเข้าไปในอุทยานนะคะ เพราะจะได้รู้ว่าอะไรที่เราควรทำและอะไรที่เราไม่ควรทำขณะท่องเที่ยวอยู่ในอุทยานอ่ะค่ะ
และจากป้ายคำแนะนำเมื่อกี้นี้ เดินมาอีกหน่อยเราก็จะเจอกับจุดจำหน่ายตั๋วรถที่ให้บริการรับมส่งนักท่องเที่ยวอ่ะค่ะ ซึ่งในวันธรรมดาเนี่ย ใครที่มาเที่ยวที่อุทยานแห่งนี้และเอารถมาเอง สามารถขับรถขึ้นไปเองได้เลยหรือจะใช้บิรการรถสองแถวของเอกชนที่มาให้บริการในอุทยานก็ได้อ่ะค่ะ แต่ถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตยืหรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ จะมีนักท่องเที่ยวมาชมดอกกระเจียวเยอะมาก ดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหาและความวุ่นวาย รวมถึงการจราจรติดขัดภายในอุทยาน ก็เลยมีกฎว่าห้ามนำรถขึ้นไปด้านบนในวันเสาร์อาทิตย์ หากใครจะขึ้นไปชมทุ่งดอกระเจียวด้านบน ถ้าไม่เดินขึ้นไปเองก็จะต้องใช้บริการรถสองแถวเท่านั้นจ้า ^^
และหลังจากที่เราซื้อตั๋วเสร็จแล้ว จากจุดซื้อตั๋วเดินมาอีกประมาณสัก 15 ก้าวก็จะถึงจุดจอดรถสองแถวอ่ะค่ะ ซึ่งตอนที่พิมดินไปถึงเนี่ย โชคดีมากๆ เลยที่ว่ารถคันที่กำลังจะออกเนี่ย ตอนแรกที่เต็มแล้วและกำลังจะออก แต่ก็มีผู้โดยสารสองคนสละสิทธิ์ (ลงไปรอเพื่อน) พิมกับคุณสามีก็เลยได้ขึ้นไปนั่งแทนเค้า ไม่ต้องเสียเวลารอรถคันต่อไปอ่ะจ้า
พอขึ้นสองแถวแล้ว สองแถวก็จะพาเราตุเลง...ตุเลง ขึ้นไปด้านบนอุทยานที่ ๆ มีทุ่งดอกระเจียวอยู่ค่ะ
และแล้วเมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที ............ เราก็ถึงด้านบนของอุทยาน ที่ ๆ มีทุ่งดอกกระเจียวแล้วค่ะ
แต่ที่จุดตรงนี้ ... แม้พิมจะบอกว่าเป็นจุดที่มีทุ่งดอกกระเจียวอยู่ แต่จริง ๆ แล้วเราจะต้องเดินไปอีกประมาณ 400-450 เมตรถึงจะถึงทุ่งดอกกระเจียวและได้เห็นดอกกระเจียวจริง ๆ อ่ะค่ะ ....... ว่าแล้วก็เริ่มต้นเดินโลดเลยค่าาาา ^^
ซึ่งหลังจากที่เราเดินตามทางมาประมาณ 50 เมตร เราก็จะพบป้ายนี้นะคะ
........ ตรงนี้พิมแอบขำตัวเองนิดนึง คือด้วยความที่มาที่นี่เป็นครั้งแรก + แอบไม่ฉลาด พอคุณสามีถามว่าจะไปทางไหนก่อนดี พิมก็บอกว่าทางไปผาสุดแผ่นดินมันสั้น เพราะงั้นเราไปชมทุ่งดอกกระเจียวกันก่อนล่ะกัน แล้วเดี๋ยวขากลับพอย้อนกลับมาที่นี่ ค่อยเดินไปผาสุดแผ่นดินอ่ะ คุณสามีพิมเค้าก็อืม ๆ ค่ะแบบว่าตามใจพิมอ่ะ ... แต่ไม่อยากเม้าท์ตัวเองเลยค่ะว่า พิมตัดสินใจผิดง่ะ เพราะจริง ๆ ระยะทางที่จะเดินไปให้ถึงจุดเริ่มต้นของทุ่งดอกกระเจียวเนี่ย 350 เมตรจริงค่ะ แต่.....ไม่นับรวมระยะทางในทุ่งดอกกระเจียวซึ่งมีระยะทางไกลกว่าอีกค่ะ แถมพอเดินไปสุดทุ่งกระเจียว อารมณ์จะเดินกลับที่ระยะทางกว่ากิโลเมตร ก็เลยไม่มีแล้วค่า เพราะงั้นทริปนี้พิมกับคุณสามีก็เลยไม่ได้ไปชมวิวที่ผาสุดแผ่นดินเลย เพราะว่าเบ๊อะของพิมแท้ ๆ อดเสียดายไม่ได้อ่ะค่ะ แต่ไม่เป็นไร ทริปใหม่ยังมีค่ะ ^^
และเมื่อตัดสินได้แล้วว่าจะไปชมทุ่งดอกกระเจียวก่อน ....... ก็มาเริ่มต้นเดินกันเลยค่ะ ซึ่งจากจุดนี้ เราจะต้องเดินเท้าไปประมาณ 350 เมตร ถึงจะถึงทุ่งดอกกระเจียวนะคะ
ระหว่างทางที่เราเดินไป ก็จะมีลักษณะเป็นป่าแบบในภาพอ่ะค่ะ คือมีไม้ยืนต้นที่ไม่สูงมากนัก ขึ้นอยู่เป็นะระยะและก็มีพวกต้นปรง ต้นเฟิร์น ต้นหญ้าต่าง ๆ ขึ้นอยู่มากมาย ทำให้ระหว่างการเดินเท้านั้นสบายตา สบายใจเป็นอันมากเลยค่ะ
แล้วในบางช่วงของทางเดิน ก็จะมีบางจุดที่ริมทางเดินชิดกับหน้าผานะคะ (ด้านล่างผาเป็นช่องระหว่างภูเขา) ทำให้มีลมจากพัดเข้ามาตามช่องระหว่างต้นไม้ค่อยข้างแรงค่ะ บวกกับอากาศที่เย็นอยู่แล้ว แถมแดดไม่ออกเลย ยิ่งทำให้อากาศเย็นมากขึ้นถึงกับหนาวจนต้องกอดอกในบางขณะเลยอ่ะค่ะ
ระหว่างที่เราเดินกันไป เราก็ไม่ได้เดินเพียงอย่างเดียวนะคะ ยังคงสอดส่ายสายตามองโน่นหานี่ไปเรื่อย แล้วเราก็ได้เจอกับเจ้าสัตว์ประหลาด 2 ตัวนี้เนี่ยแหละค่ะ ^^ หนอน กับ กิ้งกือ ...... ตัวเบ้อเร่อเลย น่ารักมากค่ะขอบอก ^_^
หลังจากที่เราใช้เวลาเดินกันไปพักนึง ไม่นานค่ะ ประมาณเกือบ 30 นาทีได้ ..... เราก็มาถึงจุดเริ่มต้นของทุ่งดอกกระเจียวแล้ว ซึ่งจริง ๆ ถ้าเป็นคนอื่นเค้าจะใช้เวลาน้อยกว่านี้ แต่เราสองคนลัลล๊ากันมากค่ะ เดินไป ถ่ายรูปไป ถ่ายคลิปไป เม้าท์กันไป ชวนกันดูนั่นดูนี่เสมือนหนึ่งชาตินี้ไม่เคยเจอ ฮ่ะๆ ก็เลยทำให้ช้ากว่าคนเอื่นมากค่ะ
และเมื่อเรามาถึงจุดเริ่มต้นของทุ่งดอกกระเจียวกันแล้ว ........ พิมก็จะไม่ขอบรรยายอะไรมากมายนะคะ แต่จะขอเชิญเพื่อนทุกคนไปร่วมชมความงามของทุ่งดอกกระเจียวจากภาพที่พิมถ่ายมาฝากแทนค่ะ
ซึ่งช่วงแรกของทางที่เราเดินไปในทุ่งฯ จะเห็นแต่ต้นหญ้าซะเป็นส่วนใหญ่ ดอกกระเจียวจะมีน้อยมาก และมีประปราย แถมส่วนใหญ่ยังอยู่ตรงจุดไกล ๆ ที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนอีกอ่ะค่ะ
แล้วพอเดิน ๆ ไปหน่อย เห็นดอกกระเจียวดอกนึง ริมทางเดิน ก็เลยรีบถ่ายมาฝากเพื่อน ๆ ก่อนค่ะ
จากนั้นเดินไปต่ออีกหน่อย ก็จะเจอทุ่งหญ้าผสมทุ่งหิน สลับกับดอกกระเจียวที่ขึ้นเป็นระยะ ๆ ค่ะ (แต่ก็ยังไม่เยอะอยู่ดี)
สิ่งนึงที่พิมอยากจะบอกก็คือ นอกจากที่นี่ดอกกระเจียวจะสวยงามแล้ว บรรดาก้อนหินต่าง ๆ ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้ตั้งตระหง่านอยู่ในทุ่งดอกกระเจียวก็สวยไม่แพ้กันเลยอ่ะค่ะ ^^
ในช่วงจังหวะที่เดิน ลมเย็นๆ ก็พัดมาเป็นระยะ ๆ ....... อากาศดีมาก มากจนไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ยังไดงีเลยค่ะ ^^ ขอบรรยายด้วยท่าทางคุณสามีแทนล่ะกันนะคะ อิอิ
ดอกกระเจียวอีกหนึ่งดอกค่ะ ดอกนี้กลีบบาง ดอกเล็ก ดูน่ารัก น่าทนุถนอมกว่าดอกแรก แต่จริง ๆ ก็บอบบางเหมือนกัน ไม่ว่าดอกเล็กหรือดอกใหญ่ (เหมือนผู้หญิงเรา ไม่ว่าอ้วนหรือผอม ตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ก็อ่อนแอได้เหมือนกันนะคะ)
และแล้วหลังจากเดินจากจุดเริ่มต้นของทุ่งดอกกระเจียวมาประมาณ 10 กว่านาที เราก็ถึงทุ่งดอกกระเจียวที่มีดอกกระเจียวเยอะ ๆ จริง ๆ แล้ว ......... เห็นในภาพดูสวยอย่างนี้ แต่ขอบอกว่าของจริงสวยมากกว่านี้อีกอ่ะค่ะ
เจ้าหน้าที่ของที่นี่เค้าบอกพิมว่า ช่วงนี้ (ที่พิมไป) ดอกกระเจียวยังบานไม่เต็มที่ค่ะ คือบานสักประมาณ 75% ได้ ถ้าจะรอให้บานเต็มที่ 100% ก็ประมาณกลางเดือนกรกฎาคม หรือราวๆ วันเข้าพรรษา-วันอาสาฬหบูชาอ่ะค่ะ
แต่ขนาดยังไม่บานเต็มที่ยังสวยมากขนาดนี้ ..... แล้วถ้าบานเต็มที่ คงจะเหมือนทุ่งสวรรค์แน่ ๆ เลยอ่ะค่ะ ^^
แล้วพิมก็ขอถ่ายรูปคุณสามีสุดที่รักกับทุ่งดอกกระเจียวเป็นที่ระลึกสักรูปนึง (จริง ๆ หลายรูปมาก) คุณสามีก็ยินยอมเป็นนายแบบให้อย่างดีเลยค่ะ
ตอนแรกพิมเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะถ่ายรูปตัวเองเลยนะคะ แต่เห็นคู่อื่นที่เค้ามาเที่ยวกัน เค้าถ่ายรูปคู่กันค่ะ พิมก็เลยแอบอยากถ่ายบ้าง ฮ่าๆ ครั้นจะขอให้คนอื่นช่วยถ่ายให้ เดี๋ยวก็จะได้มุมที่ไม่ถูกใจ เพราะงั้นก็เลยถ่ายซะเองค่ะ ^^ (ถ่ายรูปแล้ว ถึงได้รู้ว่าตัวพิมเอง ดำกว่าคุณสามีมากกกกกกก งี้แหละนะ คนออกไปเจอแดดทุกวัน กับคนที่แทบจะไม่เคยเจอแดดเลย ฮ่ะๆ)
ถ่ายรูปเสร็จ (ถ่ายเป็นสิบรูปค่ะ) พิมกับคุณสามีก็เดินชมความงามของทุ่งดอกกระเจียวต่อค่ะ
ซึ่งพิมขอบอกตามตรงค่ะว่า เห็นทุ่งดอกกระเจียวเยอะ ๆ อย่างนี้แล้ว พิมอดนึกไปถึงภูกระดึงไม่ได้อ่ะค่ะ แบบว่าสมัยก่อน (สัก 10 ปีที่แล้ว) พิมชอบไปภูกระดึงตอนหน้าร้อน ช่วงสักต้นพฤษภาบ่อยมาก
ซึ่งช่วงก่อนหน้านั้น ราวมีนา มักจะเป็นช่วงที่ลานดอกกระเจียวบนภูมักจะถูกไฟป่าไหม้ อยู่เป็นประจำ และหลังจากไฟป่าไหม้ไปได้ไม่นาน ฝนก็จะเริ่มตก ดอกกระเจียวก็จะเริ่มผุดขึ้นมา และกลายเป็นทุ่งดอกกระเจียวเล็ก ๆ แทบทุกปีในตอนราวปลายเมษา และราวเดือนพฤษภาอ่ะค่ะ ......... แต่ไม่รู้เดี๋ยวนี้จะยังมีอยู่ไหมอ่ะค่ะ แต่ก็คิดถึงเสมอนะคะ
และหลังจากเราเดินชมทุ่งดอกกระเจียวอยู่เกือบ ชม. ก็ได้เวลาที่เราจะต้องเดินทางกลับกันแล้วค่ะ
ซึ่งจากจุดที่มีดอกกระเจียวเยอะๆ เดินตามทางเรื่อย ๆ มาอีกประมาณ สัก 200-300 เมตร ก็จะเจอถนนที่มีรถสองแถวผ่านแล้วค่ะ (แล้วทำไมเราไม่เดินเข้าทางนี้ว๊าาาาาาาา ไม่เข้าใจตัวเองเล๊ยยย)
ระหว่างนั่งรอรถสองแถวมา คุณสามีก็ขอไปนั่งถ่ายรูปกับป้าย "ทุ่งดอกกระเจียว" เป็นที่ระลึกก่อนกลับสักหน่อยค่ะ
จากนั้นก็ไปนั่งรอรถอยู่กลางถนน ฮ่าๆๆ ....... (นั่งได้ ไม่มีอันตราย เพราะวันเสาร์อาทิตย์แทบไม่มีรถผ่านมาเลยค่ะ นอกจากสองแถวอ่ะ)
รออยู่สักประเดี๋ยวรถสองแถวก็มาแล้วล่ะค่ะ (พร้อมคนเกือบเต็มรถอ่ะ)
เราสองคนก็จัดการโบกรถ และขึ้นไปนั่งบนรถเพื่อที่จะลงไปที่ด้านล่าง...ที่ทำการของอุทยานกันน่ะค่ะ
แล้วเราสองคนก็ลงมาถึงที่ทำการอุทยานด้านล่างตอนประมาณเกือบ ๆ บ่าย 4 โมงนะคะ ซึ่งตามเวลานัดที่ 16.20 น. ก็แปลว่าเรายังเหลือเวลาเดินเล่นที่ด้านล่างอุทยาน และจับจ่ายหาซื้อของฝากเล็กๆ น้อย ๆ ได้อีกประมาณ 25 นาที ค่ะ
ซึ่งพิมขอบอกว่าของฝากกระจุกกระจิ๊กของที่นี้มีเยอะเลยค่ะ และก็หลากหลายมาก ส่วนจะมีอะไรบ้าง เดี๋ยวตามไปดูกับพิมในตอนหน้านะคะ ^__^
ป.ล. กว่าจะเขียนได้แต่ละตอน ใช้เวลานานมากเลยค่ะ นึกไม่ออกจะใช้คำพูดอะไรดี หัวสมองตีบตันมากๆ เขียนแล้วลบ ลบแล้วพิมพ์ใหม่ พิมพ์ใหม่แล้วลบ เป็นสิบ ๆ รอบเลย จ๊อดดดดดดด >_<"