หลังจากที่เมื่อคืนพิมกับเพื่อนๆ ร่วมทริปได้นอนหลับกันอย่างสบาย แถมเต็มอิ่มอีกต่างหาก เช้านี้พวกเราทุกคนก็เลยมีแรง รีบตื่นขึ้นมาใส่บาตรพระ และทานอาหารเช้ากันค่ะ
ที่รีสอร์ทแห่งนี้ นอกจากบรรยากาศริมน้ำยามเช้าที่สุดแสนจะทำให้ทุกคนรู้สึกสบาย ๆ แล้ว ทางรีสอร์ทเค้าก็ยังนิมนต์พระจากวัดใกล้เคียงให้มารับบิณฑบาตรจากแขกที่มาพักในรีสอร์ทด้วยอ่ะค่ะ ซึ่งพระท่านจะนั่งเรือพายมาถึงท่าน้ำหน้ารีสอร์ทประมาณ 7 โมงเช้าของทุกวันเน๊าะคะ
ซึ่งทางรีสอร์ทก็จะจัดชุดอาหารคาวหวานไว้ให้แขกที่มาพักได้ใส่บาตรกัน ตรงนี้ไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรนะคะ ยกเว้นแต่ว่าแขกต้องการอาหารเพิ่ม หรือต้องการน้ำเพิ่มสำหรับใส่บาตรพระ ก็จะเสียค่าใช้เพิ่ม แต่ไม่มาก ^_^ ซึ่งในวันที่พิมไป มีคณะจากกรมอะไรสักอย่างมาสัมมนาพอดี ก็เลยมีคนใส่บาตรมาก จนชุดใส่บาตรที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้เกือบไม่พออ่ะค่ะ
เสร็จจากใส่บาตร ก็ถึงเวลาทานอาหารเช้าเน๊าะคะ สำหรับอาหารเช้าของที่นี่ก็จะเป็นบุฟเฟท์อาหารไทย ขนมไทย และก็มีชา กาแฟ ปาท่องโก๋ (จิ้มนม) ด้วยอ่ะค่ะ ในส่วนของกับข้าวที่จะไว้ทานกับข้าวสวย/ข้าวต้ม ก็มีมากมายถึง 15 อย่างด้วยกันนะคะ (มากที่สุดเท่าที่พิมเคยเห็นในรีสอร์ทราคาเท่านี้) เช่น ไข่พะโล้ ผัดสายบัว กะเพราะไข่เยี่ยวม้า ต้มจับฉ่าย เต้าหู้น้ำแดง ปลาทูซาเตี๊ยะ และอื่นๆ อีกมากมายเลยอ่ะค่ะ
ซึ่งขอบอกว่าพิมเปรมมากกกกก ^_^ เพราะล้วนแต่เป็นของชอบของพิมทั้งนั้น ก็เลยจัดข้าวมาซะ 2 จานด้วยกัน ตบท้ายด้วยเปียกปูนใบเตย 2 ชิ้น ปาท่องโก๋ในกาแฟดำ 1 แก้ว และขนมปังอีก 1/2 แผ่น ...... ขอบอกว่าเป็นมื่้อเช้าที่อิ่มสุดๆ ไปเลยค่า ^_^
จากอาหารมื้อเช้า หัวหน้าแก๊งค์ของเรามีแพลนไว้ว่าจะชวนเราทุกคนเดินทางไปที่ชุมชนบ้านบางพลับกันค่ะ ซึ่งเรานัดกันตอนประมาณ 8 โมงเช้า แต่ตอนที่พิมกินข้าวเสร็จ มันเพิ่งจะประมาณ 7 โมงกว่าๆ เอง เพราะงั้นพิมก็เลยขอใช้เวลาส่วนที่เหลือนี่เดินชมสวนภายในรีสอร์ทสักหน่อยค่ะ ซึ่งขอบอกเลยว่าร่มรื่นมาก รีสอร์ทแห่งนี้มีต้นไมใหญ่เยอะ และในขณะเดียวกันก็มีต้นไม้ต้นเล็กต้นน้อยเยอะด้วยอ่ะค่ะ แถมเมื่อคืนมีฝนลงเม็ดปรอย ๆ อีกต่างหาก เช้านี้บรรยากาศในรีสอร์ทก็เลยดูชุ่มชื้นมากเลยอ่ะค่ะ (ทำให้แขกชุ่มชื่นหัวใจไปด้วยเลย)
พิมใช้เวลาเดินเล่นชมนกชมต้นไม้ในรีสอร์ทอยู่ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงเน๊าะคะ ก็กลับขึ้นไปบนห้องเก็บเสื้อผ้ายัด เอ๊ยย พับใส่กระเป๋า ^_^ ให้เรียบร้อย ก่อนที่จะลงไปรวมแก๊งค์กันที่ลานจอดรถด้านหน้ารีสอร์ท เพื่อเดินทางไปดูการทำน้ำตาลมะพร้าว และขี่จักรยานชมสวนผลไม้ที่ชุมชนบ้านบางพลับ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ทเลยอ่ะค่ะ
ชุมชนบ้านบางพลับตั้งอยู่ในอำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงครามนะคะ เป็นชุมชนที่มีวิถีชีวิตเรียบง่ายมากๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่จะทำสวนผลไม้ ส้มโอ ชมพู่ ลิ้นจี่ มะม่วง มะพร้าวน้ำหอม แบบไม่ใช้สารเคมี โดยจะเน้นใช้ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมักที่ทำเองเพื่อลดต้นทุนในการปลูกแทนอ่ะค่ะ และชาวบ้านเค้าก็ยังเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่สนใจ ได้เข้ามาร่วมทำกิจกรรมกับชาวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำน้ำตาลมะพร้าว การทำสวนส้มโอไร้สารพิษ การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร (ผลไม้กลับชาติ) การเผาถ่านเพื่อเอาน้ำส้มควันไม้ ถ่าน ถ่านผลไม้ การแกะกะลามะพร้าวซอ รวมไปถึงการขี่จักรยานชมสวนผลไม้ด้วยอ่ะค่ะ ^_^
แต่ว่าวันที่พิมไปเนี่ย เวลาค่อนข้างจะมีน้อยไปสักนิดนึงเน๊าะคะ T___T ก็เลยทำได้แค่ไปดูการทำน้ำตาลมะพร้าว และขี่จักรยานชมสวนผลไม้เท่านั้นเองค่ะ แต่ไม่เป็นไรเน๊าะคะ เอาเท่าที่มีเวลาแล้วกัน ส่วนที่เหลือ วันหลังค่อยมาชมใหม่ก็ยังไม่สายค่า ^_^
พูดถึงเรื่องการกวนน้ำตาลสด (ดิบ) เพื่อทำน้ำตาลมะพร้าวของที่ชุมชนแห่งนี้เนี่ย เค้าจะมีสาธิตให้เราได้ชมที่ศูนย์การเรียนรู้ของชุมชนบ้านบางพลับเองเลยค่ะ จริง ๆ ก็อาจจะไม่ต้องเรียกว่าสาธิตนะคะ เพราะโดยปกติที่นี่เค้าก็มีการกวนน้ำตาลมะพร้าวกันอยู่ทุกเช้าแล้วอ่ะค่ะ เพราะที่นี่คือบ้านของครูสมทรง และครูสมทรงเค้ามีสวนมะพร้าวของเค้าเองนับหลายร้อยต้นเลยอ่ะค่ะ โดยปกติเค้าก็จะเริ่มกวนกันตั้งแต่ตอนประมาณ 8 โมงเช้า และจะไปเสร็จเอาตอนประมาณสัก 11 โมง .... แต่วันที่พิมไปเนี่ย พิมไปถึงตอนประมาณ 8 โมงครึ่ง เค้าก็เริ่มกวนกันไปได้สักแป๊บนึงแล้วอ่ะค่ะ
การกวนน้ำตาลมะพร้าวของที่นี่เค้าจะกวนทีละ 2 กระทะนะคะ แล้วค่อยจับส่วนผสมใน 2 กระทะมารวมกันทีหลัง
โดยในชั้นตอนแรกเค้าก็จะนำน้ำตาลสดแบบดิบ ๆ ที่รองได้จากจั่นมะพร้าว มาเทใส่ในกระทะใบบัวแบบในภาพด้านล่างอ่ะค่ะ พอเดือดก็ค่อย ๆ ช้อนฟองทิ้งให้หมด แล้วก็เคี่ยวไฟอ่อน ๆ เป็นเวลาประมาณ 60-70 นาที จนกระทั่งน้ำตาลสดกลายเป็นยางมะตูมนะคะ
ซึ่งในช่วงขั้นตอนนี้ค่อนข้างจะใช้เวลานานเป็นชั่วโมงๆ หัวหน้าแก๊งค์พิมก็เลยชวนทุกคนไปขี่จักรยานชมสวนผลไม้ที่อยู่ภายในบริเวณชุมชนแห่งนี้ไปพลาง ๆ อ่ะค่ะ ซึ่งจักยานที่มีให้บริการก็มีมากกว่า 100 คันนะคะ และ 50 ใน 100 กว่าคันนั้นก็เป็นจักรยานที่ทาง ททท. มอบเอาไว้ให้กับศูนย์การเรียนรู้ของชุมชนบางพลับแห่งนี้ล่ะค่ะ ^_^
ส่วนเส้นทางของการขี่จักรยานในชุมชนบางพลับ ก็จะเป็นเส้นทางที่ลัดเลาะไปตามสวนผลไม้เน๊าะคะ ค่อนข้างจะร่มรื่นเลยทีเดียว ^_^ แต่มีบางช่วงที่เราจะต้องปั่นเลาะริมร่องน้ำเล็ก ๆ ข้างทางที่เป็นโคลน หากปั่นไม่ระวัง อาจจะเผลอตกลงไปจมในโคลนก็ได้อ่ะค่ะ
และหลังจากเราปั่นจักรยานกันแบบชิลด์ๆ อยู่ประมาณสัก 20 นาที ก็ได้เวลาที่เราจะต้องปั่นกลับไปที่่ศูนย์เรียนรู้ เพื่อชมการทำน้ำตาลมะพร้าวกันต่อแล้วล่ะค่ะ ...... ซึ่งตอนที่เราไปถึงเนี่ย ขอบอกว่าฉิวเฉียดมากเลยนะคะ เพราะน้ำตาลดิบที่อยู่บนเตาถูกเคี่ยวมันได้ที่แล้วอ่ะค่ะ ดังนั้นพอคุณสามีพิมเห็นว่าพี่คนกวนกำลังยกกระทะน้ำตาลลงมาวางด้านล่าง เพื่อจะใช้ที่ปั่นน้ำตาลมาปั่นน้ำตาลให้แห้ง ก่อนจะนำไปหยอดใส่พิมพ์เพื่อทำเป็นน้ำตาลปี๊บอ่ะค่ะ
แต่ด้วยความที่ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ยากมาก และต้องใช้กำลังมาก ดังนั้นแล้วคุณสามีพิมที่แทบจะไม่เคยทำงานหนักมาก่อนก็เลยไม่ไหวอ่ะค่ะ - -" และคุณน้องต้อง จนท ททท ที่พาเราทุกไป ก็ไม่ไหวเหมือนกัน T_T
พี่คนที่เป็นคนกวนประจำ ก็เลยต้องเข้ามาจัดการลงมือทำเองอ่ะค่ะ ซึ่งในขั้นตอนนี้ก็ใช้เวลาไม่นานนะคะ แต่ต้องใช้ความรวดเร็ว และใช้พละกำลังที่แข็งแรงมาก รวมไปถึงต้องใช้ความชำนาญด้วยอ่ะค่ะ ^_^
และเมื่อน้ำตาลในกระทะได้ที่แล้ว เราก็จะตักน้ำตาลใส่ในกาละมังเพื่อจะนำไปหยอดใส่พิมพ์ในห้องปลอดแมลงอีกทีนะคะ ^_^
วิธีการหยอดน้ำตาลก็ไม่มีอะไรมากเลยค่ะ ^_^ แค่พยายามใช้ช้อนสั้นสองคันตักน้ำตาลเหลว ๆ ที่อยู่ในกาละมัง ไปหยอดลงในถ้วยตะไลปากแคบที่มีผ้าขาวบางรองก็เท่านั้นเองค่ะ ... ซึ่งตอนแรกพิมก็คิดว่ามันง่าย ๆ นะคะ ดูแล้วไม่เห็นจะยากเลย แต่พอได้ลงมือทำจริง ๆ ขอบอกว่ายากมากค่ะ การที่จะตักน้ำตาลที่เหนียวมาก ๆ และร้อนมาก มาหยอดลงในถ้วยเล็ก ๆ ปากแคบ แถมต้องทำด้วยความรวดเร็ว แบบไม่ให้หกเลอะเทอะ หรือหยดตรงนั้นทีตรงโน้นที - -" มันเป็นอะไรที่ยากจริง ๆ สำหรับคนที่ไม่เคยอย่างพิมอ่ะค่ะ ดังนั้นพอพิมหยอดไปได้สัก 10 ถ้วยก็เริ่มหมดความพยายาม ต้องปล่อยให้พี่อีกคนที่เค้าทำหน้าที่นี้ประจำกลับมาหยอดแทนล่ะค่า - -"
และในระหว่างการหยอดน้ำตาลลงถ้วย หากน้ำตาลก้อนไหนแข็งตัวแล้ว (ใช้เวลาแป๊บเดียว) เราก็สามารถแกะน้ำตาลออกจากพิมพ์ แล้วนำไปพักให้เย็น เพื่อที่จะแพคใส่ถุงต่อไปได้อ่ะค่ะ ^_^
โดยน้ำตาลมะพร้าวของที่นี่เนี่ย ไม่ว่าจะแบบไหน ก็ไม่ใส่สารกันบูดนะคะ แต่เค้าจะกันบูดด้วยไม้พยอมค่ะ แต่ว่าก็ยืดระยะเวลาได้ไม่นาน เพราะงั้นแล้วใครที่ซื้อน้ำตาลมะพร้าวแท้ ๆ จากที่นี่ไป หากเกินครึ่งเดือนยังใช้ไม่หมด จะต้องเอาน้ำตาลเข้าไปแช่ไว้ในตู้เย็นนะคะ ไม่งี้นแล้วน้ำตาลจะเสีย (เปรี้ยว) ได้ แต่ถ้าไม่เสียก็จะอยู่ได้เป็นปีเลยค่ะ ^_^
ราคาน้ำตาลมะพร้าวแท้ๆ ของที่นี่กิโลละ 60 บาทนะคะ ยกเว้นแต่แบบกระปุก จะราคาสูงกว่าหน่อย เพราะมีต้นทุนค่ากระปุกด้วยอ่ะค่ะ
วิธีการใช้ไม้พยอมในการยืดอายุน้ำตาลสด น้ำตาลปี๊บ คือเอาไม้พยอมใส่ลงไปในกระบอกตอนรองเอาน้ำตาลสด แล้วค่อยกรองออกตอนจะนำมาใส่กระทะค่ะ
จากชุมชนบ้านบางพลับ (10.30 น.) พวกเรากลับมาเช็คเอ้าท์ที่รีสอร์ท แล้วก็เดินทางต่อไปยังจุดหมายสุดท้ายของทริปนี้ ก็คือ โฮมกระเตงบ้านชาวเล ซึ่งเป็นทั้งโฮมสเตย์และร้านอาหารที่เราจะไปฝากท้องกันในมื้อกลางวันของวันนี้อ่ะค่ะ ^_^
โฮมกระเตงชาวเล เป็นร้านอาหารที่อยู่เกือบจะด้านในสุดของคลองโคน ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงครามอ่ะนะคะ ที่นี่เนี่ยนอกจากจะเป็นโฮมสเตย์แบบชาวคลองน้ำเค็มแล้ว (จริง ๆ น่าจะเป็นน้ำกร่อยมากกว่า) ก็ยังมีร้านอาหารที่อร่อยมากๆ ตั้งอยู่ด้วยอ่ะค่ะ
ร้านอาหารของที่โฮมกระเตงนี่ก็จะอยู่ติดกับริมน้ำนะคะ ซึ่งระหว่างที่เรานั่งทานอาหารไป เราก็สามารถชมบรรยากาศรอบข้าง ชมวิถีการใช้ชีวิตของคนในชุมชนแถวๆ นี้ไปพลาง ๆ ได้
แต่ร้านอาหารของโฮมกระเตงจะไม่ค่อยเหมือนที่อื่นนิดหน่อยค่ะ เนื่องจากร้านอื่น หากเราขับรถผ่านแล้วเราอยากจะเข้าไปนั่งกิน เราก็สามารถจอดรถแล้วเดินเข้าร้านไปได้เลย แต่ที่นี่เราจะต้องโทรไปบอกเค้าก่อนล่วงหน้าสักวันสองวันนะคะ ว่าเราจะไปกินกันเวลาไหน ไปกันกี่คน อยากกินเมนูอะไรบ้าง แล้วทางโฮมกระเตงชาวเลเค้าก็จะไปจัดหาอาหารสด ๆ มาให้เราตามจำนวนคนที่ไปอ่ะค่ะ ซึ่งในวันนั้นเนี่ย พวกเราก็ได้น้องต้อง เป็นคนจัดการให้ ต้องขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ^_^
รายละเอียดเพิ่มเติมของ โฮมกระเตง + ครัวชาวเล >> คลิ๊กที่นี่เลยค่ะ <<
สำหรับอาหารจานแรกที่ทางน้องต้องสั่งไว้ให้พวกเรา ก็คือ กุ้งอบเกลือค่ะ ... ทางร้านใช้กุ้งสด ๆ มาอบกับเกลือ เนื้อกุ้งหวานจริงๆ จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรของทางร้าน แซ่บมากเลยค่ะ แต่พิมกินไปไม่กี่ตัว เพราะแอบขี้เกียจแกะกุ้งนิดนึงค่ะ ^^"
ต่อมาก็เป็น ปูนึ่งนะคะ ... เมนูนี้ก็สุดยอดอีกล่ะค่ะ เนื้อปูสดๆ นึ่งแบบนี้ออกมาแล้วหวานหอมมาก จิ้มกับน้ำจิ้มทะเล แซ่บไม่แพ้กุ้งอบเกลือเลยอ่ะค่ะ แต่งานนี้พิมก็ไม่ค่อยได้ชิมอีกล่ะ เพราะว่าไม่ถนัดแกะปู เห็นน้องปูแล้วขอยอมแพ้เลยค่า T__T
เมนูถัดไป ก็คือปลาทูแดดเดียวนะคะ เมนุนี้ทางร้านเค้าจะเอาปลาทูมาแล่ แล้วเอาไปเคล้ากับเครื่องปรุงรสสักครู่ ก่อนจะทำไปตากแดดหมาดๆ แล้วนำมาทอดจนกรอบชนิดกินได้ทั้งก้างทั้งหัวเลยอ่ะค่า
ส่วนจานนี้ก็คือผัดหอยลายนะคะ ... หอยสด ผัดได้สีสวย แต่เสียดายว่าหวานมาก เลยกลายเป็นเมนูที่เพื่อนๆ ร่วมโต๊ะให้ความสนใจน้อยกว่าเมนูอื่นอ่ะค่ะ >_<
ส่วนจานนี้เด็ดของจริงเลยนะคะ ไข่เจียวกุ้ง ... ฟังดูเหมือนไม่น่าจะมีอะไร ก็แค่ไข่เจียวใส่กุ้ง แต่อร่อยมากเลยค่ะ ไข่เจียวเนื้อฟู ๆ กรอบที่ผิวด้านนอก แต่นุ่มใน กินกับข้าวสวยเฉย ๆ ไม่ต้องจิ้มอะไรก็ยังอร่อยมากเลยอ่ะค่ะ
แต่ที่เด็ดสุดสำหรับพิมคือจานนี้ค่ะ ชะครามลวกราดกะทิกินคู่กับน้ำพริกกะปิ มันเป็นอะไรที่สุดยอดมากสำหรับพิมนะคะ คือปกติพิมเป็นคนที่ชอบทานผักลวกราดกะทิจิ้มน้ำพริกกะปิอยู่แล้ว ผักที่พิมชอบเอามาลวกก็เช่นดอกแค ผักกูด ดอกโสน ดอกขจร ผักบุ้ง ถั่วฝักยาว ชะอม ..... เรื่อยเปื่อย แต่กับชะครามนี่พิมยังไม่เคยกินไม่เคยลองเลยสักครั้งอ่ะค่ะ คือเห็นพี่ๆ น้องๆ ที่รู้จักกันเค้าซื้อมาทำกินกันหลายรอบแล้ว ต่างก็บอกว่าอร่อย แต่พิมไม่รู้จะไปหาชะครามมาจากไหน ถามใครก็ไม่ได้คำตอบ เลยไม่เคยได้ทานซะที จนกระทั่งวันนี้นี่แหละค่ะ ...... แถมพอได้ชิมครั้งแรก พิมถึงกับอยากจะยึดจานชะครามไว้กินคนเดียวเลยนะคะ >_< เพราะว่ามันอร่อยมาก เหมือนชะอมลวกราดกะทิข้น ๆ เพียงแต่ไม่มีกลิ่นฉุนกลิ่นเหม็นเเขียวอะไรเลยค่ะ ^_^
แล้วก็ปรากฎว่าเป็นโชคดีของพิมเน๊าะคะ เพื่อน ๆ ในโต๊ะ ไม่มีใครชอบทานชะคราม พิมเลยจัดการคนเดียวซะเกือบหมดจานอ่ะค่ะ >_< แถมส่วนที่เหลือๆ พิมก็ยังให้ทางร้านเอาใส่ถุงให้พิมกลับบ้านด้ายนะคะ ^^
และหลังจากกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อย (12.40 น.) ก็ถึงเวลานั่งคุยกันเพื่อย่อยอาหาร ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านที่ กทม กันล่ะค่ะ ซึ่งเรื่องที่เราคุยกันก็หนีไม่พ้นเรื่องในช่วงระหว่างวันสองวันนี้เนี่ยแหละนะคะ คือ แบบว่าอยากให้มันยาวๆ กว่านี้สักนิด เพราะดูแล้วสมุทรสงครามกับนครปฐมมีอะไรที่น่าสนใจอยู่มากมายเกินกว่าที่จะไปเที่ยวได้หมดในวันสองวันอ่ะค่ะ แถมที่สำคัญพอมาวันธรรมดาอย่างนี้ นักท่องเที่ยวก็ไม่ค่อยเยอะ ไปไหนมาไหนก็แบบชิวๆ สบายๆ เลยได้ความรู้สึกว่าได้เที่ยวและพักผ่อนจริง ๆ อ่ะค่ะ แต่ก็นั่นแหละเน๊าะคะ .... หากยาวไปก็คงไม่ค่อยดี เพราะเพื่อนร่วมทริปทุกคนต่างก็มีงานที่ต้องทำ มีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ เพราะงั้นทริปนี้เราเอาแค่นี้ล่ะกันค่ะ แล้ววันหลังถ้ามีเวลาอีก ค่อยมาจอยทริปกันใหม่ค่าา (แต่สำหรับพิม ถ้าเป็นเรื่องเที่ยวยาวๆ นี่ได้สบายเลยนะคะ แห๊ะๆ)
และก่อนกลับ .... หลังจากอิ่มท้องด้วยอาหารคาวเรียบร้อยแล้ว ก็ขอจบด้วยของหวานสักหน่อยค่ะ ที่ร้านนี้ไม่มีของหวานอะไรนอกจากไอศกรีมเจ้าดังยี่ห้อนึง ซึ่งโดยปกติพิมไม่ค่อยกินไอศกรีม แต่วันนี้ขอกิเพื่อปิดท้ายทริปสักวันนึงเน๊าะคะ ^_^
แล้วเจอกันใหม่ในทริปหน้าของพิมนะคะ รับรองสนุกและมีอะไรที่น่าสนใจไม่แพ้ทริปนี้แน่นอน ......... สวัสดีค่ะ ^_^
รีวิว :: เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ไปนอนเม้าท์กันที่อัมพวาดีกว่าค่ะ ตอนที่ 1 >> คลิ๊กที่นี่ได้เลยค่ะ <<
รีวิว :: เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ไปนอนเม้าท์กันที่อัมพวาดีกว่าค่ะ ตอนที่ 2 >> คลิ๊กที่นี่ได้เลยค่ะ <<
รีวิว :: เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ไปนอนเม้าท์กันที่อัมพวาดีกว่าค่ะ ตอนที่ 3 >> คลิ๊กที่นี่ได้เลยค่ะ << ตอนนี้อยู่ตรงนี้นะคะ ^_^
:: ขอบคุณ ::