ช่วงนี้แม่พิมไม่ค่อยสบาย กินอะไรไม่ค่อยได้ แต่เมื่อวานแม่บ่นอยากกินบัวลอย พิมก็เลยรีบจัดให้ล่ะค่ะ
พูดถึงบัวลอย .. ตอนสมัยเด็กๆ (ประถม) บ้านยายที่อยู่ข้างๆ บ้านพิม (มิใช่ยายแท้ๆ ของพิม) เค้าทำขนมไทยส่งตามสวนอาหาร ภัตตาคารค่ะ ขนมไทยที่ยายเค้าทำส่งก็มีมากมายเช่น ตะโก้ (อันนี้ขึ้นชื่อมาก) ลอดช่อง ขนมถ้วย ถั่วแปบ ปลากริมไขเต่า ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และขนมไทยอื่น ๆ อีกหลายอย่างรวมไปถึงบัวลอยด้วยอ่ะค่ะ
ตอนพิมยังเด็กๆ หลังจากเลิกเรียน พอกลับถึงบ้าน อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย ก็จะถูกแม่บังคับให้มานั่งปั้นบัวลอย (แม่ไปเป็นลูกมือยาย) ซึ่งตอนนั้นให้พิมปั้น พิมก็ปั้นนะคะ แต่ไม่ได้ปั้นเพราะชอบ แต่ปั้นเพราะแม่บังคับ >_< ไม่ทำจะถูกบ่น แต่นอกจากเรื่องปั้นแล้ว พิมก็ไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลยค่ะ ปั้นเสร็จก็ไปเล่นในน้ำในบ่อ ไม่ก็ดูโทรทัศน์ไปตามเรื่อง ฮ่าๆ
แต่ถึงไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรนอกจากเรื่องปั้น พิมก็พอจะทราบอยู่ว่าบัวลอยไข่หวานที่เค้าทำกันสมัยพิมยังเด็กๆ เค้าจะใช้น้ำตาลปี๊บในการทำน้ำกะทิของบัวลอยแต่เพียงอย่างเดียว ทำให้น้ำกะทิที่ได้มาออกเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ ซึ่งไม่ทราบว่าเพราะอะไรเหมือนกันนะคะ อาจจะเพราะรสชาติของน้ำตาลปี๊บที่มีความหวานแบบนุ่มนวล มันเหมาะกับขนมไทยประเภทนี้ก็เป็นได้ แต่บัวลอยแบบนี้เป็นบัวลอยในความทรงจำของพิมเลยอ่ะค่ะ
พอพิมโตขึ้นมา สักเรียน ป.ตรี ก็จะมีบัวลอยอีกประเภทนึงโผล่ขึ้นมา คือ บัวลอยกะทิสด ที่ใช้น้ำตาลทรายเพียงอย่างเดียว ทำให้น้ำกะทิบัวลอยมีสีขาวสวย น่าทานมาก แต่โดยส่วนตัวพิมไม่ค่อยชอบทานสักเท่าไหร่ พิมว่ารสชาติมันหวานแหลม ขาดความนุ่มนวล และก็ไม่หอมอ่ะค่ะ
วันนี้พิมก็เลยจะทำบัวลอยอีกหนึ่งสูตรมานำเสนอเพื่อนๆ เป็นบัวลอยที่มีวิธีการทำแบบสมัยก่อน แต่ว่าในขั้นตอนการทำน้ำกะทิจะเป็นแบบเมื่อก่อนผสมแบบใหม่ ทำให้ได้น้ำกะทิที่มีสีขาวสวย แต่ในขณะเดียวกันก็มีความหอม หวาน นุ่มนวล ไม่แพ้สูตรเก่าเลยอ่ะค่ะ ........ ลองไปดูกันเลยนะ ^_^
:: ส่วนผสมและเครื่องปรุง "แป้งบัวลอย - ฟักทอง" ::
- แป้งข้าวเหนียว 100 กรัม
- แป้งมัน 10 กรัม
- ฟักทองนึ่งสุก 125 กรัม (ใช้ฟักทองดิบที่ปอกเปลือก หั่นชิ้นแล้ว 150 กรัม)
- น้ำลอยดอกมะลิ 1/4 ถ้วยตวง
:: ส่วนผสมและเครื่องปรุง "แป้งบัวลอย - เผือก" ::
- แป้งข้าวเหนียว 100 กรัม
- แป้งมัน 10 กรัม
- เผือกนึ่งสุก 140 กรัม (ใช้เผือกดิบที่ปอกเปลือก หั่นชิ้นแล้ว 150 กรัม)
- น้ำ 1/3 ถ้วยตวง กับอีกประมาณ 1 ชต.
:: ส่วนผสมและเครื่องปรุง "แป้งบัวลอย - ใบเตย" ::
- แป้งข้าวเหนียว 100 กรัม
- แป้งมัน 10 กรัม
- น้ำใบเตยคั้นแบบเข้มข้น 4 ชต.
- น้ำเปล่า 3 ชต.
:: ส่วนผสมและเครื่องปรุง "แป้งบัวลอย - สีชมพู" (แบบใช้สีผสมอาหาร) ::
- แป้งข้าวเหนียว 100 กรัม
- แป้งมัน 10 กรัม
- สีผสมอาหารสีชมพู 3-4 หยด (แล้วแต่ความเข้มที่ชอบ)
- น้ำเปล่า 7 ชต.
:: ส่วนผสมและเครื่องปรุง "น้ำกะทิ" ::
- กะทิ 8 ถ้วย หรือ หางกะทิ 6 ถ้วย + หัวกะทิ 2 ถ้วย
- น้ำตาลปี๊บ 200 กรัม
- น้ำตาลทราย 320 กรัม
- เกลือป่น 1/2 ชต.
- มะพร้าวอ่อนหั่นชิ้นพอคำ 400 กรัม
- ไข่ไก่ 10 ฟอง (หรือแล้วแต่จะทาน)
- ใบเตยหอมล้างสะอาด มัดให้เรียบร้อย 4-5 ใบใหญ่
เพิ่มเติม :: บัวลอยตามสูตรด้านบน เมื่อปั้นเสร็จแล้วจะได้เม็ดบัวลอยน้ำหนักประมาณ 900 กว่ากรัม แต่พิมจะแบ่งนำมาลวกใส่น้ำกะทิแค่ครึ่งนึง (อีกครึ่งนึงเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อทำกินในวันอื่นได้ประมาณ 2-3 วัน) เพราะงั้นตามวิธีทำด้านล่าง ก็จะเห็นว่าพิมทำน้ำกะทิแค่เพียงครึ่งสูตรจากสูตรด้านบนนะคะ ^_^
:: วิธีทำ ::
ก่อนอื่นพิมบอกก่อนนะคะว่า ถ้านวดแป้งตามด้านบนทั้ง 4 แบบ เมื่อปั้นเป็นเม็ดบัวลอยแล้วเนี่ย จะได้น้ำหนักประมาณ 900 กว่ากรัม ซึ่งค่อนข้างเยอะพอควร ถ้าดูจากที่พิมเคยไปซื้อเค้าทาน ถ้วยละ 15 บาท (ไม่ใส่ไข่) อันนี้น่าจะได้สักประมาณ 20 กว่าถ้วยได้อ่ะค่ะ ยังไงหากไม่ได้จะทานเยอะกันขนาดนั้น ก็ลดปริมาณลงตามสัดส่วนด้านบนนะคะ
เริ่มแรกเราก็มานวดแป้งกันก่อนเลยค่ะ สำหรับวันนี้เนี่ย พิมจะทำแป้งทั้งหมด 4 สี คือ สีเขียว ขาว เหลือง และก็ชมพู โดยสีเหลืองมีส่วนผสมของฟักทอง สีเขียวก็น้ำใบเตย สีขาวก็เผือก ส่วนสีชมพูพิมใช้สีผสมอาหารหยดลงไปนิดหน่อยนะคะ จริง ๆ อยากได้สีม่วงกะสีฟ้าด้วย แต่ไม่ได้เดินไปเก็บดอกอัญชัน ก็เลยไม่ได้ทำอ่ะค่ะ ^__^
แป้งสีแรกที่พิมจะทำก็คือแป้งสีเหลืองนะคะ ก็ให้เราผสมแป้งทั้งสองอย่าง ฟักทองนึ่งสุก (จะบดก่อนหรือไม่ก็ได้) น้ำเปล่า (ใส่ลงไปสัก 2 ชต. ก่อน) แล้วค่อยๆ ขยำๆๆ จนฟักทองเละ และนวดแป้งให้เข้ากับฟักทอง หากแป้งแห้งไป ก็เติมน้ำเปล่าได้นะคะ ค่อย ๆ เติมทีละ 1 ชต. (เพราะเราใช้แป้งข้าวเหนียวไม่เยอะ) แล้วก็สลับกับการนวด จนแป้งหมด น้ำหมด เราก็จะได้แป้งที่เป็นก้อนๆ ประมาณในภาพด้านล่างนะคะ
แต่ ........ ถ้าน้ำหมดแล้ว แต่ยังไม่สามารถนวดแป้งให้เข้ากับฟักทองได้ ยังมีความรู้สึกว่าแป้งแห้ง ไม่นุ่ม ให้เติมน้ำไปได้ทีละ 1 ชช. แล้วก็นวด จนแป้งนิ่ม สามารถปั้นเป็นเม็ดเล็กเท่าปลายนิ้วก้อยได้ก็ใช้ได้ ระวังอย่าเติมเยอะไป แป้งอาจจะแฉะมาก ถ้าแป้งแฉะเกิน ปั้นแล้วติดมือให้ใส่แป้งข้าวเหนียวลงไปทีละสัก 1/2 ชต. นะคะ ^_^
เพิ่มเติม :: วีธีนึ่งฟักทองของพิมคือ ปอกเปลือกฟักทอง เอาไส้เอาเม็ดออก หั่นชิ้นประมาณ 1/2 * 1/2 นิ้ว แล้วนำไปนึ่งบนน้ำเดือดจัด ประมาณ 15 นาทีค่ะ
เพิ่มเติม :: หลังจากนวดเสร็จ พักแป้งไว้ในกาละมัง (รอนวดแป้งสีอื่น) ให้เราหาผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาด คลุมแป้งไว้นะคะ หรือไม่ก็ปิดปากกาละมังด้วยฟิล์มใสเลยอ่ะค่ะ
ต่อมาเราก็มานวดแป้งสีขาวที่มีส่วนผสมของเผือกกันต่อนะคะ ซึ่งวิธีการนวดก็แบบเดียวกับการนวดแป้งที่ผสมฟักทองเลยอ่ะค่ะ มิแตกต่างกันแต่ประการใด ^_^ แต่แป้งที่ผสมเผือกนี่ จะใช้น้ำมากกว่าแป้งที่ผสมฟักทองนิดหน่อยนะคะ
เพิ่มเติม :: ถ้าอยากให้สีสวยเป็นสีม่วงอ่อน ๆ ก็เหยาะสีผสมอาหารสีม่วงลงไปนิดหน่อย
ต่อมาก็มานวดแป้งสีเขียว หรือแป้งที่ผสมน้ำใบเตยกันค่ะ วิธีทำก็ไม่ยากเลย แค่เราผสมแป้งสองอย่าง น้ำใบเตย และน้ำเปล่ารวมกัน (ค่อยๆ ทยอยใส่น้ำเปล่าเหมือนเดิมนะ) แล้วนวดให้เข้ากันจนแป้งนุ่ม ไม่ติดมือ ไม่เละเกิน ปั้นเป็นเม็ดบัวลอยได้ .. ก็ใช้ได้ล่ะค่ะ
ส่วนแป้งสีชมพูก็ทำเหมือนแป้งสีเขียวนะคะ เพียงแต่ให้เราใช้สีผสมอาหาร (สีแดง) ลงไปบนแป้งแทนน้ำใบเตยสัก 2-3 หยด หรือตามความเข้มของสีแป้งที่ชอบเท่านั้นเองค่ะ
อย่าลืม .... ย้ำๆ ...... นวดแป้งทุกอย่างเสร็จแล้ว อย่าลืมคลุมด้วยผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาด หรือไม่ก็ปิดปากกาละมังด้วยฟิล์มใสนะคะ ไม่งั้นแป้งที่เรานวดไว้จะแห้ง ปั้นแล้วแตก ต้องมานวดใหม่อ่ะค่ะ
จากนั้นเราก็จะมาทำการปั้นเม็ดบัวลอยล่ะค่ะ วิธีปั้นก็ง่ายมาก บางคนถนัดหยิบแป้งมาทีละนิด แล้วปั้นด้วยนิ้วชี้กะนิ้วโป้ง (ข้างที่ถนัด) ให้เป็นเม็ดกลมๆ ขนาดปลายนิ้วก้อย ..... หรือบางคนอาจจะถนัดปั้นแป้งเป็นเส้นยาว+ให้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบๆ 1 ซม. ก่อน แล้วค่อยเด็ดแป้งจากเส้นยาวออกมาทีละนิด เพื่อปั้นเป็นก้อนกลม ........ หรือบางคนอาจจะใช้วิธีปั้นเป็นเส้นยาว วางกับโต๊ะ แล้วใช้ที่ตัดแป้ง ตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ประมาณ๖ปลายนิ้วก้อย จากนั้นก็เอาฝ่ามือ (คว่ำ) คลึงเม็ดแป้งทีละ 10-20 ชิ้น ให้กลายเป็นเม็ดกลม ........ ก็ตามแต่สะดวกของแต่ละคนเลยนะคะ ใครถนัดวิธีไหนก็ใช้วิธีนั้น ส่วนพิมจะถนัดวิธีที่สองอ่ะค่ะ
แต่ที่สำคัญไม่ว่าจะปั้นแป้งด้วยวิธีไหน เมื่อเอาแป้งบัวลอยที่ปั้นกลมๆ แล้วใส่ถาด อย่าลืมโรยด้วยแป้งนวล (แป้งนวลคือแป้งชนิดเดียวกับที่เราใช้ทำขนม หรือชนิดที่ใช้เยอะสุด ซึ่งวันนี้คือแป้งข้าวเหนียว) ให้ทั่ว ๆ เม็ดแป้ง เพื่อไม่ให้เม็ดแป้งติดกันนะคะ
พอปั้นเสร็จ ก็คลุมด้วยผ้าขาวบางชุบน้ำบิดหมาดไว้อย่างเดิมค่ะ หรือถ้าจะปั้นไว้ใช้วันอื่น ก็ไม่ต้องคลุมนะคะ พักตากลมให้พอหมาด ๆ ก็เอาใส่ถุงมัดปาก ใส่ตู้เย็นไว้เลยค่ะ
ต่อมาเราก็จะมาทำน้ำกะทิกันนะคะ (พิมทำน้ำกะทิแค่ครึ่งสูตรด้านบน) ก็เทกะทิใส่หม้อใบย่อมๆ ไปสัก 6 ถ้วย ตามด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย เกลือป่น ตามด้วยใบเตย (แต่วันนี้พิมหาใบเตยไม่ได้ค่ะ - -") คนด้วยทัพพีให้พอเข้ากันก่อน แล้วก็นำไปตั้งบนเตาไฟ ใช้ไฟกลางค่อนมาทางอ่อน รอจนเดือดและน้ำตาลละลายหมด ก็ลองตักขึ้นมาชิมรสตามชอบค่ะ หากอยากเพิ่มหวานก็เติมน้ำตาลเพิ่มได้ ถ้าเติมน้ำตาลปี๊บจะหวานนุ่มนวล-สีกะทิจะตุ่น ๆ แต่ถ้าเติมน้ำตาลทรายจะรสหวานแหลม-สีขาวสวย ก็เลือกเติมเพิ่มเอาได้ตามใจชอบนะคะ
จากนั้นก็ให้เราตอกไข่ใส่ถ้วย (เราจะทำไข่หวานกันก่อน แต่ถ้าใครไม่กินไข่ก็ข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลย) แล้วค่อยๆ เทใส่ลงไปในหม้อน้ำกะทินะคะ ทิ้งระยะเวลาสักแป๊บนึง ไข่ก็จะเริ่มสุก แต่จะให้สุกมากน้อยแค่ไหนก็ตามชอบเลย แล้วพอสุกก็ตักขึ้นใส่ถ้วยไว้ก่อนนะคะ
ในส่วนของไข่เนี่ย เพื่อนๆ จะทานกี่ฟองก็ทำตามที่ชอบเลยนะคะ จะทานฟองเดียวก็ทำฟองเดียว จะทานสัก 5 ฟองก็ทำ 5 ฟองได้อ่ะค่ะ ^_^
ส่วนพิมทำแค่ 4 ฟอง เพราะมีคนกินไข่แค่ 4 คน ก็จะได้ไข่หวานออกมาหน้าตาประมาณนี้ค่ะ .. (พักไว้ก่อน)
หันมาตั้งหม้อที่ใส่น้ำเปล่าประมาณ 1/2 หม้อบนเตาไฟ ใช้ไฟกลางนะคะ พอน้ำเดือดจัด เราก็เทเม็ดบัวลอยที่เราปั้นไว้ลงไปเลยค่ะ (แนะนำว่าให้เขย่าเอาแป้งนวลส่วนเกินออกไปบ้างก่อนจะเทลงหม้อ ไม่งั้นน้ำจะขุ่นแบบในภาพล่าง เพราะพิมลืมอ่ะ >_<) แล้วก็ทิ้งระยะเวลาสัก 1 นาที เอาทัพพีคนก้นหม้อเบาๆ เพื่อไม่ให้เม็ดแป้งติดก้นหม้อ จากนั้นก็รอให้เม็ดแป้งสุก คือเมื่อเม็ดแป้งเริ่มสุก ก็จะค่อย ๆ ลอยจากก้นหม้อขึ้นมาด้านบน เราก็ปล่อยให้ลอยสัก 30 วินาที แล้วก็เอาทัพพีโปร่ง หรือกระชอนตาถี่ (ที่มีรู) ช้อนเฉพาะเม็ดบัวลอยขึ้นมา แล้วนำไปล้างในน้ำเย็น 1 ครั้ง
ใส่ลงในหม้อน้ำกะทิ ราดด้วยหัวกะทิที่เหลืออีก 2 ถ้วย แล้วตั้งหม้อบนเตาไฟอีกครั้ง ใช้ไฟกลาง คนเป็นระยะจนกะทิร้อน + เดือดเบาๆ ก็ใส่มะพร้าวอ่อนลงไป คนพอเข้ากัน ใส่ไข่หวานที่ทำไว้ตามลงไป (แต่ในภาพ พิมลืมใส่) ....... เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ปิดไฟเตาได้เลยค่ะ
เพิ่มเติม :: แนะนำว่าควรหั่นมะพร้าวให้มีขนาดชิ้นใหญ่กว่าในภาพด้านล่างของพิม อย่างน้อยก็กว้างสัก 1 ซม. เพราะเวลาเคี้ยวจะได้รู้สึกถึงความเป็นมะพร้าวอ่อนเยอะๆ แต่เผอิญว่าพิมมีมะพร้าวอ่อนที่หั่นแล้วเหลืออยู่จากการทำหน้าเค้ก ก็เลยนำมาใช้ ไม่ได้แคะมาจากลูกใหม่ๆ อ่ะค่ะ
ถึงเวลาเสริฟ ... ก็ตักใส่ถ้วยเล็กๆ น่ารักๆ ใส่เม็ดบัวลอยไปสัก 1 ทัพพี หรือมากน้อยกว่านี้ตามชอบ ใส่ไข่หวาน 1 ฟอง ตามด้วยน้ำกะทิพอประมาณ ..... เท่านี้เราก็จะได้บัวลอยไข่หวานสูตรที่ทั้งหอม ทั้งหวาน (ไม่มาก) แป้งบัวลอยนุ่ม และมีมะพร้าวอ่อนให้เคี้ยวเพลินๆ แล้วอ่ะค่ะ ^_^
แต่ต้องบอกย้ำกันนิดว่า สูตรนี้ไมใช่สูตรโบราณ-สมัยพิมยังเด็กๆ นะคะ เป็นสูตรที่พิมผสมระหว่างบัวลอยสูตรโบราณ (สูตรน้ำตาลปี๊บล้วน) กับบัวลอยสูตรสมัยใหม่ (สูตรกะทิสด) รสชาติจะนุ่มนวล แต่รสไม่หนามาก ทานได้เรื่อยๆ (อันนี้อันตรายสุดๆ - -") ที่สำคัญเป็นสูตรที่พิมภูมิใจนำเสนอมาก เพราะเป็นสูตรที่ทำให้แม่กินเป็นคนแรก แล้วแม่ก็ถามถึงรายละเอียดการทำมากมาย พร้อมจบลงด้วยคำพูดที่ว่า "แม่ว่าอร่อยอ่ะ น่าทำขายเน๊อะ" ........ ^_^
ยังไงไปลองทำกันดูนะคะ ติดขัดตรงไหนก็มาถามกันได้ค่ะ แล้วพบกับเมนูอร่อยๆ จากพิมใหม่นะคะ สวัสดีค่ะ