หลังจากเมื่อวานนี้เราเดินทางออกจากกรุงเทพฯ บินมาลงขอนแก่น ขับรถมาบุรีรัมย์ ตระเวนกินไป 2 ตลาด แล้วก็กลับเข้าที่พัก สลบสลบกันตั้งแต่ 3-4 ทุ่ม ... เช้านี้เราก็เลยตื่นมาพร้อมกับความสดใส และกำลังที่พร้อมจะลุยเที่ยวต่อล่ะค่า
เช้าวันนี้พิมและเพื่อนร่วมแก๊งค์ วางแผนกันไว้ว่าเราจะไปเติมพลังตอนเช้าด้วยก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นมิตรมงคลอ่ะค่ะ แต่ว่าระหว่างทางขับผ่านอนุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่ตั้งอยู่ตรงวงเวียนถนนวงแหวนรอบเมืองบุรีรัมย์ ก็ขอจอดรถสักการะท่านเป็นการเอาฤกษ์เอาชัยกันหน่อยค่ะ ^_^
พอสักการะเสร็จ พวกเราก็ไปต่อกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นมิตรมงคลตามที่เราแพลนเอาไว้ ซึ่งร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนี้จะอยู่ข้างๆ กับโรงแรมแกรนด์ที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟนะคะ หรือเอาง่ายๆ ก็เยื้องกับร้านกวางเจา ร้านขายข้าวหมูแดงชื่อดังของเมืองบุรีรัมย์ (ที่พวกเราจะมากินในวันพรุ่งนี้) อ่ะค่ะ
ซึ่งที่ร้านนี้เค้าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อทั้งหมดเลยนะคะ ไม่มีหมู แต่จะมีทั้งเนื้อเปื่อย เนื้อสด ลูกชิ้นเนื้อ หลายอย่างให้เราได้เลือกสั่ง แถมราคาก็ไม่สูงนัก ชามละ 40-45 เรียกว่าโอเคเลยอ่ะค่ะ
แต่คนที่คาดหวังจะกินเนื้อเปื่อยนุ่ม ๆ ชนิดไม่ต้องเคี้ยวก็กลืนเลงคอไปได้เลย อาจจะต้องผิดหวังนิดนึงนะคะ เพราะว่าเนื้อเปื่อยของที่นี่จะตุ๋นแบบไม่เปื่อยมาก ส่วนน้ำซุปก็จะเป็นแบบใส ๆ กลิ่นเครื่องเทศไม่แรงมากนัก เรียกได้ว่าเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นที่รสเบาๆ เหมาะเป็นอาหารเช้าหรืออาหารกลางวันดีอ่ะค่ะ
และนอกจากก๋วยเตี๋ยวแล้ว ร้านนี้เค้าก็ยังมีชาดำเย็น โอเลี้ยงแบบร้านชงเองด้วยนะคะ สนนราคาก็แก้วละ 10 บาทเท่านั้น แถมไม่หวานมาก และมีความเข้มข้นของชา กาแฟอยู่เต็ม .... ถูกใจพิมมากเลยค่ะ ^_^
อิ่มจากก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ได้ฤกษ์เดินทางกันต่อล่ะนะคะ ^_^ ...... วันนี้เรามีแผนว่าจะไปเที่ยวที่ "เพ ลาเพลิน บูติค รีสอร์ท แอนด์ แอดเวนเจอร์แคมป์” ซึ่งอยู่ที่อำเภอคูเมือง หรือห่างจากตัวเมืองไปทางทิศเหนือประมาณ 30 กว่า กม. เท่านั้นเองค่ะ
"เพ ลา เพลิน บูติค รีสอร์ท แอนด์ แอดเวนเจอร์แคมป์” เป็นแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อน ทำกิจกรรม และเรียนรู้ สำหรับผู้คนทุกเพศทุกวัยเลยนะคะ ตอนที่พิมรู้ว่าตัวเองจะต้องมาบุรีรัมย์ และยังไม่รู้ว่าจะไปไหนบ้างเนี่ย พิมก็ไป search ใน google ว่าสถานที่ไหนในบุรีรัมย์ที่น่าสนใจ ก็มี "เพ ลา เพลิน" นี่แหละค่ะที่ขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ เลย
"เพ ลา เพลิน" เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี 2556 หรือเมื่อประมาณปีกว่าๆ ที่ผ่านมานี่เองนะคะ .... "เพ ลา เพลิน" นอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบแอดเวนเจอร์แคมป์แล้ว ก็ยังมีอุทยานไม้ดอก มีศูนย์การเรียนรู้ทางด้านการเกษร ปศุสัตว์ และก็ยังมีในส่วนของที่พักอีกด้วยอ่ะค่ะ
"เพ ลา เพลิน" ประกอบไปด้วยพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 300 ไร่ และแบ่งออกเป็น 3 ส่วนนะคะ ซึ่งส่วนแรกก็คือส่วน เพ ลา เพลิน บูติค รีสอร์ท แอนด์แอดเวนเจอร์แคมป์ (ชื่อย๊าวววยาววว ^^") เป็นส่วนแรกเลยที่เราจะเจอหลังจากที่เราเดินออกมาจากอาคารซื้อตั๋วแล้วอ่ะค่ะ
ที่ส่วนนี้เนี่ยเค้าก็จะแบ่งออกเป็น 3 โซนย่อยนะคะ ^_^ โซนแรกจะเป็นโซน "กาลครั้งนึงแกลอรี่" เป็นแกลอรีที่รวบรวมของเก่าๆ มากมายหลายประเภทเลยอ่ะค่ะ เช่น ตาชั่ง นาฬิกา ตะเกียง จานชาม หนังสือ เครื่องดนตรี วิทยุ เชี่ยนหมาก พัดลม เครื่องดนตรี เรือ เกวียน และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเท่าที่พิมถามคุณชิมิ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของ เพ ลา เพลิน ที่คอยให้ข้อมูลกับพวกเรา เค้าก็บอกว่าของทุกชิ้นที่อยู่ในนี้แต่ละชิ้นอายุหลายสิบปี และบางชิ้นอายุเกิน 100 ปีก็มีนะคะ
ถัดจากโซนกาลครั้งนึงแกลอรี่ ระหว่างทางเดินไปโซนที่ 2 เราก็จะเจอกับฟาร์มแกะและฟาร์มม้าแคระตัวเล็กๆ นะคะ ซึ่งที่เพ ลา เพลิน เค้าก็เลี้ยงแกะไว้มากมายเลยอ่ะค่ะ นับด้วยสายตานี่น่าจะเกิน 40 ตัว แถมแกะแต่ละตัวเค้าก็มีชื่อประจำตัวด้วยนะคะ ที่สำคัญพี่คนเลี้ยงเค้าจำชื่อแกะได้ทุกตัวเลยค่ะ เวลาแกะตัวไหนแย่งหญ้าแกะตัวอื่น หรือว่าแกะตัวไหนมีทะเลาะกัน พี่เค้าก็จะเรียกชื่อแกะตัวนั้นดัง ๆ แล้วแกะก็จะทำท่าเหมือนผละออกจากกันอะไรประมาณนี้ แบบว่าอเมซซิ่งมากๆ เลยค่ะ ^_^
แล้วนอกจากฟาร์มแกะ ฟาร์มม้าแคระแล้ว ถัดมาก็จะมี Backdrop หรือฉากที่ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรุปแบบสวยๆ งามๆ กันด้วยนะคะ ซึ่งตรงจุดนี้เนี่ยน้องพัช น้องร่วมทริปของพิมก็น่ารักมากเลยค่ะ คอยเป็นแบบให้พี่ ๆ ได้ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานเลย ^_^
และในโซนถัดมา ก็จะเป็นโซนกิจกรรมผจญภัยนะคะ ที่โซนนี้เนี่ยทาง เพ ลา เพลิน เค้าได้จำลองสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์และสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงของโลก เช่น หอเอนปิซ่า กำแพงเมืองจีน ฯ มาให้นักท่องเที่ยว หรือเยาวชนคนที่อยากจะเรียนรู้ได้ฝึกกิจกรรมผจญภัยกันอ่ะค่ะ เช่น กิจกรรมปีนหน้าผาจำลอง กิจกรรมโรยตัว กิจกรรมเดินข้ามลำน้ำด้วยการไต่เชือก กิจกรรมปีนตาข่ายใยแยงมุม กิจกรรมวิ่งเหนือน้ำบนแผ่นโฟม ซึ่งหากใครอยากจะเล่นกิจกรรมเหล่านี้ ก็สามารถติดต่อทางเพลาเพลินได้เลยนะคะ (เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม) ซึ่งทาง เพ ลา เพลิน เค้าก็จะมีเจ้าหน้าที่มาคอยดูแลอย่างใกล้ชิดเลยอ่ะค่ะ
(4 ภาพด้านบนจากคุณอ๋อง Go Travel Photo)
จบไปในส่วนแรก ถัดมาก็จะเป็นส่วนที่ 2 ซึ่งก็คือ ส่วนของอุทยานไม้ดอก เพ ลา เพลิน นะคะ แต่เนื่องจากว่าส่วนนี้เนี่ย เป็นส่วนของการจัดแสดงพันธุ์ไม้ ซึ่งมีหลายโรงเรือนมาก พวกเราคิดว่าพวกเราน่าจะใช้เวลาในการเดินดูนาน แล้วตอนนั้นเวลาก็ปาเข้าไป 11 โมงกว่าแล้ว ก็เลยขอข้ามส่วนที่ 2 ไปดูในส่วนที่ 3 กันก่อนอ่ะค่ะ ซึ่งส่วนที่ 3 ก็จะเป็นในส่วนของศูนย์การเรียนรู้ทางด้านการเกษตรนะคะ ^_^
ในส่วนของศูนย์เรียนรู้ด้านการเกษตรเนี่ย มีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง น่าจะเรียกว่ากินพื้นที่เยอะสุดใน เพ ลา เพลินแล้วอ่ะค่ะ เพราะงั้นเดินชมให้เวลาทั้งวันคงไม่ทั่ว -*- เพราะงั้นคุณชิมิ ก็เลยอาสาพาเราขึ้นรถกอล์ฟ และก็ขับรถพาเราชมไปโดยรอบ ๆ อ่ะค่ะ ซึ่งในส่วนของศูนย์การเรียนรู้เนี่ย ทาง เพ ลา เพลิน เค้าก็ได้ปลูกต้นไม้ไว้หลากหลายชนิดนะคะ เช่น องุ่น เสาวรส หม่อน สตรอเบอรี่ อโวคาโด แถมเป็นการปลูกแบบออแกนิคอีกต่างหากค่ะ ผลผลิตที่ได้ก็นำออกมาจำหน่ายบ้างก็นำออกมาจำหน่ายแบบสด ๆ บ้างก็นำไปแปรรูปนะคะ นอกจากการปลูกแล้ว ที่นี่เค้ายังมีโรงเรือนอนุบาลพันธุ์ไม้ต่างๆ อีกด้วยค่ะ และถ้าใครจะอยากจะมาท่องเที่ยวแบบเรียนรู้ ทาง เพ ลา เพลิน เค้าก็ได้จัดแบ่งฐานการเรียนรู้ไว้หลายฐานมากๆ รับรองว่าใครที่ได้มาเรียน จะเข้าใจวิถีชีวิตของเกษตรกรได้อย่างไม่ยากเลยอ่ะค่ะ
จบจากในส่วนที่ 3 พวกเราก็เริ่มหิวข้าวกันแล้วล่ะนะคะ >_< เพราะตอนนั้นปาไปเที่ยงจะครึ่งแล้ว พวกเราก็เลยขอพักเบรคไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า ซึ่งมื้อนี้พวกเราก็ไม่ขออะไรแบบยุ่งยากค่ะ ลาบหมู ผัดกะเพรา แกงจืด ไก่ทอด และข้าวเปล่าอีก 4 จาน กินไป เม้าท์กันไป ยิงมุขตลกกันไป ..... เท่านี้ก็โอเคแล้วค่ะ ^_^
จบจากมื้อกลางวัน พวกเราก็เริ่มลุยกันต่อในส่วนที่ 2 หรือที่เรียกว่าส่วนของอุทยานไม้ดก เพ ลา เพลิน กันต่อนะคะ ... ซึ่งในส่วนนี้เนี่ยก็จะมีห้องจัดแสดงนิทรรศการ 1 ห้อง และโรงเรือนสำหรับแสดงพันธุ์ไม้อีก 6 โรงเรือนอ่ะค่ะ
ในส่วนของห้องจัดแสดงนิทรรศการ โดยปกติก็จะมีการจัดนิทรรศการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเรื่อยเน๊าะคะ ซึ่งในช่วงที่พิมไปเนี่ยจะเป็นนิทรรศการเกี่ยวกับสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชนีค่ะ และในห้องนี้ นอกจากการจัดแสดงนิทรรศการแล้ว ก็ยังมีการจัดแสดงเก๋งจีนโบราณที่ทำจากหยกทั้งคัน การจัดแสดงภาพแกะสลักจากหยก และมีการจัดแสดงผ้าไหมยกทองแบบโบราณ ที่ราคาถึงเมตรละ 1 แสนบาทอยู่ด้วยนะคะ ^_^
ถัดจากห้องแสดงนิทรรศการ ก็จะเป็นโรงเรือนแสดงพันธุ์ไม้โรงเรืยนที่ 1 ค่ะ ซึ่งโรงเรือนนี้จะเป็นโรงเรือนที่แสดงพันธุ์ไม้ตามฤดูกาล ผลัดเปลี่ยนกันไปทุก 3 เดือนนะคะ กันยา-พฤศจิกาจะเป็นดอกไฮเดรนเยีย ธันวา-มกราจะเป็นทิวลิปสายพันธุ์ฮอลแลนด์ กุมภา-เมษา จะเป็นดอกลิลลี่ และพฤษภา-กรกฎา (ช่วงที่พิมไป) จะเป็นดอกกระเจียวอ่ะค่ะ
ถัดมาในโรงเรือนที่ 2 ก็จะเป็นโรงเรือนในคอนเซปโลกดึกดำบรรพ์ค่ะ ในโซนนี้เค้าก็จะจำลองบรรยากาศของป่าดึกดำบรรพ์ยุคไดโนเสาร์มาไว้นะคะ มีทั้งเฟิร์นหลากหลายสายพันธุ์ มีทั้งรูปปั้นไดโนเสาร์ตัวใหญ่มากกก มีทั้งไม้ที่กลายเป็นหิน (ที่เค้าว่ามีอยู่มากมายในอำเภอคูเมืองของบุรีรัมย์) และมีทั้งเห็ดพ่นควันได้ด้วยอ่ะค่ะ ซึ่งอันหลังนี่เป็นที่ตืนตาตื่นใจของพิม คุณสามี น้องพัช และคุณอ๋อง มากก.ก.ก.ก..ก พยายามจะถ่ายรูปตอนที่เห็ดพ่นควันปุ๋ย ๆ เหมือนคนที่สูบบุหรี่แล้วพ่นควัน ...... มาฝากเพื่อนๆ แต่ถ่ายมาหลายสิบรูป ไม่ติดควันสักรูปเลยค่ะ เพราะงั้นเพื่อน ๆ คนไหนที่ไปเที่ยวบุรีรัมย์และแวะไปที่เพ ลา เพลิน ลองแวะไปดูของจริงนะคะ จะอเมซซิ่งมากเลยค่า ^_^
ถัดมาในโรงเรือนที่ 3 ก็จะเป็นโรงเรือนสีสันแห่งธรรมชาตินะคะ ที่โรงเรือนนี้เนี่ยเค้าก็จะมีการจัดแสงสับปะรดสีมากมายหลายพันธุ์จากหลายประเทศเลยอ่ะค่ะ เท่าที่พิมจำได้ก็เช่นเปรู บราซิล เม็กซิโก ชิลี แล้วก็ยังมีต้นไม้กินแมลงหลากหลายชนิดด้วยนะคะ
ต่อมาในโรงเรือนที่ 4 ก็จะเป็นโรงเรือนที่ชื่อว่า อาคารกินรี ที่โรงเรือนนี้เนี่ยเค้าก็จะมีการจัดแสดงกล้วยไม้ป่าที่หายากหลากหลายสายพันธุ์เลยอ่ะค่ะ แถมแต่ละพันธุ์แต่ละกอก็แลดูอุดมสมบูรณ์มากเหมือนอยู่ในป่าจริง ๆ นะคะ ซึ่งเมื่อก่อนนี้เนี่ย สัก 7-8 ปีที่แล้ว พิมเป็นคนที่ชอบกล้วยไม้ป่ามากๆ ในสวนผลไม้ที่บ้านพิมที่จันทบุรี จะมีกล้วยไม้ป่าขึ้นตามต้นทุเรียนต้นเงาะมากมาย พิมก็แอบไปแซะๆ กลับมาเลี้ยงที่บ้านที่กรุงเทพฯ บ้าง แต่ว่าหลังจากลองเลี้ยงแบบไม่จริงจังอยู่ 2-3 ปี ปรากฎว่าเลี้ยงเค้าได้ไม่งามเท่าตอนที่เค้าอยู่ในป่า หรือบางทีต้นงามมาก แต่ดอกไม่ออกเลยก็มี ก็เลยเอากลับไปคืนไว้ที่บ้านสวนเหมือนเดิมอ่ะค่ะ แต่ว่าความชอบความรักในกล้วยไม้ป่าของพิมก็ยังคงมีอยู่นะคะ เพราะงั้นพอพิมมาเจอกล้วยไม้ป่างาม ๆ จากที่นี่แล้ว ก็เลยอดตื่นตาตื่นใจ และประทับใจในการดูแลเอาใจใส่ของคนที่นี่ไม่ได้อ่ะค่ะ ^_^
ถัดมาในโรงเรือนที่ 5 (ใกล้จะครบแหละ) ก็จะเป็นโรงเรือนที่มีลักษณเะเหมือนทะเลทรายนะคะ เพราะที่โรงเรือนนี้เนี่ยเค้าเป็นโรงเรือนที่ไว้จัดแสดงเกี่ยวกับกระบองเพชร และที่เน้น ๆ คือกระบองเพชรสี ซึ่งปกติจะค่อนข้างพบเจอได้ไม่บ่อยนักอ่ะค่ะ โดยกระบองเพชรพันธุ์นี้เนี่ย จะเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ตามอายุนะคะ เท่าที่พิมถามคุณชิมิ (เจ้าหน้าที่เสื้อชมพูในภาพบนๆ) เค้าบอกว่าตอนแรก ๆ สมัยยังเอ๊าะ ๆ จะเป็นสีโทนอ่อน เช่น เหลืองอ่อน ส้มอ่อน ชมพูอ่อน แต่พออายุมากขึ้นเรื่อยๆ สีก็จะเข้มมากขึ้น จนในที่สุดจากชมพู่อ่อนก็อาจจะกลายเป็นสีม่วง จากส้มอ่อน อาจจะเข้มจนเหมือนจะเป็นสีแดงอะไรทำนองนี้อ่ะค่ะ ^_^
และในโรงเรือนสุดท้าย คือโรงเรือนที่จัดแสดงต้นไม้และศิลปะของภาคอิสานใต้นะคะ ซึ่งในโรงเรือนนี้เนี่ยเค้าก็จะจัดแสดงวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบคนอิสานใต้ไว้ให้เราชมอ่ะค่ะ และก็มีการจัดแสดงอุปกรณ์ที่ใช้ในการเตรียมเส้นไหมสำหรับจะใช้ทอผ้าไหมในสมัยโบราณด้วยนะคะ
และเมื่อเดินออกมานอกโรงเรือนสุดท้าย ก่อนจะกลับไปยังจุดจอดรถ เราก็จะต้องเดินผ่านต้นไม้ต้นนี้ที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นไม้คุณยายอ่ะค่ะ เพราะต้นไม้ต้นนี้ (และอีกต้น ที่อยู่ในโรงเรือนที่ 4) มีอายุกว่า 200-300 ปี หรือเรียกได้ว่ามีมาตั้งแต่ก่อนเพลาเพลินจะสร้างนับร้อย ๆ ปีซะด้วยนะคะ เพราะงั้นทางเพ ลา เพลิน ก็เลยอนุรักษ์ต้นไม้ 2 ต้นนี้ไว้ ไม่ตัดทิ้ง แต่ว่าสร้างอาคารและปลูกต้นไม้ล้อมรอบแทน เพื่อให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ชมความยิ่งใหญ่ของต้นไม้ทั้ง 2 ต้นนี้อ่ะค่ะ
แล้วหลังจากที่เราเดินชมต้นไม้กันมาเป็นเวลาหลาย ชม. ท้องของพิมและเพื่อนร่วมทริปก็เริ่มร้องกันอีกแล้วค่ะ T__T มื้อเย็นนี้พวกเราก็เลยขอฝากท้องไว้ที่ เพ ลา เพลิน นี่ซะเลยนะคะ เพราะคิดว่ากว่าจะกลับเข้าตัวเมืองแล้วไปหาอะไรกินในตัวเมือง คงทนไม่ไหวแน่ ๆ เลยค่ะ - -" เพราะงั้นจัดซะที่นี่เลยอ่ะ ซึ่งขอบอกว่าอาหารมื้อเย็นของที่ เพ ลา เพลิน นี่ อร่อยยิ่งกว่ามื้อกลางวันที่พิมได้ทานไปซะอีกค่ะ ^_^
พูดถึง เพ ลา เพลิน ... นอกจากสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่ทำกิจกรรม อุทยานไม้ดอก ศูนย์การเรียนรู้ทางด้านเกษตรแล้ว .. เพ ลา เพลิน เค้าก็ยังมีในส่วนของที่พักด้วนะคะ
จริง ๆ แล้วเมื่อวานนี้เนี่ยพวกเราตั้งใจว่าคืนแรกของการมาบุรีรัมย์ จะมาพักที่เพ ลา เพลิน กันอ่ะค่ะ แบบกะว่า นอนตื่นมาปุ๊บ กินข้าวเสร็จ ก็เดินเที่ยวในเพ ลา เพลิน เลย ....... แต่ปรากฎว่าพวกเราโทรมาจองช้าไปนิ๊ดดดดดดดนะคะ พวกเราจะเดินทางมาบุรีรัมย์วันที่ 9 โทรติดต่อเอาตอนประมาณวันที่ 3 เจ้าหน้าที่เค้าบอกห้องเต็มหมดแล้ว ก็เลยต้องเปลี่ยนไปพักในเมืองแทนค่ะ - -"
พอมาวันนี้ ...... ด้วยความที่อยากรู้ว่าห้องพักเพ ลา เพลิน เป็นแบบไหน เลยสอบถามเจ้าหน้าที่เค้า ก็มีห้องนึงที่แขกจองไว้แต่ยังไม่มา เป็นห้องที่ตกแต่งในสไตล์อังกฤษ พวกเราก็เลยขอเข้าไปชมสักหน่อยอ่ะค่ะ
ซึ่งห้องพักของที่นี่เค้าก็จะมีตั้งแต่ราคาคืนละ 2500 - 3500 นะคะ ขึ้นกับว่าเป็นห้องขนาดไหน ตกแต่งในสไตล์อะไรอ่ะค่ะ ยังไงถ้าเพื่อนคนไหนสนใจ ก็ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก google ดูนะคะ
และเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจท่องเที่ยว เพ ลา เพลิน เรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกลับเข้าเมืองกันล่ะค่ะ จุดหมายต่อไปของพิมก็คือไปไหว้ศาลหลักเมืองนะคะ ^_^
แต่ด้วยความโก๊ะของพิมเองแหละค่ะ - -" ลืมดูว่าเวลาเปิดปิดประตูศาลหลักเมืองเป็นเวลาเท่าไหร่ กว่าพิมจะไปถึงหน้าประตูศาลหลักเมืองก็ปาเข้าไป 5 โมงเย็นกว่าๆ ซึ่งเป็นเวลาปิดทำการแล้วอ่ะค่ะ ก็เลยได้แค่เดินเข้าไปถ่ายบริเวณรอบ ๆ ภายนอก แล้วบอกกับตัวเองว่า "พรุ่งนี้จะมาใหม่นะคะ" ^_^
จากศาลหลักเมือง ก่อนจะไปเช็คอินที่โรงแรมที่พิมได้จองเอาไว้ พิมก็ขอแวะที่หน้าสถานีรถไฟบุรีรัมย์สักหน่อยนะคะ เพราะที่นี่เนี่ยเค้ามีอาหารอย่างนึงที่เรียกว่าใครมาบุรีรัมย์ น่าจะได้แวะมาชิมนะคะ นั่นก็คือ ลูกชิ้นทอดค่ะ ^_^
พูดถึงลูกชิ้นทอด หลายคนอาจจะแอบงง ๆ ว่า เอ๊ะ !! ลูกชิ้นทอดที่บุรีรัมย์นี่มีดีตรงไหน กรุงเทพฯ ก็มี เชียงใหม่ เชียงราย หาดใหญ่ ภูเก็ต กระบี่ จันทบุรี อุบล อุดร สุรินทร์ และจังหวัดอื่นๆ ก็มี แล้วทำไมจะต้องแวะไปกินลูกชิ้นทอดที่บุรีรัมย์
ความพิเศษของลูกชิ้นทอดที่หน้าสถานีรถไฟบุรีรัมย์ก็คือ ลูกชิ้นที่นี่เค้าจะขายกันอยู่รถบนเข็นนะคะ ทอดขายกันแบบสดใหม่เลย ขายไม้ละ 3 บาท 5 บาท บ้างก็ 10 บาท (ส่วนใหญ่ 3 บาท) และมีจุดเด่นที่ทำให้ใครหลายต่อหลายคนติดใจก็คือ ถ้าลูกค้าอยากกินลูกชิ้นไม้ไหน ก็หยิบไม้นั้นขึ้นมายืนกิน ณ ตรงนั้นได้เลย ซึ่งแต่ละร้านเค้าก็จะมีน้ำจิ้มใส่หม้อใบย่อม ๆ วางไว้ให้ แล้วก็มีผักสด ๆ ให้กินแกล้มด้วย กินเสร็จก็นับไม้ นับได้เท่าไหร่ก็หันไปบอกคนขาย แล้วก็จ่ายเงิน เป็นอันเสร็จเรียบร้อยค่ะ ^_^
พูดถึงน้ำจิ้ม .... แต่ละร้านเค้าก็จะมีรสชาติแตกต่างกันออกไปนะคะ ร้านแรกทางซ้ายมือ ร้านป้านิด น้ำจิ้มจะกลมกล่อม แต่มีตัวเลือลูกชิ้นไม่มากค่ะ ส่วนร้านเฮียเอก วันที่พิมไปกิน น้ำจิ้มจะติดรสขมไปนิด สีน้ำจิ้มก็จะค่อนข้างเข้ม ไน่แน่ใจว่ามาจากพริกแห้งที่คั่วนานเกินไปรึเปล่าอ่ะค่ะ ส่วนร้านที่ 3 ก็คือร้านป้าเตี้ย ร้านนี้น้ำจิ้มค่อนข้างเผ็ดนำเลยค่ะ แต่ก็มีน้ำจิ้มหวานให้จิ้มด้วยนะคะ และที่พิเศษของร้านนี้คือ มีลูกชิ้นให้เลือกหลากหลายแบบมากเลยค่ะ ส่วนร้านสุดท้ายที่พิมได้ชิมในวันนั้น คือร้านป้านาง น้ำจิ้มจะรสอ่อนกว่าร้านอื่นนิดนึง แต่โดยรวมก็โอเคค่ะ ...... หากเพื่อนๆ คนไหนอยากลองไปทานดู และอยากทานน้ำจิ้มแบบไหน ก็ลองเลือกดูนะคะ ^_^
อิ่มจากลูกชิ้นหน้าสถานีรถไฟแล้ว ก็ได้ฤกษ์เดินทางไปเช็คอินที่ห้องพักที่พิมได้จองเอาไว้ตั้งแต่ก่อนมาแล้วล่ะค่ะ ซึ่งที่พักที่พิมจองเอาไว้ ชื่อ บ้านเตอร์รีสอร์ทนะคะ อยู่ห่างจากสนามฟุตบอลไอโมบายไปทางวนอุทยานแห่งชาติเขากระโดงประมาณ 4-5 กม. ได้ ซึ่งวิธีการเลือกที่พักของพิมเวลาจะเดินทางไปต่างจังหวัด ก็คือ ดูรีวิวจากคนที่เค้าเคยไปพักมาจริงๆ อ่ะค่ะ หากที่ไหนด้คะแนนรีวิวสูง ๆ มีคำชมค่อนข้างมาก มีคำติค่อนข้างน้อย และอยู่ไม่ห่างจากจุดหมายโดยรอบที่พิมต้องการเดินทางไป พิมก็จะเลือกที่นั้นแหละค่ะ ซึ่งที่ผ่านมาพิมก็ยังไม่เคยผิดหวังกับที่พักที่ไหนเลย รวมถึงที่บ้านเตอร์รีสอร์ทนี่ด้วยอ่ะค่ะ ^_^
บ้านเตอร์รีสอร์ทเป็นที่พักซึ่ง ณ ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 10 ห้อง และทั้ง 10 ห้องนี่ราคาเดียวกันหมดเลย คือประมาณคืนละ 500 บาท บวกลบนิดหน่อยนะคะ (รวมอาหารเช้า) จริงๆ ในเรทราคาประมาณนี้ + ในบริเวณโซนไม่ไกลจากสนามไอโมบายนี้ ก็มีที่พักหลากหลายที่ให้เลือกอ่ะค่ะ แต่ที่พิมตัดสินใจพักที่นี่ เพราะนอกจากคะแนนรีวิวในเวบจองโรงแรมที่เกือบเต็มแล้ว (9.3/10) ก็คือห้องน้ำค่ะ ...... คนที่เคยมาพักต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า ห้องน้ำของที่นี่กว้างมากกกก กว้างพอ ๆ กับห้องนอน แถมมีน้ำตกในห้องน้ำด้วย พิมก็เลยตัดสินใจเลือกพักที่นี่เป็นจำนวน 2 คืน กับ 3 ห้องล่ะค่ะ ^_^
(ในภาพ..ฝั่งนี้คือห้องนอน ฝั่งด้านในผ้าม่านคือห้องน้ำนะคะ ประตูกั้นเป็นกระจก ผ้าม่านมี 2 ชั้น ทึบสนิทกับใสค่ะ)
และหลังจากที่พิมเข้าไปเช็คอิน พร้อมกับอาบน้ำ แต่งตัว และพักเหนื่อยชั่วครู่แล้ว ก็พบว่าราตรีนี้ยังอีกยาวไกล ^_^ พวกเราก็เลยขับรถเข้าไปในตัวเมืองบุรีรัมย์ค่ะ กะว่าจะไปตลาดไนท์ใหม่อีกสักรอบ เผื่อจะไปเก็บตกของกินอร่อยๆ ที่เมื่อวานเรายังไม่ได้กินอ่ะค่ะ (พิมกะจะไปซื้อมะพร้าวแก้วเพิ่มด้วย เพราะอร่อยมาก) แต่ปรากฎว่าระหว่างทาง ขณะขับรถผ่านหน้าทางเข้าสนามแข่งรถช้าง ก็พบว่าที่หน้าสนามช้าง เค้ากำลังมีการแข่งขันมอเตอร์ไซ์ทางตรง Drag Bike แบบไม่เป็นทางการอ่ะค่ะ
ซึ่งเท่าที่สอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ในงานก็ทำให้รู้ว่า ทุกคืนวันศุกร์เนี่ย เค้าจะมีการเปิดลู่วิ่งพิเศษบนถนนด้านหน้าทางเข้าสนามแข่งรถ ให้สิงห์นักบิดรุ่นเล็กทั้งชายและหญิง ได้นำรถมอเตอร์ไซด์ของตัวเองที่ปรับแต่งมาแรงแค่ไหนก็ได้ มาวิ่ง Test บนเลนที่ทางสนามจัดให้กันอย่างสุดมันเลยอ่ะค่ะ ซึ่งเท่าที่พิมลองกะประมาณด้วยสายตา คิดว่าคืนนึงมีมอเตอร์ไซด์มาร่วมเข้าแข่ง น่าจะหลายพันคัน และมีคนมารอชมน่าจะเป็นหมื่นคนเลยนะคะ ซึ่งตัวพิมเองไม่เคยมาดูการแข่งรถอะไรแบบนี้เลย และไม่เคยรู้ด้วยว่าในเมืองไทยมีการแข่งรถมอเตอร์ไซด์ในลักษณะแบบนี้ด้วย ซึ่งการแข่งขันแบบนี้เนี่ย มันทำให้พิมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังอยู่ใน Tokyo Drift เลยอ่ะค่ะ ^_^ แบบว่าเสียงเครื่องยนต์ เสียงจากเครื่องเสียงรถ และเสียงคนเชียร์ดังกระหึ่มมมมมมสุดๆ ชนิดที่พิมเป็นแค่คนผ่านเข้าไปดูยังตื่นเต้นมากๆ เลยอ่ะค่ะ ... ก็ฝากไว้สำหรับคนที่ชอบการแข่งรถแบบนี้ หากได้ไปบุรีรัมย์ ก็ลองไปดูนะคะ ทุกคืนวันศุกร์ค่ะ ^_^
และจากสนามแข่งรถช้าง ... ประมาณเกือบๆ 4 ทุ่ม พิมและเพื่อนๆ ก็เริ่มหิวอีกรอบแล้วล่ะค่ะ (หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเราหิวกันบ่อยจริง อย่าแปลกใจไปเลยนะคะ ฮ่าๆ) ก่อนจะกลับที่พัก พวกเราก็เลยคิดว่าควรจะไปหาอะไรกินกันสักหน่อยดีกว่า แต่ปรากฎว่าหลังจากขึ้นรถ และขับรถออกจากสนามแข่งรถไปได้เพียงนิดเดียว ฝนก็ตกลงมาอย่างหนักเหมือนฟ้ารั่วเลยค่ะ - -" พอเราขับกันไปถึงตลาดไนท์เก่า (ตลาดที่เมื่อวานนี้พิมไปกินเต้าส่วน) ฝนก็ยังไม่หยุดตก พิมก็เลยไม่ได้หยิบกล้องติดมือไปกินข้าวด้วยนะคะ เลยไม่ได้ถ่ายรูปอาหารมื้อค่ำของวันนี้มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน แถมพอกินเสร็จ ฝนก็ยังตกไม่หยุดอีกอ่ะค่ะ พิมก็เลยต้องวิ่งฝ่าสายฝนอีกรอบเพื่อมาขึ้นรถและกลับไปยังที่พักกัน
พอกลับถึงที่พัก ก็รู้สึกได้ถึงความเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวัน - -" (แต่ตอนเดินเที่ยวที่ เพ ลา เพลิน กะไปดู Drag Bike นี่ไม่รู้สึกเลยนะคะ ฮ่าๆ) เลยรีบอาบน้ำ แล้วเตรียมตัวนอน เพื่อที่พรุ่งนี้เราจะได้ไปตะลุยบุรีรัมย์กันต่ออ่ะค่ะ ........ ส่วนว่าพรุ่งนี้พิมจะไปเที่ยวตรงไหนของบุรีรัมย์บ้าง และไปทานอะไรบ้าง มีส่วนไหนของบุรีรัมย์ที่น่าสนใจบ้าง คอยติดตามชมกันในรีวิวตอนที่ 3 นะคะ ^_^ ขอบคุณค่า
บุรีรัมย์ ตอนที่ 1 >> http://www.pim.in.th/outside/892-buriram-2015
บุรีรัมย์ ตอนที่ 2 >> http://www.pim.in.th/outside/893-buriram2015-2 << ตอนนี้เพื่อนๆ อ่านตอนที่ 2 อยู่จ้า
บุรีรัมย์ ตอนที่ 3 >> http://www.pim.in.th/outside/897-buriram2015-3
บุรีรัมย์ ตอนที่ 4 >> http://www.pim.in.th/outside/898-buriram2015-4
บุรีรัมย์ ตอนที่ 5 >> http://www.pim.in.th/outside/900-buriram2015-5
บุรีรัมย์ ตอนที่ 6 >> http://www.pim.in.th/outside/908-buriram2015-6
ทริปนี้พิมและลูกทีมทุกคน ขอขอบคุณสายการบิน Nokair ขอบคุณบริการรถเช่าจาก Thai Rent A Car CAR ขอบคุณรองเท้า KEEN ขอบคุณ Outdoor Innovation และขอบคุณเจ้าของงานครั้งนี้ คือ ททท ด้วยนะคะ ^_^