หลังจากที่เมื่อวานเราเที่ยวกันจนเต็มคราบ และเมื่อคืนเราก็นอนหลับเป็นตาย เอ๊ย...ย นอนหลับกันอย่างเต็มอิ่ม เช้านี้พวกเราก็พร้อมแล้วสำหรับการเดินทางเที่ยวต่อล่ะค่า ^_^
แต่ก่อนจะไปเที่ยวต่อ สุภาษิตไทยเค้าบอกเอาไว้ว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้องนะคะ เพราะงั้นเช้านี้หลังจากที่พวกเราอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็มารวมตัวกันที่โต๊ะอาหารด้านหน้าห้องพักเพื่อเตรียมกินอาหารเช้ากันอ่ะค่ะ ซึ่งที่บ้านเตอร์เนี่ย เค้ามีอาหารเช้าให้เราเลือก 2 แบบนะคะ แบบแรกก็คือ ABF เป็นขนมปัง เสต๊ก ไข่ดาว ส่วนแบบที่ 2 ก็คือ ข้าวต้มกุ้งเน๊าะคะ ซึ่งแน่นอนว่าหน้าไทยๆ อย่างพิม เลือกข้าวต้มกุ้งแน่นอนค่ะ
ข้าวต้มกุ้งของที่นี่เค้าก็จะทำแบบชามต่อชามนะคะ เพราะงั้นเลยอาจจะช้าหน่อย แต่ความอร่อยออกมาคุ้มค่ากับการรอคอยมากเลยค่ะ ที่สำคัญกุ้งตัวโต เป็นกุ้งสด ไม่ใช่กุ้งแช่แข็ง และเนื้อหวานมากเลยนะคะ
นั่งกินข้าวต้มกุ้งอร่อยๆ ไปพลางๆ ชมบรรยากาศรอบข้าง ชมวัวชมควายที่กำลังแทะเล็มหญ้าอยู่ริมรีสอร์ทไปพลางๆ ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย ลมพัดมาเรื่อยๆ ขอบอกว่าเป็นการเริ่มต้นวันที่แลดูดีมากเลยค่ะ ^_^
และเมื่อกินอาหารมื้อเช้า (แบบรองท้อง) กันเสร็จเรียบร้อย จุดหมายแรกของเราในวันนี้ก็คือ ศาลหลักเมือง ที่เมื่อวานเราไปถึง แต่เค้าปิดประตูแล้วอ่ะนะคะ - -"
"ศาลหลักเมืองจังหวัดบุรีรัมย์" แน่นอนว่าจะต้องตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมอืงจังหวัดบุรีรัมย์เน๊าะคะ จุดที่ตั้งของศาลหลักเมืองเนี่ยในสมัยก่อนสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือรัชกาลที่ 1 เคยมาใช้เป็นจุดพักรบ เนื่องจากเห็นว่าทำเลที่ตั้งดี มีทั้งสระน้ำ และมีต้นแปะขนาดใหญ่ สมเด็จท่านเลยตั้งชื่อเมืองๆ นี้ว่าเมืองแปะ (ตามชื่อต้นไม้) ต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองบุรีรัมย์ และมีการสร้างศาลหลักเมืองไว้ ณ ตรงจุดนี้อ่ะค่ะ
โดยศาลหลักเมืองแห่งนี้เนี่ยเดิมเป็นศาลขนาดเล็กนะคะ แต่พอวันเวลาผ่านไปก็เริ่มชำรุดทรุดโทรมไปตามเวลา ช่วงปี 2548-2550 เลยมีการรื้อและก่อสร้างใหม่ให้มีรูปแบบสถาปัตยกรรมคล้ายกับปราสาทหินพนมรุ้ง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดบุรีรัมย์อ่ะค่ะ ซึ่งถ้าเพื่อน ๆ คนไหนอยากจะเข้าไปสักการะ ไปถ่ายรูป ไปชมความงามของศิลปะแบบขอม ก็สามารถไปได้ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ยาว ๆ ไปจนถึง 5 โมงเย็นเลยนะคะ ^_^
ในพื้นที่เดียวกัน ทางฝั่งซ้าย ก็จะมีศาลเจ้าจีน ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานรูปเหมือนของเจ้าพ่อหลักเมือง องค์เทพเจ้า ไฉ่ ฉิง ยิ้ม และองค์เทพเจ้ากวนอูอ่ะค่ะ ซึ่งตรงจุดนี้ถ่ายภาพได้เฉพาะด้านนอกนะคะ ห้ามเข้าไปยืนถ่ายด้านในค่ะ ^_^
และที่ฝั่งตรงข้ามถนน หน้าศาลหลักเมือง ก็จะเป็นที่ตั้งของวัดกลางอารามหลวง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองบุรีรัมย์มาตั้งแต่สมัยโบราณนะคะ แล้วที่วัดนี้เนี่ยนอกจากจะเป็นวัดที่ให้ประชาชนคนทั่วไปได้เข้าไปกราบไหว้ทำบุญแล้ว ก็ยังเป็นที่ตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม เป็นที่ตั้งศูนย์ศึกษาพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ เป็นศูนย์พุทธศาสตร์ หน่วยเผยแพร่ศีลธรรม และมีศาลาหอพระไตรปิฎกอีกด้วยค่ะ ^_^
จบจากการไหว้พระ ไหว้ศาลหลักเมือง ไหว้ศาลเจ้าจีนเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยในเช้าวันนี้แล้ว ...... พิมและเพื่อนๆ ร่วมทริปก็คิดกันว่าเราควรจะไปหาอะไรทานเป็นอาหารเช้ากันแบบจริงจังดีกว่านะคะ เพราะเมื่อเช้าที่ทานข้าวต้มกับ ABF มาเนี่ย มันไม่ค่อยอิ่มเอาซะเลย >_< เพราะงั้นพวกเราก็เลยมุ่งตรงไปที่ร้านกวางเจา ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้อง ๆ กับร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นมิตรมงคลที่เราได้ไปเหล่เอาไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้อ่ะค่ะ ^^"
ร้านกวางเจาเป็นร้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องของข้าวหมูแดงนะคะ ซึ่งคุณป้าเจ้าของร้านเล่าให้พิมและพวกเราฟังว่าขายมาประมาณ 40-50 ปีแล้วค่ะ เป็นข้าวหมูแดงสูตรโบราณมากๆ ใส่แต่หมูแดงหมูกรอบ ไม่มีไข่ต้มไม่มีกุนเชียงเหมือนสูตรอื่นนะคะ แต่นอกจากข้าวหมูแดงแล้ว ที่ร้านนี้ก็ยังมีบะหมี่ มีเกาเหลาเลือดหมู และโจ๊กหมูสูตรเฉพาะของทางร้านอีกด้วยอ่ะค่ะ
ใจจริงพิมก็ชอบโจ๊กหมูนะคะ และรู้สึกว่าการได้กินโจ๊กหมูร้อนๆ ในตอนเช้าๆ (แม้ตอนนี้จะปาเข้าไป 10 โมงกว่าแล้วก็ตาม) มันเป็นอะไรที่ฟินมากกก แต่ถ้าให้เลือกระหว่างโจ๊กหมูกับข้าวหมูแดง พิมก็ขอเลือกข้าวหมูแดงดีกว่าค่ะ เพราะเป็นอาหารหนึ่งในไม่กี่อย่างที่พิมชอบกินมากๆ เรียกว่าชอบขนาดไปเจอที่ไหนก็ต้องสั่งมาชิมนะคะ
ซึ่งหลังจากได้ชิมข้าวหมูแดงของที่นี่แล้ว พิมก็อยากจะบอกว่า มันโอเคเลยค่ะ ไมมีคำว่าผิดหวัง คือหมูแดงของที่นี่จะนุ่ม หมูกรอบก็ไม่แข็ง สับมาเป็นชิ้นเล็กๆ พอคำ น้ำราดหมูแดงก็จะรสชาติอ่อนๆ ใสๆ ไม่เข้ม ไม่แดง ไม่ข้น ไม่เหนียว และไม่หวานเหมือนกับที่ขายกันอยู่ตามตลาดในสมัยนี้ เรียกได้ว่าเป็นข้าวหมูแดงคนละสไตล์กับที่พิมเคยเจอ ๆ มาเลยนะคะ กินคู่กับน้ำจิ้มซีอิ๊วดำที่ใส่พริกสดมาพอให้เคี้ยวได้เผ็ดๆ นี่อร่อยเลิศมากเลยค่ะ ส่วนเกาเหลาเลือดหมูของเค้าก็ใช้ได้เช่นกันนะคะ น้ำซุปใส หอม เครื่องในไม่มีกลิ่นเหม็นสาป กระเทียมเจียวก็เป็นแบบเจียวเอง ตำลึงก็ไม่แก่ ไม่มีหนวดตำลึงมาพันปากให้รู้สึกยุ่บยับ อร่อยดีอ่ะค่ะ .... นี่ถ้าไม่ติดว่าอิ่มแปล้แล้ว ก็อยากจะสั่งมากินสักอีกอย่างละจานนะคะ ^_^
จบจากข้าวหมูแดง และเกาเหลาอร่อย ๆ แล้วพิมและเพื่อนๆ ก็ขอตบท้ายด้วยเฉาก๊วยนมสดรสชาเขียว รสช๊อคโกแลต ที่ขายอยู่ตรงร้านใกล้ๆ กับร้านกวางเจา คนละ 1 แก้ว เพื่อเพิ่มพลังก่อนจะเดินทางไปยังจุดหมายต่อไปอ่ะค่าาาา ^_^
ถึง ณ ตรงนี้ อาจจะมีหลายคนเริ่มสงสัยว่าทริปบุรีรัมย์ของพิมในครั้งนี้เป็นทัวร์พาเที่ยว หรือทัวร์พากินกันแน่ ซึ่งพิมก็ขอบอกว่าเป็นทั้งสองทัวร์รวมกันเลยนะคะ เพราะ concept ของพิมคือ เที่ยวไปกินไป ไปเที่ยวที่ไหนก็ต้องหาของอร่อยของที่นั่นทาน ไม่งั้นจะเที่ยวแล้วไม่มีความสุขค่ะ ^_^
พูดถึงจุดหมายต่อไปของพิม พิมเชื่อว่าหลายคนที่ได้เคยไปเที่ยวบุรีรัมย์หรือได้เคยอ่านรีวิวเที่ยวบุรีรัมย์จากที่อื่น (ถ้าไม่ใช่รีวิวเฉพาะกลุ่มนะ) จะต้องไม่เคยได้ยินชื่อกิจกรรมอันนี้กันอย่างแน่นอนเลยอ่ะค่ะ เพราะเมื่อเอ่ยถึงการแข่งรถในจังหวัดบุรีรัมย์เนี่ย พิมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่จะต้องนึกถึงแต่การแข่งรถสี่ล้อ หรือรถจักรยานยนต์ทางเรียบในสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิตเท่านั้นนะคะ แต่ว่าวันนี้เนี่ยพิมจะชวนเพื่อนๆ ไปชมการแข่งรถอีกรูปแบบนึง ในสนามแข่งรถเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากสนามแข่งรถช้าง ที่เรียกกันว่า Drag Bike อ่ะค่ะ
การแข่งรถที่เค้าเรียกกันว่า Drag Bike จะว่าไปพิมก็เพิ่งเคยได้ยินและเคยเห็นการแข่งขันแบบนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกันนะคะ การแข่งแบบ Drag Bike จะเป็นการแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์ที่โมดิฟายแล้ว ในสนามที่เป็นทางเรียบและทางตรง เพื่อดูว่ารถคันไหนมีความแรงและความเร็วมากกว่ากันอ่ะค่ะ ซึ่งในงานนี้เนี่ย เท่าที่พิมเดิน ๆ ดูก็จะมีมอเตอร์ไซด์มาสมัครเข้าแข่งขันหลายพันคันจากทั่วทุกทิศของประเทศไทยเลยนะคะ
มอเตอร์ไซด์ที่นำเข้ามาแข่งขันในลักษณะ Drag Bike เนี่ย ก็จะถูกปรับแต่งมาค่อนข้างเยอะมากค่ะ อย่างเช่นอะไรที่ทางทีมงานของผู้เข้าแข่งขันคิดว่าไม่จำเป็นต่อการขับขี่ หรือว่าสามารถลดไซส์เปลี่ยนแบบเพื่อทำให้รถมีน้ำหนักเบาลงได้ เช่น เบาะหนังหนา ๆ หรือยางล้อที่ใหญ่เกิน ก็จะถูกถอดออก และใส่อันที่เล็กกว่าเบากว่าเข้าไปแทนนะคะ ซึ่งถ้าถามพิมว่าเป็นการแข่งขันที่อันตรายไหม ขอตอบว่าอันตรายมากเลยค่ะ >_< แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นการแข่งขันรถในอีกลักษณะนึงที่เป็นการแข่งแบบมีกติกาเข้มงวด มีการดูแลเรื่องของความปลอดภัย อีกทั้งเป็นการแข่งในสนามที่ได้รับอนุญาติแล้ว เพราะงั้นแล้วพิมก็คิดว่าเป็นอะไรที่โอเค และคิดว่าคนที่ชอบการแข่งขันรถแบบนี้ น่าจะได้เข้าไปลองชมดูสักครั้งอ่ะค่ะ ^_^
ตอนที่พิมไปถึงงานเนี่ย เป็นเวลาประมาณสัก 11 โมงกว่าๆ ได้นะคะ ซึ่งยังเป็นช่วงที่ทางสนามเปิดให้นักแข่งเข้ามาลองลงสนามซ้อมกันก่อน แล้วตอนประมาณเที่ยงแก่หรือบ่ายโมงถึงจะเริ่มแข่งจริง และจะแข่งกันยาวไปจนถึงเที่ยงคืนเลยอ่ะค่ะ หลังจากที่พิมกับเพื่อนๆ ซื้อตั๋วเข้าชมแล้ว พวกเราก็เข้าไปหาที่นั่งชมในบริเวณจุดที่เค้าจัดไว้ให้นะคะ ซึ่งบรรยากาศภายในสนามก็จะเป็นประมาณในภาพด้านล่างนี้ค่ะ โดยมอเตอร์ไซด์ที่เข้าแข่งจะต้องมาเริ่มตั้งต้นกันที่จุดสตาร์ทที่อยู่ใต้ป้าย NGO BURIRAM DRAGSTER TRACK นะคะ แล้วพอได้สัญญาณ ก็จะวิ่งยาววววว ไปจนเกือบถึงเส้นสีส้ม ๆ ที่อยู่ลิบตา ใครที่ทำเวลาดีสุดก็รับถ้วยรางวัลไปครองค่ะ
ซึ่งถ้วยรางวัลที่แจกกันในงานนี้ก็มีเพียบเลยค่ะ แยกกันไปตามแต่ละรุ่น แล้วก็ยังมีถ้วยใหญ่สุดสำหรับที่ 1 จากทุกรุ่นด้วยนะคะ ^__^
ดูการแข่งขัน Drag Bike กันไปพอหอมปากหอมคอ ก็ได้เวลาที่เราจะขยับขยายเคลื่อนย้ายกันไปเที่ยวส่วนอื่นของบุรีรัมย์กันบ้างแล้วอ่ะค่ะ ^_^ จุดหมายถัดไปของเราก็คือสนามแข่งรถช้างอินเตอร์แนชั่นแนลเซอร์กิตนะคะ ..... จำได้ว่าตอนที่สนามช้างเปิดตัวใหม่ๆ และมีการแข่งขันรถยนต์ Formula 1 เพื่อนๆ พิม คนรู้จักของพิมและยิ่งคุณสามีพิมนี่เค้าตื่นเต้นกันมากเลยค่ะ เพื่อนพิมหลายคนถึงกับขอลางานเพื่อไปชมการแข่งรถเลยนะคะ ซึ่งตอนนั้นเนี่ยพิมขอสารภาพเลยว่า แอบงงๆ ที่ทำไมคนหลายคนจะต้องตื่นเต้นอะไรกันมากมาย และทำไมจะต้องอยากดูกันขนาดนั้น ...... แต่พอพิมมาได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว แม้จะเป็นสนามเปล่าๆ ก็เข้าใจเลยค่ะ ^_^
สนามแข่งรถช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิตเป็นสนามแข่งรถที่มีมาตรฐานสากลระดับ FIA เกรด 1 และ FIM เกรด A คือ สามารถใช้แข่งรถยนต์ Formula 1 และรถ Moto GT ได้นะคะ ซึ่งสนามแห่งนี้เนี่ยเท่าที่พิมเคยอ่านมา เค้าบอกว่าใช้ทุนสร้างกว่า 2,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 1,200 ไร่ มีระยะทางรอบสนาม 1 รอบที่ 4.554 กม. มีจำนวนโค้งทั้งหมด 12 โค้ง และจุผู้ชมได้ถึงครั้งละ 50,000 คน O_O ....... โดยจุดเด่นสุดของสนามแห่งนี้ก็คือ ไม่ว่าผู้ชมจะนั่งอยู่จุดไหนแกรนด์แสตนด์ ก็สามารถมองเห็นได้ทุกส่วนทุกโค้งของการแข่งขันเลยค่ะ ^_^
จากสนามแข่งรถช้าง จุดหมายต่อไปของพิมก็คือสนามฟุตบอล i-Mobile Stadium นะคะ ซึ่งตรงนี้เนี่ยพิมขอเล่าความโก๊ะของพิมให้ฟังนิดนึงค่ะ >_< ด้วยความที่ก่อนหน้านี้พิมไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับฟุตบอลมาก่อนเลย รู้แต่ว่าถ้ามาบุรีรัมย์ ก็ควรจะต้องมาชมสนามฟุตบอลไอโมบาย และถ้าจะให้ดี ก็น่าจะได้มาดูเค้าแข่งฟุตบอลกันด้วยอ่ะค่ะ ซึ่ง.....ง.ง.ง. โอเค พิมเข้าใจตรงจุดนี้นะคะ พิมก็เลยเข้าไปดูตารางการแข่งขันฟุตบอลของทีมบุรีรัมย์ ปรากฎว่าช่วงที่พิมตั้งใจจะมาเที่ยวบุรีรัมย์เนี่ย เค้ามีการแข่งขันฟุตบอลในคืนวันเสาร์ที่ 14 สิงหาพอดี เป็นการแข่งระหว่างทีมโคราชกับบุรีรัมย์ พอพิมเห็น พิมก็ดีใจมากๆ รีบไปบอกเพื่อน ๆ ร่วมทริปทันทีเลยอ่ะค่ะ เพื่อนๆ ก็ดีใจกันมาก รีบหาข้อมูลเรื่องตั๋วกันเลย ฮาาาาาาาาา ....... แต่ปรากฎว่าการแข่งขันในวันนั้นบุรีรัมย์เป็นทีมเยือนค่ะ คือไม่ได้แข่งที่สนามไอโมบาย แต่ไปแข่งที่สนามของโคราช ความฝันที่จะได้ดูการแข่งขันฟุตบอลในสนามไอโมบายของพิมและเพื่อน ๆ ก็เลยดับลงทันที T__T
แต่ไม่เป็นไรค่ะ บุรีรัมย์อยู่ใกล้แค่นี้ จากบ้านพิมขับรถไปก็แค่ 4 ชม. กว่าๆ วันนี้ไม่ได้ดู ไว้วันหลังค่อยขับรถไปดูใหม่ก็ได้เน๊าะคะ ^_^
ว่าแต่มาถึงสนามไอโมบายแล้ว แม้จะไม่มีการแข่งขันฟุตบอลในวันนี้ แต่ทางสนามเค้าก็เปิดให้ผู้ที่สนใจได้เข้าไปเยี่ยมชมไปดูภายในสนามได้นะคะ ซึ่งเพื่อนๆ คนไหนที่สนใจก็สามารถมาลงชื่อเข้าชมได้ที่หน้าทางเข้าสนาม โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายสักบาทเลยอ่ะค่ะ แต่ว่าไม่ใช่ลงชื่อปุ๊บก็เดินเข้าไปดูด้านในได้ปั๊บเลยนะ แต่จะต้องรอให้ถึงเวลาที่เค้ากำหนดเป็นรอบๆ รอบนึงก็ 20 นาที โดยแต่ละรอบการเข้าชมเค้าก็จะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำและคอยตอบข้อซักถามที่เกี่ยวกับสนามฟุตบอล เกี่ยวกับการแข่งขันฟุตบอลของทางทีมบุรีรัมย์ให้เรากันด้วยอ่ะค่ะ
มาถึงสนามฟุตบอลไอโมบายกันแล้ว พิมก็อยากจะเล่าถึงรายละเอียดของสนามฟุตบอลแห่งนี้สักเล็กน้อยเน๊าะคะ เผื่อว่ามีเพื่อนๆ คนไหนอยากจะรู้ ^_^
Thunder Castle Stadium หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่าสนามฟุตบอลไอโมบาย เป็นสนามฟุตบอลที่ได้มาตรฐานระดับเวิล์ดคลาสจากฟีฟ่า และระดับ A-Class Stadium จาก AFC มีพื้นที่ทั้งหมดถึง 150 ไร่ จุคนได้ถึง 32,600 คน และยังมีที่นั่งพิเศษสำหรับคนพิการอยู่โดยรอบของสนามอีกถึง 96 ที่นั่ง ที่สำคัญเป็นสนามฟุตบอลแห่งเดียวในประเทศไทยทีไม่มีลู่วิ่งมาคั่นระหว่างสนามฟุตบอลกับที่นั่งคนดูด้วยอ่ะค่ะ ^_^
เมื่อก่อนพอเราพูดถึงบุรีรัมย์ ใครๆ ก็มักจะบอกว่าเป็นเมืองแห่งปราสาทหิน เพราะว่าที่บุรีรัมย์เนี่ยมีปราสาททั้งที่ทำจากอิฐและหินอยู่มากมายจริงๆ ค่ะ นับรวมๆ แล้ว น่าจะมีเกินกว่า 60 แห่งได้ แต่ในปัจจุบันพอพูดถึงบุรีรัมย์แล้ว ก็จะมีคำพูดต่อมาว่า เป็นเมืองแห่งปราสาทสองยุค นั่นคือ ปราสาทหินที่มีมาแต่สมัยโบราณ และปราสาทสายฟ้า (Thunder Castle Stadium) ที่เพิ่งมีมาเมื่อ 4 ปีที่แล้วอ่ะค่ะ ^_^
สำหรับเพื่อนๆ คนไหนที่ชื่นชอบกีฬาฟุตบอล อยากดูการแข่งขันฟุตบอลที่สนามไอโมบาย ก็สามารถไปติดต่อขอซื้อตั๋วการแข่งขันล่วงหน้าได้นะคะ หรือใครที่ชื่นชอบมากๆๆๆ คิดว่ามีนัดไหน ฉันก็จะต้องให้ได้ทุกนัด ก็สามารถติดต่อขอซื้อตั๋วแบบรายปีก็ได้อ่ะค่ะ ซึ่งราคาเพียง 3,500 บาทต่อปีเท่านั้น แต่สามารถเข้าชมได้ทุกแมทซ์ในบ้านเลยนะคะ แถมยังได้สิทธิพิเศษส่วนลดโน่นนี่อีกต่างหาก เรียกว่าคุ้มมากมายเลยอ่ะค่ะ
และก่อนจะกลับ สำหรับใครที่อยากหาของฝากเพื่อน ฝากแฟน ฝากลูกหลาน คนในครอบครัว หรือแม้กระทั่งฝากตัวเอง ที่ให้ความรู้สึกว่ามาจากทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ดจริง ๆ ... ก็ลองเข้าไปเดินดูใน ฺBuriram United Megastore ซึ่งอยู่ในอาคารติด ๆ กับตัวสนามได้นะคะ
เพราะที่นี่เนี่ยเค้าจะมีสินค้าที่เป็นของที่ระลึก เพื่อให้คนที่ชื่นชอบในกีฬาฟุตบอล ชื่นชอบในทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้ซื้อหาเอากลับไปฝากเพื่อนฝูง พี่น้องกันมากมายเลยอ่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นชุดแข่งลิขสิทธิ์แท้ ลูกฟุตบอล เสื้อยืด เสื้อโปโล กระเป๋าเดินทาง หรือแม้แต่ชุดชั้นใน ชุดลำลอง เสื้อผ้าแฟชั่น พวงกุญแจ หมวก เคสโทรศัพท์ ผ้าพันคอ เข็มกลัดรูปนักฟุตบอล ดินสอ ปากกา ที่มีตราของทีมบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ..... เหล่านี้ก็มีนะคะ ^_^
ซึ่งแน่นอนว่า งานนี้พิมและเพื่อนร่วมทริปพิมไม่พลาดที่จะเสียตังค์แน่นอน แถมเสียไปคนละเกือบพันอีกด้วยค่ะ ฮ่ะๆ
จากสนามฟุตบอลไอโมบาย ..... เหลือบตาดูนาฬิกาบนหน้าจอมือถืออีกที ก็ปาเข้าไปจะบ่าย 2 แล้ว ไม่น่าแปลกใจเล๊ยยยยยยว่าทำไมพวกเราถึงหิ๊วววหิวกันเน๊าะคะ T__T (เที่ยวกันอย่างเพลิดเพลินจนลืมดูเวลา - -") ... และจากข้อมูลต่างๆ ที่พิมเคยได้อ่านมาจากในเนต มีคนบอกว่าใกล้ๆ กับสนามไอโมบาย เลยไปทางเขากระโดงไม่กี่กิโล มีร้านอาหารอิสานแจ่มๆ อยุ่ร้านนึงชื่อว่า ..... ร้านสองพี่น้องค่ะ ซึ่งตอนแรกพิมก็ไม่รู้ว่าร้านนี้อยู่ตรงไหนนะคะ แต่ที่อ่านมาเค้าบอกเอาไว้ว่าถ้าเราขับรถออกจากสนามไอโมบาย เลี้ยวขวาเข้าถนนสายบุรีรัมย์-ประโคนชัย ขับรถตรงมาเรื่อย ๆ ประมาณสัก 3-4 โล แล้วเจอรูปปั้นไดโนเสาร์ตัวโตๆ อยู่ทางด้านซ้ายมือ ก็แปลว่าถึงทางเข้าร้านสองพี่น้องแล้วอ่ะค่ะ
ร้านสองพี่น้องเป็นร้านอาหารอิสานร้านดังประจำจังหวัดบุรีรัมย์ที่เรียกว่าใครๆ ก็รู้จักแทบทั้งนั้นเลยนะคะ ซึ่งที่ร้านอาหารนี้เนี่ย เมนูที่เด่นๆ ดังๆ ที่คนส่วนใหญ่มาแล้วจะต้องสั่งกิน ก็จะมีพวกลาบเป็ดใส่เลือด ลาบเป็ดปกติ ก้อยขม ก้อยคั่ว ต้มเป็ด ต้มเนื้อเปื่อย อ่อมเพลี้ย ตำลาว ตำปูปลาร้า ตำถั่วฝักยาว ปลาส้มทอด หมูแดดเดียว เสือร้องไห้ย่าง ไส้เป็ดทอด ...... อะไรประมาณนี้ค่ะ
แต่จากเมนูแนะนำของทางร้าน ขอบอกเลยค่ะว่ามีเมนูที่พิมและเพื่อนร่วมทริปกินได้อยู่แค่ไม่กี่อย่างนะคะ - -" คือพวกลาบเป็ด อ่อมเนื้อ ต้มเนื้อเปื่อย อันนี้กินได้สบายๆ แต่พวกก้อยขม ลาบเป็ดใส่เลือด อ่อมเพลี้ยเนี่ย พิมไม่ถนัดเลยค่ะ เพราะงั้นก็เลยต้องขอเมนูรวมรายการอาหารทั้งหมดจากทางร้านเค้ามาดูเน๊าะคะ ซึ่งเมนูของที่นี่เค้าก็มาแบบเก๋ไก๋มาก คือมาเป็นกระดาษขนาดเกือบๆ A4 ชอบเมนูไหนอยากกินเมนูไหน ก็ติ๊กถูกลงไปในช่องสี่เหลี่ยมด้านหน้าชื่อเมนูได้เลยค่ะ
ด้วยความหิววววว .. สารภาพเลยค่ะว่ามื้อนี้พวกเราสั่งกันแบบหน้ามึดสุดๆ เลย คือแต่ละคนเห็นชื่อเมนูอันไหนแลดูน่าอร่อยก็ติ๊กถูกๆๆๆๆๆๆๆ กันเลยนะคะ ซึ่งทุกเมนูที่สั่งมาไม่ว่าจะเป็นตำไทย ตับหวาน ลาบเป็ด เสือร้องไห้ย่าง หมูแดดเดียวทอด คอหมูย่าง หมูยอ และเนื้อติดเอ็น (เนื้อเส้นหมักคลุกข้าวเหนียว ตากพอแห้ง แล้วเอามาทอด) ..... อร่อยทุกอย่างเลยค่ะ โดยเฉพาะตับหวาน ลาบเป็ด และหมูยอ อร่อยจริง ๆ นะคะ เพราะงั้นใครที่ตามรอยพิมไป อย่าลืม 3 เมนูนี้เด็ดขาดเลยค่า ^^
และสำคัญไม่แพ้รสชาติ ก็คือเรื่องของราคาค่ะ ... เรา 4 คนกินกันจนอิ่ม ขนาดต้องเอาของบางอย่างใส่ถุงกลับไปด้วย - -" แต่พอเรียกเก็บเงิน ค่าเสียหายไม่ถึง 500 บาทเลย เพราะงั้นหากใครไปเที่ยวบุรีรัมย์ สนใจอาหารอิสานอร่อย ๆ แต่ราคาไม่แพง พิมก็ขอแนะนำร้านนี้เลยนะคะ
อิ่มท้องแล้ว หนังตาของเราก็เริ่มหย่อนอีกรอบแล้วววววว แต่เราก็มิอาจหยุดเที่ยวได้ล่ะค่ะ จุดหมายต่อไปของพวกเราก็คือ วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกสั้น ๆ ว่า เขากระโดงนะคะ ซึ่งอยู่ห่างจากร้านสองพี่น้องไกลมากกกกกกกกก นับๆ นิ้วดูแล้ว เอิ่มมม ประมาณ 1 - 2 กม. หรือขับรถแบบเรื่อย ๆ ไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงแล้วอ่ะค่ะ ^_^
วนอุทยานเขากระโดง มีชื่อเดิมตามที่ชาวบ้านเรียกก็คือ "พนมกระดอง" นะคะ ซึ่งแปลว่า "ภูเขากระดอง (เต่า)" เหตุผลที่ได้ชื่อแบบนี้ก็เพราะว่าเขากระโดงมีรูปร่างคล้ายกระดองเต่าอ่ะค่ะ แต่ว่าพอเรียกกันไปเรียกกันมาอยู่เป็นหลายสิบปี จากกกระดอง เลยกลายเป็นกระโดง และกลายมาเป็นวนอุทยานเขากระโดงในที่สุดนะคะ ^_^
เขากระโดงเป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทมานานประมาณ 9 แสนปีแล้ว (นานมากกก นับกันยังไงเนี่ยยย) และมีปากปล่องภูเขาไฟที่เห็นได้อย่างชัดเจน โดยรอบบนเขากระโดงก็ยังคงเป็นป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งอาศัยของนกนานาชนิด แล้วบนเขากระโดงก็มียังโบราณสถานสมัยขอม มีรอยพระพุทธบาทจำลอง และมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ เป็นที่เคารพสักการะของคนในท้องถิ่นอีกด้วยอ่ะค่ะ
ส่วนการขึ้นไปบนยอดเขากระโดง มีอยู่ 2 ทางให้เลือกนะคะ ทางแรกก็คือเดินขึ้นบันไดค่ะ ใครที่อยากทดสอบความอึด ถึก และความฟิตของร่างกาย พิมแนะนำให้ขึ้นทางนี้เลยนะคะ ^_^ โดยบันไดทั้งหมดมีอยู่ 297 ขั้นด้วยกัน ซึ่งะถ้าหากฟิตๆ เจ้าหน้าที่ด้านบนเค้าบอกว่าใช้เวลาแค่เพียง 5 นาทีก็ขึ้นถึงด้านบนยอดเขาแล้วอ่ะค่า แต่ส่วนใครที่มีรถ ไม่ว่าจะมอไซด์หรือรถยนต์ หรือจักรยาน และอยากขอขึ้นแบบสบาย ๆ หน่อย ก็สามารถขับรถขึ้นไปได้ถึงยอดเขาด้านบนเลยค่ะ
ในช่วงของการขับรถขึ้นไปบนเขากระโดง จุดแรกที่เราจะต้องเจอและแทบทุกคนจะต้องจอดรถเพื่อไปยืนถ่ายรูป นั่นก็คือ สะพานแขวนลาวานะคะ ^_^ สะพานแขวนแห่งนี้เนี่ยเป็นสะพานแขวนที่ทำไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เดินขึ้นไปชมปากปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้วค่ะ ซึ่งเวลาเราเดิน สะพานมันก็จะแกว่งไปแกว่งมาเบา ๆ แถมมองเห็นด้านใต้สะพานอีกต่างหาก คนกลัวความสูงอย่างพิมเลยต้องขอบายนะคะ เพราะแค่เดินก้าวเข้าไปเพียง 3 ก้าว หัวใจก็จะวายแล้วค่ะ T_T
และด้านหลังน้องพัช (น้องร่วมทริปของพิม) ก็คือปากปล่องภูเขาไฟที่เค้าว่าดับมาหลายแสนปีแล้วนะคะ ซึ่งถ้าไม่บอกว่าจุดตรงนี้เดิมเคยเป็นปากปล่องภูเขาไฟ พิมเชื่อว่าต้องไม่มีใครรู้แน่ ๆ เลยค่ะ - -" เพราะปัจจุบันนี้กลายเป็นเพียงหลุมกว้างๆ ตื้นๆ ที่มีหญ้าสีเขียวปกคลุมเท่านั้นเองนะคะ ซึ่งปากปล่องภูเขาไฟของที่นี้ก็จะมีลักษณะเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งซีก (แต่พิมมองเป็นถ้วยกาแฟคว่ำมากกว่า) มีขอบปล่องด้านทิศใต้ที่เรียกว่า เขาใหญ่ และขอบปล่องด้านทิศเหนือเรียกว่า เขาน้อย หรือเขากระโดง นั่นเองอ่ะค่ะ
จากปากปล่องภูเขาไฟ เราขับรถต่อขึ้นไปอีกนิ๊ดดด ก็จะถึงด้านบนยอดของเขากระโดงนะคะ
และที่ด้านบนของเขากระโดง ก็จะเป็นที่ตั้งของปราสาทเขากระโดง ที่ด้านในประดิษฐานพระพุทธบาทจำลองเอาไว้ และถัดจากปราสาทเขากระโดงไปอีกหน่อย ก็จะเป็นที่ประดิษฐานของพระสุภัทรบพิตร พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดบุรีรัมย์อ่ะค่ะ
หลังจากเดินชมวิวบนสะพานแขวนลาวาและบนยอดเขากระโดงกันอยู่เป็นเวลา ชม. กว่าๆ ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวสุด ๆ ก็เหมือนพลังงานของพวกเราจะเริ่มอ่อนลงไปเยอะ - -" พิมกับเพื่อนๆ ก็เลยขอแว๊บไปนั่งพักหาน้ำหาท่าหาอะไรเย็น ๆ กินสักหน่อยที่ร้านค้าเล็กๆ บนเขากระโดงนะคะ ซึ่งสำหรับพิมก็หนีไม่พ้นน้ำเปล่าแหละค่ะ เย็นชื่นใจที่สุดแล้ว (ไอติมนี่ของแถม อิอิ)
และหลังจากนั่งพักกันอยู่ประมาณ 15 นาที พวกเราก็คิดว่าสมควรแก่เวลาที่จะกลับไปที่พักเพื่ออาบน้ำอาบท่าและเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนที่จะไปลุยตลาดเซาะกราวในตอนค่ำ ๆ แล้วล่ะค่ะ ซึ่งระหว่างทางเดินจะกลับไปที่รถเนี่ย ก็พลันนึกได้ว่าตอนที่ค้นหาข้อมูลก่อนจะมาบุรีรัมย์ มีหลายรีวิวที่บอกเอาไว้ว่าบนเขากระโดงจะมีสไลเดอร์ หรือที่คนบุรีรัมย์เรียกว่า สิไหลเด้อ อยู่ด้วย .... แต่พิมดันจำไม่ได้ค่ะว่ามันอยู่ตรงไหน เลยชวนเพื่อน ๆ ในทริปไปเดินหากัน และก็พบว่ามันอยู่ข้างๆ ร้านค้าที่เมื่อกี้พิมไปนั่งกินน้ำกะไอติมนั่นเองแหละค่ะ - -"
สิไหลเด้อเป็นเครื่องเล่นอย่างนึง ซึ่งคนที่จะเล่นต้องไปนั่งอยู่ด้านบนสุดแล้วก็สไลด์ตัวลงมาตามทางที่เค้าทำเอาไว้นะคะ อารมณ์คล้ายๆ การเล่นสไลเดอร์ตามสวนน้ำนั่นแหละค่ะ แต่ว่าสิไหลเด้อของที่นี่เค้าจะห้ามเล่นตอนฝนตก ตอนสิไหลเด้อเปียก หรือตอนมีน้ำขังเด็ดขาด เพราะว่ามันจะลื่นมาก แล้วความลื่นจะทำให้เกิดการสไลด์อย่างไวจนม่สามารถหยุดได้ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้อ่ะค่ะ เพราะงั้นตอนฝนตกห้ามเล่นสิไหลเด้อเด็ดขาด แต่ถ้าเล่นตอนปกติๆ นี่พิมว่าสนุกสนานมากเลยนะคะ ฮี่ๆ ^_^
จากเขากระโดง พวกเรามีแพลนว่าค่ำนี้จะไปเดินถนนคนเดินเซาะกราวกันค่ะ แต่ตอนออกจากเขากระโดงเพิ่งจะ 5 โมงเย็น พิมก็เลยคิดว่าพวกเราน่าจะกลับที่พักกันสักแป๊บนึงก่อน เพราะว่าที่พักของเราอยู่ห่างจากเขากระโดงแค่ประมาณ 1 กิโลกว่า ๆ เท่านั้นเอง และที่สำคัญตอนนี้ที่ตลาดเซาะกราว พ่อค้าแม่ค้าก็เพิ่งเริ่มมาตั้งร้าน ไปตอนนี้ก็ยังไม่ค่อยมีอะไรขาย เพราะงั้นแล้วกลับที่พักไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และพักผ่อนกันสัก 1-2 ชม. ก่อนจะออกมาลุยที่ตลาดเซาะกราว น่าจะดีกว่าอ่ะค่ะ
ถนนคนเดินเซาะกราว หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าถนนเซาะกราว ก็จะเป็นถนนคนเดินที่จัดขึ้นในทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ตรงหน้าจวนผู้ว่านะคะ ซึ่งคำว่า "เซาะกราว" เนี่ยเป็นภาษาเขมรที่แปลว่าบ้านนอก ชนบท เพราะงั้นถนนคนเดินเซาะกราว ก็คือถนนคนเดินที่ให้อารมณ์แบบชาวบ้านๆ อะไรทำนองนั้นอ่ะค่ะ ^_^
ส่วนตัวพิมเนี่ย เป็นคนที่ชอบเดินทางไปต่างจังหวัดนะคะ และจังหวัดไหนที่มีถนนคนเดิน พิมก็มักจะแวะไปเดินตลอดๆ เรียกว่าพยายามเดินทุกถนนคนเดินในทุกจังหวัดที่ได้ไปเลยอ่ะค่ะ แต่ว่าที่ถนนคนเดินเซาะกราวเนี่ย แตกต่างจาถนนคนเดินของหลายๆ จังหวัดที่พิมเคยได้ไปเดินมาอย่างเห็นได้ชัดเลยนะคะ เพราะถนนคนเดินแห่งนี้เนี่ย ยังคงให้ความรู้สึกว่าเป็นตลาดนัดที่ชาวบ้านมาขายของ มากกว่าตลาดนัดที่มีคนทำอาชีพพ่อค้าแม่ค้าโดยตรงมาขายของค่ะ
ที่ตลาดแห่งนี้เนี่ยสินค้าเด่นๆ ที่พิมเห็นว่าน่าสนใจมากก็มีอยู่ 2 อย่างนะคะ อย่างแรกก็คือผลิตภัณฑ์จากผ้าทอมือ ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ไม่ว่าจะเป็นผ้าขาวม้า เสื้อ ชุดกระโปรง หรือกางเกง ล้วนแต่สวยๆ และราคาไม่แพงทั้งนั้นเลยค่ะ
อย่างที่สองก็คือ เสื้อยืดสีพื้น ที่พิมพ์คำว่า "บุรีรัมย์ / Buriram" ซึ่งเป็นอะไรที่ขายดีมากๆ พิมเห็นมีอยู่ 2-3 ร้าน ก็ขายดีทุกร้านเลยนะคะ และเท่าที่พิมสังเกตุเนี่ย คนซื้อส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนในพื้นที่หรือคนจากจังหวัดใกล้เคียงมากกว่านักท่องเที่ยว เหมือนคำว่า "บุรีรัมย์" บนเสื้อ มันไม่ใช่แค่เรื่องของแฟชั่น แต่เป็นการแสดงถึงความภาคภูมิใจให้กับคนใส่อ่ะค่ะ ^_^ ซึ่งพิมเห็นแล้ว พิมก็ยังอยากซื้อมาใส่ด้วยเลยนะคะ แต่ติดว่าไม่มีไซส์ ฮ่ะๆ - -"
และสินค้าอีกอย่างนึงที่แม้ว่าจะขายไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ >_< แต่พิมว่าน่าสนใจมากเลยนะคะ ก็คือพืชผักปลอดสารพิษค่ะ .... เพราะถนนคนเดินแห่งนี้เนี่ย เค้าจะจัดพื้นที่ส่วนนึงของตลาดให้เกษตรกรที่ปลูกพืชผักผลไม้แบบปลอดสารพิษ นำผลิตผลของตัวเองมาวางขายนะคะ
ซึ่งผลผลิตที่เกษตรกรนั้นนำมาวางขายก็มีมากมายหลายประเภทเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นผักสดต่างๆ ผักพื้นบ้าน หัวมัน หัวเผือก หอม กระเทียม ข้าวสาร และอื่นๆ อีกมากมายะ แถมราคาไม่แพง แค่มีเงิน 5 บาท 10 บาท ก็สามารถซื้อผักไปผัดได้เป็นจาน ๆ แล้วนะคะ
จากตลาดโซนด้านใน พอเราเดินออกมาทางด้านนอกๆ ฝั่งขวา ก็จะมีเวทีหมอลำร้องสดให้เราเข้าไปนั่งฟังเพลงเพลินๆ ด้วยนะคะ ซึ่งเก้าอี้นั่งนั่งของที่นี้ก็เป็นอะไรที่พิมว่าเป็นเอกลักษณ์ดีอ่ะค่ะ คือปกติถ้าเราไปนั่งฟังเพลงที่ถนนคนเดินในจังหวัดอื่น ที่นั่งเค้าก็มักจะเป็นเก้าอี้พลาสติคซะส่วนใหญ๋ หรือไม่ก็ให้ยืนฟัง แต่ของที่นี่เค้าจะจัดที่นี่เป็นแบบแคร่เอาไว้ให้คนมานั่งฟังเพลงแบบเพลิน ๆ นะคะ แล้วในละแวกเวทีก็จะมีร้านขายของกินอยู่นับสิบร้าน หากใครหิวหรือนึกอยากจะกินอะไรก็สามารถไปหาซื้อ แล้วมานั่งกินบนแคร่ แบบนั่งกินไป ฟังเพลงไป ชิว ๆ มากเลยค่ะ ^_^
พูดถึงร้านขายของกินแล้ว ที่ถนนคนเดินเซาะกราวนี่ก็มีร้านขายของกินเยอะเหมือนกันนะคะ ไม่ว่าจะเป็นร้านขายน้ำผลไม้ปั่น น้ำผลไม้คั้นสด ขายส้มตำไก่ย่าง ขายมันฝรั่งทอดปรุงรส ขายยำขนมจีน ยำเส้นหมี่ แต่ที่พิมว่าน่าสนใจมากหน่อยก็คือ กุ้งจ่อม ซึ่งเป็นสินค้า OTOP จากอำเภอประโคนชัยของบุรีรัมย์อ่ะค่ะ
แล้วก็จะมีน้ำฟักข้าว น้ำเสาวรสที่คุณลุงท่านนี้บอกว่าทำเองตั้งแต่การปลูกเสาวรส ปลูกฟักข้าวเลยนะคะ แถมขายเพียงขวดละ 10 บาท พิมได้ลองซื้อชิมแล้วก็โอเคเลยค่ะ ^_^
และก็มีร้านขายฝักบัวมัดใหญ่ๆ ซึ่งเป็นของกินที่ตอนเด็กๆ พิมชอบกินมากเลยนะคะ (สมัยเด็ก ๆ ที่บ้านพิมทำนาบัวค่ะ)
และที่จะขาดซะไม่ได้ ก็คืออันนี้นะคะ ..... ข้าวจี่ เป็นข้าวเหนียวนึ่งปั้นเป็นก้อน นำไปชุบไข่ปรุงรส แล้วนำมาปิ้งบนเตาถ่านจนเหลืองหอม ...... กินเพลินๆ อร่อยดีเหมือนกันค่ะ
จากถนนคนเดินเซาะกราว ........ ตอนแรกพวกเรากะว่าจะกลับไปที่พักกันแล้วล่ะค่ะ เพราะพรุ่งนี้มีแพลนว่าจะต้องตื่นแต่เช้า เพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ปราสาทหินเขาพนมรุ้งกัน แต่ระหว่างทางที่ขับรถจะกลับไปยังที่พักก็นึกได้ว่า เอ๊ะ !! ค่ำวันนี้ ทีมฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็มเค้าไปเป็นทีมเยือนโคราชนี่นา เพราะงั้นแล้วก็จะต้องมีการถ่ายทอดสดการแข่งขันกลับมาที่จอยักษ์ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าสนามฟุตบอลแน่ ๆ เพราะงั้นพวกเราก็เลยตกลงกันว่า เราจะแว๊บบบบ ไปดูถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลสักหน่อยก่อน แล้วค่อยกลับไปที่ ๆ พักเน๊าะคะ
แต่ปรากฎว่า พอไปถึงหน้าสนามจริง ๆ แล้ว จากที่คิดว่าดูแป๊บเดียว สัก 10 นาที 20 นาทีแล้วก็กลับ มันทำไม่ได้เลยค่ะ ...... บรรยากาศที่ชาวบุรีรัมย์ทั้งหนุ่ม สาว วัยรุ่น วัยทำงาน เด็ก คนแก่ มารวมตัวกันเชียร์ทีมฟุตบอลของจังหวัดตัวเองอยู่หน้าสนามนับหลายพันคน มันเป็นอะไรที่ทำให้พิมและเพื่อน ๆ ต่างตะลึงกันมากเลยอ่ะค่ะ เพราะพิมไม่เคยคิดมาก่อนว่าพลังของการมีทีมฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่อยู่ในจังหวัด ๆ นึง มันจะทำให้ชาวเมืองๆ นั้น มารวมตัวกันได้มากมายถึงขนาดนี้นะคะ ยิ่งช่วงไหนที่การแข่งขันกำลังเข้มข้นมาก มีเรื่องของการยิงประตูเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วล่ะก็ เสียงเฮนี่ดังลั่นหน้าสนาม จนคนอย่างพิมที่ไม่เคยสนใจเรื่องฟุตบอลแม้แต่น้อย ก็เฮตามเค้าไปด้วยเลยอ่ะค่ะ ^_^
จบจากการดูฟุตบอลแล้ว (ผลคือเสมอ 1-1) ก่อนจะกลับเข้าที่พัก พวกเราก็ขอไปหาอะไรอุ่น ๆ ทานกันสักหน่อยค่ะ ซึ่งร้านที่เราเล็งเอาไว้ ก็คือ ร้านราดหน้ายอดผักที่ตลาดไนท์เก่านะคะ
แต่ว่าพิมคงจะไปถึงร้านดึกไปหน่อย สั่งหมี่กรอบ..หมี่กรอบหมด สั่งเส้นหมี่...เส้นหมี่หมด สั่งทะเล..ทะเลหมด - -" เลยบอกคนขายไปว่างั้นเอาอะไรก็ได้ค่ะที่ยังเหลืออยู่ สรุปแล้วเราทุกคนก็ได้มาเป็นเส้นใหญ่ราดหน้าหมูนี่แหละค่ะ ซึ่งขอบอกว่ารสชาติไม่ผิดหวังเลยนะคะ กลมกล่อม น้ำราดหน้าก็หอม ถ้าหากไม่ติดว่าดึกเกินไป ก็อยากจะเบิ้ลอีกสักจานล่ะค่า
และแล้วทริปบุรีรัมย์วันที่ 3 ของพิมก็จบลงอย่างอิ่ม อร่อย สนุกสนาน และเต็มอิ่มไปด้วยความประทับใจอีกวัน (แต่ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ คนอ่าน จะรู้สึกสนุกไปกับพิมด้วยรึเปล่า ฮาาา) .... ส่วนในวันพรุ่งนี้ พวกเราวางแผนกันไว้ว่าจะตื่นแต่เช้าไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ปราสาทหินพนมรุ้งกันค่ะ จากนั้นก็จะไปชมความงามของปราสาทเมืองต่ำ พอช่วงบ่ายก็จะไปชมการทอผ้าอัคนี ผ้าที่ย้อมสีด้วยดินภูเขาไฟที่หมู่บ้านเจริญสุข และช่วงเย็นก็จะไปที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ แล้วค้างคืนที่นั่น 1 คืน .... ซึ่งทั้งหมดจะสนุกแค่ไหน พิมจะเก็บความประทับใจอะไรใส่ภาพถ่ายกลับมาได้บ้าง ก็อยากให้เพื่อน ๆ คอยติดตามชมกันในตอนที่ 4 นะคะ ....... สวัสดีค่ะ ^_^
บุรีรัมย์ ตอนที่ 1 >> http://www.pim.in.th/outside/892-buriram-2015
บุรีรัมย์ ตอนที่ 2 >> http://www.pim.in.th/outside/893-buriram2015-2
บุรีรัมย์ ตอนที่ 3 >> http://www.pim.in.th/outside/897-buriram2015-3 << ตอนนี้เพื่อนๆ กำลังอ่านตอนที่ 3 อยู่จ้า
บุรีรัมย์ ตอนที่ 4 >> http://www.pim.in.th/outside/898-buriram2015-4
บุรีรัมย์ ตอนที่ 5 >> http://www.pim.in.th/outside/900-buriram2015-5
บุรีรัมย์ ตอนที่ 6 >> http://www.pim.in.th/outside/908-buriram2015-6
ทริปนี้พิมและลูกทีมทุกคน ขอขอบคุณสายการบิน Nokair ขอบคุณบริการรถเช่าจาก Thai Rent A Car CAR ขอบคุณรองเท้า KEEN ขอบคุณ Outdoor Innovation และขอบคุณเจ้าของงานครั้งนี้ คือ ททท ด้วยนะคะ ^_^