และแล้ววันนี้ก็มาถึงวันสุดท้ายของทริปบุรีรัมย์แล้วเน๊าะคะ ไวจริงเลย เช้าวันนี้พวกเราตื่นกันเร็วนิดนึง เพราะว่าเมื่อคืนได้นอนอย่างเต็มอิ่มกันทั่วทุกคนค่ะ
เช้าวันนี้เรานัดเจอกันที่ล๊อบบี้โรงแรมตอน 8 โมงเช้านะคะ กะว่าลงมากินอาหารเช้าแบบเบา ๆ ที่โรงแรมกันสักแป๊บนึง แล้วก็ค่อยออกเดินทางต่อ
ซึ่งปกติแล้วเนี่ย มื้อเช้าของที่โรงแรมพนมรุ้งปุรีนี่ เค้าจะกินกันในห้องอาหารบารายที่อยู่ด้านข้างสระน้ำของโรงแรมค่ะ แต่วันที่พิมไปมีองค์กรนึงเค้ามาจัดสัมมนาที่โรงแรม ก็เลยต้องย้ายที่ทานอาหารเช้ามาทานบริเวณรอบสระน้ำแทน แต่พิมว่าก็ดีไปอีกแบบนะคะ ชิว ๆ ดีค่ะ
อาหารเช้าของที่นี่ เท่าที่พิมเห็นว่ามีให้สั่งก็เป็นอาหารจานเดียวสไตล์ไทยๆ ซะแทบทั้งหมดนะคะ เช่นข้าวผัด ราดหน้า ผัดกะเพรา คะน้าหมูกรอบ ข้าวไข่เจียว ซึ่งเป็นอะไรที่พิมชอบมากกกเลยค่ะ ^_^ แต่ว่าก็ยังมีอาหารเช้าแบบฝรั่งที่เป็นชุด ABF ให้เลือกสั่งด้วยนะคะ เผื่อว่าใครไม่อยากทานอาหารเช้าแบบหนัก ๆ อ่ะ และที่สำคัญอันนี้พิมว่าเด็ดสุดคือ ถ้าเพื่อนๆ ทาน 1 จานไม่อิ่ม สามารถสั่งต่อได้เลยค่ะ เช่น จานแรกสั่งข้าวผัด แต่ไม่อิ่มม จานสองจะสั่งราดหน้ามาเพิ่มก็ได้นะคะ แถมแต่ละจานนี่เยอะเหมือนสั่งทานตามปกติเลยอ่ะค่า
เสร็จจากอาหารเช้า ระหว่างรอเพื่อนๆ ทุกคนพร้อมเดินทาง พิมก็แอบแว๊บไปแว๊บมาในบริเวณล๊อบบี้ของโรงแรม แล้วก็พบว่าทางโรงแรมเค้ามีสินค้าพื้นเมือง หรือจะเรียกว่าสินค้า OTOP ของบุรีรัมย์ จำพวกผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าภูอัคนี และข้าวที่ปลูกด้วยดินภูเขาไฟขายด้วยนะคะ แถมราคาก็แทบไม่แตกต่างจากที่ชาวบ้านขายกันเองเลยค่ะ เพราะงั้นถ้าเพื่อนๆ คนไหนมาพักที่พนมรุ้งปุรี แล้วไม่มีเวลาไปตามศูนย์ OTOP แต่อยากได้ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าซิ่นตีนแดงงามๆ สักผืน ก็หาซื้อได้ที่โรงแรมพนมรุ้งปุรีเลยนะคะ ^_^
จากพนมรุ้งปุรี จุดหมายแรกของการเดินทางในวันนี้ของพวกเราก็คือ ร้านขาหมูจิ้งนำ ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอนางรอง ไม่ไกลจากพนมรุ้งปุรีเลยอ่ะค่ะ ..... ถ้าเพื่อนๆ จำได้ เมื่อวานนี้พิมกับเพื่อนร่วมทริป เราพากันไปชิมขาหมูที่ร้านลักขณาในช่วงเย็น ก่อนจะเดินทางเข้าไปพักที่โรงแรม และพบว่าร้านจิ้งนำ ซึ่งเป็น 1 ใน 2 ร้านขาหมูชื่อดังของนางรอง ก็อยู่ฝั่งตรงข้ามร้านลักขณานั่นเอง เพราะงั้นพวกเราก็เลยคิดว่ายังไงวันนี้ก่อนจะไปยังจุดหมายอื่น เราจะต้องแวะไปชิมขาหมูจิ้งนำก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าอร่อยที่เค้าเล่าลือกันไหมนะคะ
ซึ่งที่ร้านจิ้งนำเนี่ย นอกจากขาหมูแล้ว เค้าก็ยังมีอาหารอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกเพียบเลยนะคะ ไม่ว่าจำเป็นต้ม แกง ผัด ยำ สารพัดนับหลายสิบเมนูเลยค่ะ และทั้งหมดเป็นอาหารทำสด ต่างจากที่ร้านลักขณาที่จะมีบางเมนูทำเอาไว้แล้วและใส่จานใส่ตู้กระจกรอไว้ให้คนมาชี้เลือกนะคะ
และสำหรับมื้อนี้ พวกเราคิดว่าไหนๆ เป็นมื้ออาหารในวันสุดท้ายของทริปก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ แล้ว พวกเราก็เลยตั้งใจสั่งมาลองชิมหลายอย่างค่ะ ไม่ว่าจะเป็นขาหมู ผัดโป๊ยเซียน ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ต้มยำปลาช่อน หมั่นโถว และอีก 2-3 เมนู แต่ระหว่างที่คิด 2-3 เมนูสุดท้าย ปรากฎว่าเค้ายกอาหาร 3 จานแรกที่พิมสั่งไปมาเสริฟแล้วค่ะ พอเห็นขนาดจาน เห็นปริมาณอาหารในจาน ความคิดที่จะสั่งอีก 2-3 เมนู เลยต้องล้มเลิกไป เพราะแต่ละจานมันเยอะมากค่ะ >_<
สำหรับรสชาติของอาหารที่นี่ ถ้าถามเฉพาะพิมนะ พิมรู้สึกว่าอาหารเค้ารสชาติดีนะคะ อย่างขาหมูก็จะค่อนข้างนุ่มเหมือนขาหมูแบบกรุงเทพฯ เลย แล้วน้ำขาหมูก็จะข้นๆ เหนียว ๆ หวานๆ หน่อย ไม่ใสเหมือนร้านลักขณา (พิมว่าเค้าเป็นขาหมูที่ดีกันไปคนละแบบนะคะ) ส่วนอาหารอย่างอื่นก็รสชาติกลาง ๆ ค่ะ ทานได้ทุกอย่าง ยกเว้นแต่ไก่ผัดเม็ดมะม่วงนี่ผิดคาดมาก ตอนแรกคิดว่าจะเป็นผัดแบบแห้งๆ แต่นี่อารมณ์เหมือนผัดน้ำพริกเผาที่น้ำเจิ่งๆ หน่อย แต่รสชาติก็ดีอยู่ค่ะ ^_^ และจบจากของคาว ก็ต่อด้วยของหวานคือรวมมิตรน้ำกะทิ ตอนแรกก่อนจะสั่งแอบคิดกันว่าคงจะเป็นแบบรวมมิตรในกรุงเทพฯ ที่มีเส้นลอดช่องสิงคโปร์สีขาว สีชมพู สีเขียว มีทับทิมกรอบ มีขนุนหวานๆ แต่พอมาเสริฟ ก็ถึงกับยิ้มกันเลยค่ะ คือรวมมิตรของที่นี่เค้าคือรวมเครื่องน้ำแข็งใสที่มีอยู่ในร้านทุกอย่าง ณ เวลานั้น เท่าที่พิมลองดูก็จะมีเฉาก๊วย มันเทศเชื่อม ลอดช่องสิงคโปร์ มีลูกชิด ใส่น้ำเชื่อม แล้วก็ราดกะทิสดประมาณ ... ก็อร่อยไปอีกแบบนะคะ ^_^ ฮี่ๆ เบ็ดเสร็จมื้อนี้ถ้าจำไม่ผิดอยู่ที่ 600 กว่าบาทค่ะ
อิ่มท้องกันจากมื้อเช้าที่โรงแรมและมื้อสายที่ร้านจิ้งนำกันไปแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางไปที่อื่นต่อล่ะค่ะ จุดหมายถัดไปของเราก็คือชุมชนบ้านหนองตาไก้ อ.นางรอง ซึ่งเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวชมผ้าไหมแห่งนึ่งที่มีชื่อเสียงมากของจังหวัดบุรีรัมย์เลยนะคะ
พูดถึงชุมชนหนองตาไก้แล้วเนี่ย อยากบอกเลยค่ะว่าตอนแรกที่พิมติดต่อไปหาตัวแทนของชุมชนเมื่อก่อนจะเดินทางสัก 3 สัปดาห์ ว่าอยากจะขอเข้ามาเยี่ยมชมชุมชน อยากขอดูขั้นตอนตั้งแต่การเลี้ยงไหม ไปจนกระทั่งได้ผ้าไหมออกมาเป็นผืนว่าเค้าทำกันยังไง แต่ต้องฝันสลายเพราะตัวแทนชุมชนบอกว่า ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูของการเลี้ยงไหมอ่ะค่ะ ชาวบ้านเค้าจะเลี้ยงไหมกันในช่วงหน้าร้อนซะเป็นส่วนใหญ่ - -" ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝน ชาวบ้านจะออกไปทำนากัน แล้วพอกลับมาถึงบ้าน หรือวันไหนที่หยุดอยูก็จะนำเส้นไหมที่ปั่นเอาไว้ตั้งแต่ตอนหน้าแล้งมาทอเป็นผ้า เพราะงั้นถ้าจะมาดูก็คงจะได้ดูแต่การทอผ้านะคะ ซึ่งตอนนั้นบอกตรงๆ ว่าก็มึนๆ งง ๆ คือโทรไปถามแทบทุกหมู่บ้านก็จะตอบอย่างนี้กันแทบทั้งนั้น ว่าหน้านี้ไม่ใช่หน้าเลี้ยงไหม เพราะงั้นพิมก็เลยว่า เอ๊าาา เอาก็เอา มีอย่างไหนก็ดูอย่างนั้นแหละค่ะ ถ้าเค้าไม่มีเราจะไปดูได้ยังไง เอาที่ชาวบ้านเค้าสะดวก เราไปแล้วไม่ทำความลำบากความยุ่งยากให้เค้านั่นน่าจะดีกว่า ก็เลยตอบพี่ตัวแทนชุมชนเค้าไปว่า ตามนั้นค่ะพี่ มีอย่างไหน หนูก็ขอดูอย่างนั้นนะคะ ^_^
"หนองตาไก้" เป็นหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในตำบลหนองกง อำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ค่ะ เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ที่มีความรุ่งเรืองมาตั้งแต่อดีต พอมาถึงปัจจุบันเลยถูกพัฒนาให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวไหมของบุรีรัมย์นะคะ ซึ่งที่นี่เนี่ยนอกจากจะมีการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม สาวไหม ฟอก ย้อม มัดหมี่ ทอผ้าไหมแล้ว ก็ยังมีโฮมสเตย์กว่า 20 หลังอีกด้วยค่ะ แต่ว่าวันนี้เนี่ยพวกพี่ ๆ เค้าไม่ค่อยสะดวกให้เราไปชมโฮมสเตย์เพราะว่าเค้าออกไปทำนากันซะเป็นส่วนใหญ่ พวกเราก็เลยตั้งใจว่าจะขอพี่เข้าชมขั้นตอนในการทอผ้าไหมเพียงอย่างเดียวค่าาา
แต่ขอบอกว่า เป็นอะไรที่เราโชคดีมากๆ เลยค่ะ เพราะพอเราไปถึงที่หนองตาไก้ พี่ที่เป็นตัวแทนพาเราชมก็บอกกับเราว่า บ้านหลังที่จะพาเราไปชมการทอผ้าไหม เค้ามีตัวไหมที่กำลังเลี้ยงอยู่ด้วย แต่เพิ่งกำลังเริ่มเลี้ยงนะคะ เราก็เลยบอกว่าไม่เป็นไรค่ะพี่ เริ่มเลี้ยงก็ได้อ่ะ ถ้าเจ้าของบ้านเค้าสะดวกให้ดูก็อยากจะรบกวนขอดูสักหน่อยนะคะ
และเมื่อไปถึงบ้านพี่เจ้าของบ้านทอผ้าไหม พี่เค้าก็ชี้ให้เราดูค่ะว่า ปกติแล้วตรงโซนนี้ที่มีชั้นมีกระด้งเยอะๆ นี่แหละค่ะคือที่เลี้ยงไหม ซึ่งถ้ากระด้งไหนกำลังเลี้ยงไหมอยู่ก็จะมีผ้าห่อ ๆ เอาไว้นะคะ เพื่อกันไม่ได้ตัวหนอนไหมกระดึ๊บๆ ออกมา และเพื่อให้หนอนไหมอยู่ในความมึด จะได้กินๆๆๆ ตลอดเวลาอ่ะค่ะ
แล้วพี่เจ้าของบ้านเค้าก็หยิบเอากระด้งนึงออกมาเปิดให้ดู บอกว่านี่เป็นหนอนไหมที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงได้ประมาณ 6 วัน และจะต้องเลี้ยงไปจนถึงประมาณ 50 กว่าวันถึงจะได้รังไหม เพื่อนำมาใช้ในขั้นตอนต่อไปได้อ่ะค่ะ
(หนอนตัวกระดุ๊กกระดิ๊กน่ารักมากๆ ฮี่ๆ)
โดยพืชหลักที่นำมาเลี้ยงหนอนไหม ก็คือ ต้นหม่อนนะคะ แต่ไม่ใช่ว่าใบหม่อนทุกใบจะนำมาเป็นอาหารของหนอนไหมได้ทั้งหมด เราจะต้องเลือกความแก่อ่อนของใบหม่อนให้เหมาะสมตามช่วงอายุของหนอนไหมด้วยอ่ะค่า แถมยังต้องคอยดูแลเรื่องความสะอาด เรื่องของอุณหภูมิในการเลี้ยง คือดูๆ ไปแล้วเหมือนว่าง่าย ก็แค่เลี้ยงหนอน แต่จริงๆ ยุ่งยากอยู่เหมือนกันนะคะ >_<
และหลังจากที่เราเลี้ยงไหมไปได้สักพัก เมื่อหนอนไหมเข้าสู่วัยหนอนแก่ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าหนอนสุก ก็จะชักใยทำรังหุ้มตัวเอง แล้วก็ลอกคราบเป็นดักแก้ จากนั้นประมาณ 8-10 วันก็จะกลายร่างเป็นผีเสื่อและเจาะรังไหมออกมาเพื่อผสมพันธุ์และวางไข่ต่อไป แล้วเมื่อถึงตรงนี้เราก็จะได้รังไหมมา แล้วก็จะนำไปสาวเป็นเส้นไหมกันต่อไปอ่ะค่ะ โดยถ้าเป็นหนอนไหมพันธุ์ไทยแท้ก็จะได้เส้นไหมออกมาเป็นสีเหลือง แต่ถ้าเป็นพันธุ์ไทยลูกผสมก็จะได้เส้นไหมออกแนวสีขาวโปร่งแสงนะคะ (ในภาพด้านล่างคือไหมด้านใน จะเป็นเส้นละเอียด แต่ถ้าเป็นไหมด้านนอกหรือที่ชาวบ้านเรียกว่าไหมเปลือกนอก เส้นจะหยาบ จะเอาไปใช้งานต่างกันค่ะ)
จากนั้นก่อนจะนำไปทอเป็นผ้า ก็จะมีการย้อมสีเพื่อให้ได้สีตามต้องการนะคะ โดยพี่เจ้าของบ้านบอกว่าช่วงนี้สีที่นิยมๆ กันมาก ถ้าเป็นคนไทยคือสีเทาควันบุหรี่ แต่ถ้าเป็นลูกค้าต่างชาติ คือสีแดง น้ำเงิน ม่วง ประมาณนี้อ่ะค่ะ
และเมื่อได้เส้นไหมที่ย้อมสีเสร็จแล้ว ทำอะไรต่อมิอะไรเสร็จแล้ว พี่เค้าก็จะนำมาทอให้เป็นผืนผ้าอย่างที่ต้องการ
อย่างในภาพพี่เค้าก็จะทอเป็นผ้าพันคอนะคะ โดยถ้าเป็นผ้าพันคอเนี่ย พี่เค้าก็จะทอกันแบบผืนยาวๆ เลยค่ะ แล้วค่อยเอามาตัดให้ได้ความยาวตามต้องการ แต่ถ้าเป็นพวกผ้าซิ่น ผ้าผืน พี่เค้าก็จะทอกันทีละผืน ไม่ทอยาวๆ นะคะ
ซึ่งเมื่อทอไปได้สักระยะ ส่วนที่ทอเสร็จแล้วก็จะออกมาหน้าตาอย่างในภาพด้านล่างนี้อ่ะค่ะ ขอบอกว่าเห็นเนื้อผ้าหยาบ ๆ อย่างนี้ แต่พอได้ลองสัมผัสแล้ว มันนุ่มมากเลยค่า ^_^
ดูการสาวไหม ทอผ้าไหมกันไปได้สักพักใหญ่ พี่ที่เป็นตัวแทนนำชมบ้านหนองตาไก้ ก็พาเราไปที่บ้านค่ะ ซึ่งที่บ้านหลังนี้เนี่ยจะเป็นบ้านที่รวบรวมผลิตภัณฑ์ผ้าไหมจากคนในหมู่บ้านมาเตรียมไว้เพื่อให้พร้อมขายนะคะ
โดยส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผ้าไหมของที่นี่ก็จะมีผ้าซิ่น ผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ซะเป็นส่วนใหญ่ค่ะ ไม่ได้มีการแปรรูปเอาไปทำผลิตภัณฑ์อย่างอื่นเหมือนอย่างชุมชนอื่น ซึ่งพิมว่าก็ดีไปอีกแบบนะคะ คงเสน่ห์แบบสมัยเก่า ๆ ดีอ่ะค่ะ
ราคาของผ้าทุกชิ้น ขึ้นกับว่าใช้ไหมอะไร ทำเป็นผลิตภัณฑ์อะไร และก็มีลวดลายแบบไหน อย่างผ้าซิ่นตีแดงในภาพด้ายซ้ายและผ้าซิ่นในภาพด้านขวาจะราคาสูงนิดนึงค่ะ ราคาผืนละประมาณ 2500 - 3000 บาท
ถ้าเป็นพวกผ้าคลุมไหล่ ก็จะอยู่ราว ๆ ผืนละ 1500 - 1600 บาทนะคะ
ส่วนผ้าพันคอจะถูกลงมาหน่อย ราคาผืนละประมาณ 500 บาท ซึ่งทั้งหมดฟังแต่ราคาเหมือนว่าจะแพงนะคะ เพราะเมื่อก่อนพิมก็เคยคิดแบบนี้ - -" แต่พอมาได้ดูวิธีการทำจริง ๆ กว่าจะได้มาซึ่งผ้าไหมแต่ละผืน มันทั้งใช้เวลานาน และใช้ภูมิปัญญาจริง ๆ เพราะงั้นเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับแล้ว ขอบอกว่าไม่แพงเลยค่ะ ขนาดพิมเป็นคนงกๆ ไม่ค่อยใช้จ่ายอะไรกับเรื่องพวกนี้ ยังซื้อมาตั้ง 3 ผืนเลยนะคะ ^_^
จากหมู่บ้านหนองตาไก้ จุดหมายถัดไปของเราก็คือ ร้านขาหมูเพิ่มพูนที่อยู่่ในอำเภอลำปลายมาศจังหวัดบุรีรัมย์นะคะ ซึ่งเราได้ยินมาว่าที่บุรีรัมย์เนี่ยนอกจากขาหมูร้านลักขณากับจิ้งนำที่ อ.นางรอง แล้ว ก็ยังมีขาหมูที่ร้านเพิ่มพูน อ. ลำปลายมาศ ที่ควรจะไปลองมาก เพราะงั้นพวกเราก็เลยวางแผนกันไปว่าจะไปกินข้าวกลางวันที่ร้านเพิ่มพูนกันค่ะ
ตอนแรกเราก็กะเอาไว้ว่าจะไปถึงร้าขาหมูเพิ่มพูนประมาณเที่ยงครึ่งกว่าๆ หรือเลทยังไงไงก็ไม่เกินบ่ายโมงนะคะ (ร้านเค้าปิดบ่ายโมง เลทสุดบ่ายโมงครึ่ง) แต่ปรากฎว่าอยู่ดีๆ ระหว่างทางฝนก็ตกลงมาหนักมากเลยค่ะ บางช่วงมองแทบไม่เห็ฯทาง ต้องค่อยๆ กระดึ๊บ ๆ ขับรถแบบคลาน ๆ กันไป จนในที่สุดก็มาถึงสถานีรถไฟลำปลายมาศเอาตอนประมาณบ่าย 2 โมงนะคะ (ร้านขาหมูเพิ่มพูน อยู่ใกล้ๆ สถานีรถไฟ)
ตอนนั้นเนี่ยแอบภาวนาขอให้วันนี้ร้านปิดเลทสักวันเถอะ เพราะเราตั้งใจมาแล้ว และไม่อยากพลาด แต่ปรากฎว่าปาฎิหาริย์ไม่มีจริงสำหรับทริปนี้ค่ะ T__T เพราะพอเราขับไปถึงหน้าร้านเพิ่มพูน (ในขณะที่ฝนก็ยังตกตลอดเวลา แต่ว่าซาเม็ดลงบ้างแล้ว) ก็ปรากฎว่าร้านปิดไปแล้วค่ะ วินาทีนั้นแบบว่าใจหวิว ๆ ปิ๋ว ๆ เลยนะคะ แต่ก็ทำใจกล้าลงจากรถ เดินเข้าไปถามเค้าว่ายังพอมีอะไรเหลือบ้างไหม
เจ้าของร้านเค้าก็บอกว่า ถ้าเป็นแบบนั่งกินนี่ไม่มีแล้ว เก็บร้านหมดแล้ว เหลือแต่ขาหมูแบบแพคเป็นถุงๆ ละ 1 ขา สำหรับคนที่อยากจะเอากลับไปทานที่บ้านหรือกลับไปฝากลูกฝากหลาน ซึ่งพิมเห็นแบบนั้นก็อยากจะซื้อกลับไปสัก 2-3 ขานะคะ เพราะเค้าว่ากันว่าอร่อยมาก แต่ว่าพิมไม่สะดวกเลยจริง ๆ เพราะขากลับต้องขึ้นเครื่องกลับ และน้ำหนักกระเป๋าที่จะโหลดได้มันก็เต็มหมดแล้วอ่ะค่ะ ก็เลยได้แต่ถ่ายภาพมาฝากเพื่อนๆ ว่าขาหมูถุงๆ ที่ร้านนี้เป็นยังไง และบอกกับตัวเองว่าครั้งหน้าจะไม่ให้พลาดแบบนี้อีกแล้วนะคะ T__T
จากร้านขาหมูเพิ่มพูน ดูเวลาแล้วไปแวะที่อื่นคงไม่เหมาะแน่ๆ ค่ะ เพราะเราจะต้องขับรถจากบุรีรัมย์ไปที่สนามบินขอนแก่น เพื่อคืนรถตอน 18.45 น. และขึ้นเครื่องตอน 20.00 น. ซึ่งเหลือเวลาอีกแค่เพียง 4 ชม. กว่าๆ เท่านั้นเอง เพราะงั้นเราก็เลยคิดว่า งั้นตรงไปขอนแก่นกันเลยดีกว่า แล้วถ้าเจออะไรที่น่าสนใจระหว่างทางค่อยแวะนะคะ
แต่ปรากฎว่าถนนเส้นที่เราจะต้องขับผ่านเพื่อไปยังขอนแก่น น้ำท่วมเป็นระยะๆ ค่ะ - -" แถมบางช่วงก็ฝนตกหนัก จนแทบมองไม่เห็นทางเหมือนตอนขับมาที่ อ.ลำปลายมาศ ก็เลยทำให้เราขับรถแบบทำเวลากันไม่ได้เลยนะคะ ต้องค่อย ๆ ขับประคองๆ มาอย่างช้าๆ เพราะไม่งั้นถ้าขับเร็วอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ค่ะ
แล้วสุดท้ายเราก็มาถึงจังหวัดขอนแก่นเอาตอนเวลา 5 โมงเย็นเกือบๆ ครึ่งนะคะ ซึ่งตอนนั้นเนี่ยเราก็เพิ่งจะนึกกันได้ว่า เรายังไม่ได้กินข้าวกลางวันกันเลย ข้าวเย็นก็เหมือนกัน แต่ครั้นจะขับเข้าไปในเมืองเพื่อกิน แล้วขับออกมาที่สนามบินอีกครั้งก็เกรงจะไม่ทันเวลาอ่ะค่ะ
เราเลยตัดสินใจแวะกันที่ร้านประไพร ซึ่งอยู่ด้านหน้าทางเข้าสนามบินขอนแก่น เพื่อหาข้าวทานกันนะคะ
ซึ่งเมนูอาหารของที่ร้านประไพรนี่ก็มีมากจนเราสั่งแทบไม่ถูกเลยค่ะ มีหลากหลายประเภทตั้งแต่อาหารจานเดียว กับแกล้ม อาหารไทย จีน อิสาน
แต่ด้วยเวลาแล้ว พวกเราก็เลยตัดสินใจสั่งอาหารที่พื้น ๆ ที่สุด ก็คือ ราดหน้า ลาบ ข้าวผัด ไส้กรอกอิสานทอด และก็อ่อมหมูสำหรับเอาไว้มาซดน้ำนะคะ
ซึ่งหลังจากที่ได้ชิมแล้ว อาหารที่นี่รสชาติก็โอเคนะคะ แต่ว่าราคาก็จะสูงนิดนึง อย่างราดหน้ากุ้งของพิม ทีมีกุ้งอยู่ประมาณ 3 ตัว ถ้าจำไม่ผิดจานละ 120 หรือ 130 บาทนี่แหละค่ะ ดูเผินๆ เหมือนจะแพง แต่ถ้าด้วยทำเลที่ตั้งที่เราไม่ต้องเข้าไปหาอะไรกินถึงในเมือง ก็โอเคอยู่นะคะ เพราะงั้นมื้อนี้ของพวกเราเลยอยู่ที่เกือบ ๆ 800 บาทค่ะ ^_^
และพอเราอิ่มจากร้านประไพร เราก็รีบขับรถตรงดิ่งมาเข้าสนามบินเลยค่ะ เพื่อคืนรถให้กับ Thai Rent A Car และก็วิ่งดุ๊บ ๆ ไปที่เคาเตอร์ Nok Air เพื่อที่จะเช็คอินและโหลดกระเป๋า ซึ่งตอนขามาเนี่ยขอบอกว่ากระเป๋าพิมเบามากๆ แต่ตอนขากลับโหลดเต็มน้ำหนักไม่เหลือสักกิโลเลยค่ะ ฮ่าๆ
แล้วหลังจากเช็คอินไม่นาน ทางนกแอร์ก็ประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่อง
และหลังจากใช้เวลาบินประมาณ 55 นาที นกแอร์ก็พาพิม และเพื่อนๆ ร่วมทริปนี้ทุกคนกลับถึงสนามบินดอนเมืองได้อย่างปลอดภัย ....... งานนี้พิมก็ต้องขอขอบคุณการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ทำโปรเจกต์นี้ขึ้นมา ขอบคุณนกแอร์ที่พาเราบินจากกรุงเทพฯ ไปถึงขอนแก่น และพาเรากลับจากขอนแก่นมายังกรุงเทพฯ ขอบคุณ Thai Rent A Car ที่ให้เรายืมรถ Mitsubishi Pajero ไปใช้เที่ยวตั้ง 6 วัน ขอบคุณรองเท้า Keen ขอบคุณ Outdoor Innovation ที่ช่วยสนับสนุนอุปกรณ์ในการเดินทาง ขอบคุณชาวจังหวัดบุรีรัมย์ที่แม้เราจะไม่เคยได้เจอกันมาก่อน แต่ก็มีรอยยิ้มให้พวกเราตลอดไม่ว่าจะเดินทางไปไหน ขอบคุณเพื่อนๆ ร่วมทริปทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นคุณสามี น้องพัช คุณอ๋อง ที่ช่วยกันวางแผน และร่วมกันเดินทาง ทำให้ทริปบุรีรัมย์ของพวกเราประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี แม้จะมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเข้ามา และจะไม่ได้เจอบางสิ่งที่เราหวังไว้ ก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่น่าจดจำมากเลยค่ะ และที่สำคัญขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่แวะเข้ามาอ่าน ขอบคุณจริง ๆ นะคะ แล้วเจอกับพิมใหม่ในการเดินทางครั้งหน้า สวัสดีค่ะ^_^
บุรีรัมย์ ตอนที่ 1 >> http://www.pim.in.th/outside/892-buriram-2015
บุรีรัมย์ ตอนที่ 2 >> http://www.pim.in.th/outside/893-buriram2015-2
บุรีรัมย์ ตอนที่ 3 >> http://www.pim.in.th/outside/897-buriram2015-3
บุรีรัมย์ ตอนที่ 4 >> http://www.pim.in.th/outside/898-buriram2015-4
บุรีรัมย์ ตอนที่ 5 >> http://www.pim.in.th/outside/900-buriram2015-5
บุรีรัมย์ ตอนที่ 6 >> http://www.pim.in.th/outside/908-buriram2015-6 << ตอนนี้เพื่อนๆ อ่านตอนสุดท้ายอยู่นะคะ ^_^