หลังจากที่เมื่อคืนพิมเข้านอนไปตอนเที่ยงคืนกว่าๆ และตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ตอนตี 4 เพราะคุณยักษ์บอกว่าถ้าเราจะไปซุ่มดูช้างกัน เราต้องออกจากนี้กันตั้งแต่ตี 4 ครึ่งนะ หรืออย่างช้าสุดก็ตี 5 ไม่นั้นจะไม่ทันช้างอ่ะค่ะ
ปรากฎว่าเช้านี้พิมไม่อยากตื่นเลยค่า เพราะว่ากว่าเมื่อคืนเราจะเม้าท์มอย เอ๊ยยย.ย.ย.ย. ไม่ใช่สิคะ >_< กว่าเรา จะจัดข้าวของผลัดอาบน้ำอาบท่ากันเสร็จก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่าแล้ว เพราะงั้นพอต้องตื่นตี 4 ร่างกายเราก็เลยรู้สึกเหมือนว่าไม่อยากจะตื่นเลยน่ะค่ะ - -" จนแอบคิดในใจตอนที่นาฬิกาปลุกว่า เราแกล้งทำเนียนๆ ปวดหัวดีไหมนะ แล้วก็บอกเพื่อนร่วมทริป บอกคุณสามีว่าไม่ไหว แล้วให้เค้าไปกัน 3 คน ส่วนเรานอนต่อ แล้วค่อยตื่นอีกทีตอนสัก 6 โมงเช้าน่ะ
แต่......ปรากฎว่าแม้ร่างกายมันจะรู้สึกว่าไม่ไหว แต่ใจมันอยากไปดูมากกกก..กก. เลยค่ะ สรุปแล้วช้างก็เลยชนะความง่วงของพิมฮ่ะๆ ยอมลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟัน แล้วก็รวมตัวกันไปเจอที่หน้าบ้านพักของคุณยักษ์ เพื่อจะขับรถไปดักดูช้างป่าที่ลงมาหากินตอนเช้ามืดกันค่า
จากบ้านพักเราขับรถแบบเบาๆ ผ่านป่าออกมาประมาณ 6 โลเพื่อมาจอดดักดูช้างป่า ณ จุดที่เราเจอช้างเมื่อวานนี้นะคะ
แต่เหมือนว่าโชคจะไม่เข้าข้างพิมสักเท่าไหร่ - -" เพราะหลังจากพวกเราจอดรถแล้วทำตัวเฉย ๆ อยู่ประมาณ 1 ชม. กว่าๆ จนถึงราวตี 5 ครึ่ง พวกเราก็เริ่มได้ยินเสียงช้างที่ร้องเรียกกันไปมาภายในฝูงในระยะไม่ไกลมากนัก พร้อมทั้งเหมือนเห็นหลังช้างไวๆ ประมาณสิบกว่าเชือกอยู่ที่ตรงริมทุ่งหญ้าสุดปลายสายตา ซึ่งตอนนั้นขอบอกเลยนะคะว่าแอบตื่นเต้นและดีใจมากกกก ภาวนาให้ช้างเดินเข้ามาด้านในทุ่งหญ้าอีกสัก 30-50 เมตร เผื่อว่าเราจะได้เห็นเค้าชัดเจนมากขึ้น .......... แต่หลังจากยืนรออยู่เกือบครึ่งชั่วโมงนับจากวินาทีแรกที่ได้ยินเสียงช้าง ปรากฎว่าก็ไม่มีวี่แววว่าช้างจะเดินออกมากินหญ้าด้านในๆ เลยสักนิดอ่ะค่ะ
สรุปแล้วเช้าวันนี้ ... พิมก็ยังคงได้เห็นช้างป่าในระยะไกลมากๆ เหมือนเมื่อเย็นวานนะคะ T__T แต่ ..... ไม่เป็นไรค่ะ พิมไม่ได้ซีเรียสนะ เห็นหรือไม่เห็นก็ไม่เป็นไร แค่มาได้สัมผัสกับต้นไม้ สัมผัสกับบรรยากาในป่า ได้กลิ่นหอมของต้นหญ้า พิมก็มีความสุขมากมายแล้วอ่ะค่ะ แต่ถ้าได้เห็นช้างป่าในระยะอันใกล้ ได้เก็บภาพฝากมาเพื่อนๆ จะดีกว่านี้นะคะ ฮ่าๆ
จากจุดดูช้างป่า คุณยักษ์บอกว่าเดี๋ยวจะขับรถพาเราไปที่อ่างเก็บน้ำลำนางรอง ซึ่่งอยู่ลึกเข้าไปในป่าด้านใน เพื่อไปดูบรรยากาศรอบ ๆ อ่างเก็บน้ำอ่ะค่ะ แต่ระหว่างทางที่เราขับรถผ่าน เราก็ได้เจอกับกองขี้ช้างกองนึงที่ยังเปียกแฉะอยู่ (ก้อนสีน้ำตาลดำๆ ที่อยู่ในภาพด้านล่าง) ซึ่งคุณยักษ์บอกว่าขี้ช้างกองนั้นสดมาก แสดงว่าน่าจะมีช้างป่าเดินผ่านจุดตรงนี้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมา พอเราเห็นแล้วเราก็แอบเสียดายกันมากเลยนะคะ >_< แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ โอกาสนี้พลาดไป โอกาสหน้าค่อยมาใหม่ ดงใหญ่อยู่ห่างจากบ้านพิมแค่ 4 ชม. กว่า ๆ ไว้ว่าง ๆ เราค่อยขับรถมาอีกหลายๆ รอบก็ยังได้เลยนะคะ ^_^
และจากจุดที่เราเจอขี้ช้าง เลยไปอีกนิดจะเป็นแอ่งน้ำใหญ่อยู่ริมถนน คุณยักษ์บอกว่าช้างฝูงที่เราเห็นลิบ ๆ เมื่อตะกี้ ชอบลงมาเล่นน้ำที่นี่มากเลยค่ะ โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน ซึ่งจุดที่ช้างเดินลง (จริงๆ ต้องเรียกว่าไถลตรูดลง) ก็คือ ตรงช่วงดินสีน้ำตาลอ่อนๆ 3-4 จุดในภาพด้านล่างนี่แหละค่ะ
จากแอ่งน้ำที่ช้างชอบลงไปเล่นน้ำ คุณยักษ์ก็ขับรถพาเราตรงไปที่อ่างเก็บน้ำลำนางรองนะคะ ระหว่างทางพวกเราก็เห็นไก่ฟ้าพญาลอ 2-3 ตัว นกยูง 1 ตัว กวาง 1 ตัว และเห็นนกสวยๆ แปลกตาอีกหลายตัวในระยะที่ไกลมาก หรือถ้าไม่ไกล ก็มักจะเจอกิ่งไม้บ้าง ต้นหญ้าบ้าง บังอยู่ ก็เลยไม่สามารถถ่ายรูปมาฝากเพื่อนๆ ได้อ่ะค่ะ - -"
เราใช้เวลาขับรถบ้าง จอดแวะดูสัตว์บ้าง ประมาณ 40 นาที เราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำลำนางรองล่ะนะคะ
อ่างเก็บน้ำลำนางรองเป็นอ่างเก็บน้ำขนาด 1 แสน 3 หมื่นกว่าลูกบาศก์เมตร ที่สร้างเสร็จเมื่อกลางปี 2551 มีจุดประสงค์ในการสร้างเพื่อไว้ใช้เป็นแหล่งน้ำให้กับสัตว์น้อยใหญ่ที่อยู่ภายในป่าดงใหญ่แห่งนี้ค่ะ ซึ่งช่วงเช้าๆ ก็มักจะมีฝูงเป็ดแดงบินร่อนไปร่อนมาที่เหนืออ่างกเก็บน้ำ และก็มีนกอ้ายงั่วดำผุดดำว่ายอยู่บริเวณผิวน้ำนะคะ พอช่วงกลางวันไปถึงเย็นๆ ก็จะมีนกป่าสารพัดชนิดบินมาจิกลูกไทรที่อยู่บริเวณชายป่าริมอ่างเก็บน้ำ แล้วบางทีก็ยังมีฝูงนกเขาเปล้า นกมูม นกขุนทอง นกตั้งล้อสีเขียวสด และฝูงนกแขกเต้ามาบินร่อนแถว ๆ นี้อีกด้วยอ่ะค่ะ ^_^
คุณยักษ์เล่าให้ฟังว่าในปีที่ผ่านๆ มา แม้ฝนจะแล้งมากขนาดไหน ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำลำนางรองก็ไม่เคยน้อยเท่านี้มาก่อนเลยนะคะ จนมาปีนี้แหละที่ฝนไม่ตกติดต่อกันมากว่า 2 เดือน บวกกับอากาศที่ร้อนจัด แดดที่แรงมาก ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำลำนางรองก็เลยลดลงจนน่าใจหาย เป็นสาเหตุให้ช้างป่าต้องลงมาหากินในป่าข้างล่างนี่แหละค่ะ >_< พิมเองได้ฟังที่คุณยักษ์เล่าแล้วก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ได้แต่ภาวนาและเอาใจช่วยให้ฝนตกไวๆ นะคะ
และหลังจากเราเดินชมบรรยากาศรอบอ่างเก็บน้ำลำนางรองกันอยู่พักนึง ประมาณ 7 โมง 15 ก็ได้เวลาเดินทางกลับไปที่พักกันแล้วล่ะค่ะ ... ก่อนกลับคุณยักษ์ก็แวะเก็บใบสะเดาอ่อนๆ จากต้นที่อยู่ข้างอ่างเก็บน้ำติดไม้ติดมือกลับไปด้วย เพื่อไว้เป็นผักจิ้มน้ำพริกในมื้อเช้าวันนี้นะคะ ^_^
ที่พักของเรา (คือของพิม และของคุณยักษ์) อยู่แถวๆ บริเวณที่ทำการหน่วยพิทักษ์ป่าละเลิงร้อยรูค่ะ ..... "ละเลิง" เป็นภาษาท้องถิ่น แปลว่าตาน้ำ ส่วนคำว่า "ร้อยรู" หมายถึงจำนวนของตาน้ำที่ผุดขึ้นมานับร้อยๆ รูในบริเวณหนึ่ง พอเอามารวมกันแล้วก็เลยกลายเป็นชื่อพื้นที่ว่า "ละเลิงร้อยรู" นะคะ
"ละเลิงร้อยรู" เมื่อสัก 20 กว่าปีก่อนเคยเป็นค่ายอพยพของชาวเขมรจำนวนหลายหมื่น (บางสื่อก็บอกว่าเป็นแสน) ทำให้พื้นที่บางส่วนของป่าแห่งนี้ถูกทำลายไป และจากตาน้ำหลายร้อยรูในบริเวณนี้ก็ถูกขุดให้กลายเป็นแอ่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ จนไม่สามารถคืนสภาพเดิมของตาน้ำให้กลับมาเป็นอย่างเดิมดั่งคำว่า "ละเลิงร้อยรูป ได้แล้วอ่ะค่ะ ...... แบบว่าแอบเศร้าเน๊อะคะ T__T
และหลังจากเดินชมธรรมชาติ ต้นไม้ใบหญ้า สูดอากาศบริสุทธิ์บริเวณละเลิงร้อยรูอยู่สักพักใหญ่ พวกเราก็พากันเดินกลับไปยังบ้านพัก เพื่ออาบน้ำอาบท่าและเก็บกระเป๋าเตรียมไว้สำหรับการเดินทางต่อไปในช่วงเวลาสายๆ ของวันนี้อ่ะค่ะ ^_^
แต่ก่อนจะเดินทางออกไปจากเขตป่าดงใหญ่ พวกเราก็ไม่ลืมที่จะหาเสบียงใส่ท้องกันก่อนนะคะ (เพราะเมื่อวานเราซื้อวัตถุดิบมาเพียบบบ) ซึ่งแน่นอนว่างานนี้เราก็จะต้องไปขออาศัยครัวที่บ้านพักของคุณยักษ์อ่ะค่ะ
ตอนแรกเรากะว่า มื้อนี้เราจะทำแกงจืดเต้าหู้หมูสับ ไข่เจียว และก็ผัดผักบุ้งนะคะ แต่ปรากฎว่าพอเดินไปถึงที่ครัว คุณยักษ์ก็เดินมาบอกว่าแฟนเค้าทำอาหารไว้ให้พวกเราเรียบร้อยแล้วนะ มีทั้งน้ำพริก ผักสดๆ แกงปลี และก็ไส้กรอกทอด พร้อมกับชี้มือไปที่แฟนเค้าซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะใต้ต้นไม้ถัดไปประมาณสัก 10 เมตรอ่ะค่ะ ..... ซึ่งพอเราเห็นอย่างนั้น บอกตามตรงว่ารู้สึกเกรงใจมากเลยนะคะ คือเค้าเคยทำกินกันแต่ภายในครอบครัวเค้า อยู่ดีๆ ก็ต้องมาทำให้ให้เราอีกตั้ง 4 คน - -" เกรงใจจริง ๆ ค่ะ แต่คุณยักษ์ก็เหมือนจะอ่านใจเราออก ก็บอกว่าเค้าตั้งใจทำให้จริงๆ นะ อยากให้เราลองชิมสักหน่อย ....... พวกเราก็เลยปฏิเสธไม่ลงล่ะค่า ^_^
แต่ด้วยความที่เราตั้งใจแล้วว่ามื้อนี้จะขอทำกับข้าวกินด้วยตัวเองสักหน่อย บวกกับคิดว่ากับข้าวที่คุณยักษ์เตรียมไว้ให้ไม่น่าจะพอ เพราะพวกเราแต่ละคนกินจุๆ กันทั้งน๊านนน >___< (ดูเอาาจาก 4 วันที่ผ่านมา ฮ่ะๆ) ก็เลยบอกคุณยักษ์ว่างั้นพิมขอทำกับข้าวเพิ่มสัก 2 อย่างได้ไหม เอาที่มันง่าย ๆ เนี่ยแหละค่ะ คุณยักษ์ก็บอกว่าตามสบายเลย อยากทำอะไรก็หยิบหม้อไหกระทะที่อยู่ข้างครัวไปทำได้เลยนะ พิมก็เลยตัดสินใจทำผัดผักบุ้งหมูสับ กับไข่เจียวใส่หัวหอมแดงซอย 2 อย่างนี่แหละค่ะ ^^
และหลังจากที่พิมไปขลุกอยู่ในครัวบ้านคุณยักษ์เกือบๆ 20 นาที อาหารสำหรับพวกเราในเช้าวันนี้ก็พร้อมแล้วล่ะค่าาา ซึ่งงานนี้มีทั้งน้ำพริกปลาร้า กินคู่กับแตงกวา ผักกาดขาวสดๆ และฝักเพกาย่างจนสุกหอม มีแกงปลีไม่ใส่กะทิที่ใช้เครื่องแกงแบบแกงใต้ มีไข่เจียวเนื้อหนานุ่มที่ใส่หอมแดงและต้นหอมซอย และมีผัดผักบุ้งจีนหมูสับที่ทุบพริกใส่ไปหลายเม็ดออกเผ็ดๆ เค็มๆ ทั้งหมดกินคู่กับข้าวหอมมะลินิ่มๆ ที่คุณยักษ์ซื้อข้าวมาจากชาวบ้านแถวนี้ ขอบอกว่าเป็นอีกมื้อเช้าที่อร่อยสุดยอดไปเลยอ่ะค่ะ ^_^
อิ่มจากมื้อเช้าแล้ว พวกเราก็ได้เวลาเดินทางกันต่อแล้วนะคะ ... และแม้เราจะเพิ่งได้เจอกับคุณยักษ์เพียงแค่ 1 วัน 1 คืน แต่ด้วยความที่เมื่อวานและเมื่อคืนรวมไปถึงเมื่อเช้า เราได้คุยอะไรกันมากมาย คุณยักษ์ได้เล่าให้พวกเราฟังว่า ชีวิตการทำงานในป่าดงใหญ่ของเค้าเป็นยังไง ในระหว่างการทำงานเค้าได้เจออะไรมาบ้าง รวมถึงชีวิตครอบครัวเค้าเป็นยังไง และเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย มันก็เลยทำให้เราต้องเสียน้ำตานิดๆ ยามที่จากกันอ่ะค่ะ (จริงๆ มีพิมคนเดียวแหละที่เสียน้ำตา T__T)
จากป่าดงใหญ่ จุดหมายปลายทางของพิมในวันนี้ก็คือ อำเภอนางรอง ซึ่งอยู่ถัดจากอำเภอโนนดินแดง (ป่าดงใหญ่) ไป 2 อำเภอนะคะ แต่ระหว่างทางเราจะขอแวะไปที่ชุมชนบ้านโคกเมืองกันสักหน่อยก่อนค่ะ
พูดถึงชุมชนบ้านโคกเมืองแล้ว จริงๆ ในแผนการเดินทางเดิมของเรา ไม่ได้จะแวะมาที่นี่เลยนะคะ เพราะเท่าที่พิมหาข้อมูลดูก่อนจะมา ก็พบว่าที่บ้านโคกเมืองเนี่ยเค้ามีชื่อเสียงค่อนข้างมากอยู่แล้วค่ะ พวกเราก็เลยคิดว่าอยากลองไปชุมชนอื่นดูบ้าง เผื่อว่าจะช่วยประชาสัมพันธ์ให้คนภายนอก หรือนักท่องเที่ยวได้รู้จักเท่ากับชุมชนโคกเมืองนะคะ แต่ปรากฎว่าหนึ่งในชุมชนที่เราวางแผนไว้ว่าจะไป มีเรื่องด่วนขึ้นมา ทำให้ไม่สะดวกที่จะคุยกับเรา แผนการของเราก็เลยต้องเปลี่ยนไปอ่ะค่ะ พิมก็เลยลองโทรติดต่อกับชุมชนบ้านโคกเมืองดูในทันที เผื่อว่าเค้าจะมีอะไรที่น่าสนใจนอกเหนือจากที่พิมเคยได้อ่านเจอจากรีวิวของคนอื่นๆ พวกเราจะได้เข้าไป ....... และหลังจากคุยอยู่สักพักใหญ่ ก็พบว่ามีจริง ๆ ด้วยอ่ะค่ะ ^_^
ชุมชนบ้านโคกเมือง หรือโฮมสเตย์บ้านโคกเมือง เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงเกษตรและวัฒนธรรมที่สำคัญแห่งนึงของประเทศไทย ตั้งอยู่ในตำบลจรเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัย์นะคะ ที่นี่เนี่ยนอกจากเค้าจะมีโฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปพักค้างคืนแล้ว ก็ยังมีบริการอาหารพื้นบ้าน มีมัคคุเทศก์พาชมโบราณสถาน (ปราสาทเมืองต่ำ) มีจักรยานให้เช่าขี่ชมหมู่บ้าน มีบริการนวดแผนไทย และมีกิจกรรมการเรียนรู้อาชีพชุมชนหลายฐาน ไม่ว่าจะเป็นฐานการทอเสื่อกกและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเสื่อกก ฐานการทอผ้าไหม ฐานการผลิตข้าวภูเขาไฟ ฐานเรียนรู้เรื่องสมุนไพร และก็ยังศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้า OTOP ของบ้านโคกเมืองอีกด้วยอ่ะค่ะ
เบอร์โทรสำหรับติดต่อบ้านโคกเมือง 084-7575363
Facebook บ้านโคกเมือง
ซึ่งตอนที่เราไปเนี่ย ขอบอกว่าเราไปพร้อมกับสายฝนที่ตกหนักเลยนะคะ ทำให้การเยี่ยมชมหมู่บ้านโคกเมืองของเราเป็นไปด้วยความยากลำบากอย่างมาก - -" แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรสำหรับเราอ่ะค่ะ
ตามที่พิมได้คุยกับพี่น้อย ซึ่งเป็นตัวแทนของบ้านโคกเมือง .... พี่น้อยก็บอกพิมว่าจะพาเราไปชมฐานการเรียนรู้ต่างๆ ก่อน ตามด้วยไปดูสินค้า otop ของชุมชน และจบท้ายด้วยการชมบ้านหลังนึงที่เข้าร่วมโครงการโฮมสเตย์ของชุมชนนะคะ แต่ในการชมฐานการเรียนรู้ต่างๆ วันนี้อาจจะดูได้ไม่ครบ เพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงทำนา ชาวบ้านส่วนใหญ่จะออกไปทำนากัน และที่สำคัญคือฝนมันตก กิจกรรมหลายๆ อย่างเลยอาจจะไม่สามารถทำได้ค่ะ ซึ่งเราก็เข้าใจนะคะ เลยบอกพี่น้อยไปว่าตามที่พี่น้อยสะดวกเลย อันไหนสะดวกเราก็ขอเข้าชม อันไหนไม่สะดวกเราก็ขอมาชมใหม่วันหลังอ่ะค่ะ ^^
และสำหรับฐานการเรียนรู้แรกของชุมชนที่พี่น้อยพาเราไปชม ก็คือ ฐานการอทอเสื่อกกยกลาย ซึ่งเป็นผลงานของกลุ่มคนพิการในชุมชนโคกเมืองนะคะ
ซึ่งเสื่อกกยกลาย จะทำมาจากต้นกกนะคะ โดยชาวบ้านเค้าจะปลูกต้นกกเอาไว้ พอได้อายุก็ตัดเอามาตากแดดให้แห้ง แล้วนำไปย้อมสีตามชอบ ก่อนจะนำมาทอเป็นเสื่อกกอ่ะค่ะ
ซึ่งเสื่อกกของที่นี่ก็จะมีลวดลายทั้งแบบปกติทั่วไป และก็แบบยกลายเป็นรูปต่างๆ นะคะ สนนราคาแต่ละผืนก็มีตั้งแต่ 250 บาทไปจนถึงเกือบพันบาท ขึ้นกับขนาเสื่อและความยากง่าย ลวดลายในการทออ่ะค่ะ
และนอกจากเสื่อที่เป็นผืนๆ แล้ว ทางชุมชนเค้าก็ยังมีการนำเสื่อลายธรรมดาที่ทอเรียบร้อยแล้วมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อีกด้วยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าถือทรงกลม ทรงเหลี่ยม กระเป๋าใส่เศษสตางค์ กล่องทิชชู่ ปลอกหมอนอิง รวมไปถึงแจกันด้วยค่ะ ^_^
และที่ฐานการเรียนรู้แห่งนี้ ถ้านักท่องเที่ยวอยากหัดทอเสื่อกกดูบ้าง ทางชุมชนเค้าก็มีชาวบ้านที่เชี่ยวชาญคอยสาธิตและสอนเราแบบประกบใกล้ชิดเลยอ่ะนะคะ รับรองว่าลายง่ายๆ เนี่ย เราสามารถทำได้แน่นอนค่ะ
จากฐานการเรียนรู้ทอเสื่อกก เราก็เดินไปดูฐานการเรียนรู้ถัดไป นั่นก็คือฐานการเรียนรู้เกี่ยวกับสมุนไพรนะคะ
แต่ระหว่างทางเหมือนพลังงานของเราจะใกล้หมดไปกับสายฝน >_< พอเราเจอรถขายกาแฟโบราณที่ขับผ่านเข้ามาในชุมชน เราก็เลยอดที่จะอุดหนุนกันคนละแก้วสองแก้วไม่ได้อ่ะค่ะ ซึ่งพิมขอบอกเลยนะคะว่าตั้งแต่พิมมาบุรีรัมย์ รถขายกาแฟโบราณเจ้านี้ชงโอเลี้ยงได้อร่อยที่สุดเลยค่ะ ทั้งเข้มข้น หอม และหวานไม่มาก เรียกว่ากลมกล่อมสุดๆ จนอยากจะสั่งมาโด๊บสามแก้วเลยอ่ะค่ะ ฮ่ะๆ เพราะงั้นถ้าเพื่อนๆ คนไหนตามรอยพิมไปเยี่ยมชมบ้านโคกเมืองที่บุรีรัมย์นี่แล้วล่ะก็ หากเห็นรถกาแฟคันนี้ขับเข้ามาขาย อย่าลืมอุดหนุนนะคะ รับรองว่าอร่อยจนติดใจเลยค่า
จากฐานแรก เดินมาประมาณ 1 อึดใจเราก็จะเจอกับฐานการเรียนรู้ที่สอง นั่นก็คือฐานสมุนไพรนะคะ ที่ฐานนี้เนี่ยโดยปกติแล้วเค้าจะมีการสาธิตทำชารางจืดที่ต้องใช้มือคั่วแทนการใช้ตะหลิวคั่ว มีการสาธิตการทำข้าวจี่ร้อนๆ แต่อย่างที่บอกตอนแรกว่าวันนี้พี่ๆ เค้าไม่สะดวกเพราะเราติดต่อมากระทันหัน เราก็เลยได้ดูแค่ผลผลิตจากสมุนไพรที่ถูกนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น สบู่ ยาสระผม ครีมนวดผม ครีมทาผิว โลชั่นกันยุง ยาหม่องกลิ่นสมุนไพร ยาอบสมุนไพร ลูกประคบ และยาดมแทนอ่ะค่ะ
ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้เนี่ยก็ได้จากสมุนไพรที่พี่เจ้าของศูนย์ เค้าปลูกไว้รอบ ๆ บ้านนะคะ เท่าที่พิมลองนับดูแล้ว มีหลายสิบชนิดมากมายเลยอ่ะค่ะ
จากฐานสมุนไพร เราก็ไปต่อกันที่แปลงเกษตรของชุมชนเลยนะคะ ซึ่งที่นี่เนี่ยจะมีพี่เจ้าของศูนย์สมุนไพรเป็นคนดูแลหลัก และมีพี่คนอื่นๆ ที่เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านช่วยกันทำ ช่วยกันดูอีกแรงอ่ะค่ะ
ซึ่งที่แปลงเกษตรนี่ ชาวบ้านเค้าก็จะปลูกผักไว้หลากหลายชนิดเลยนะคะ เท่าที่พิมเห็นก็เช่น คะน้า แตง บวบ ถั่วฝักยาว ข่า ตะไคร้ มะกรูด มะนาว ผักหวาน กล้วย กวางตุ้ง ตำลึง ข้าวโพด ผักคะน้า มะเขือ ผักบุ้งจีน และพริกสารพัดชนิด แถมปลูกแบบปลอดสารพิษอีกต่างหาก โดยผลผลิตเหล่านี้ก็จะมีชาวบ้านทั้งในชุมชนโคกเมืองเองและชุมชนใกล้เคียงแวะเวียนเข้ามาซื้ออยู่เป็นประจำ เป็นรายได้ที่จะนำมาพัฒนาชุมชนอีกทางหนึ่งเลยอ่ะค่ะ
จากฐานการเรียนรู้ด้านการเกษตร พี่น้อยก็พาเราไปชมฐานการเรียนรู้ทางด้านการทอผ้าไหมต่อนะคะ ซึ่งตรงนี้เนี่ยหากใครอยากลองทอผ้าไหมดู ทางชุมชนเค้าก็มีชาวบ้านที่เชี่ยวชาญเรื่องการทอผ้าไหมมาแนะนำและสอนเราให้ทอลายพื้นฐานด้วยอ่ะค่ะ เรียกว่าได้ทั้งดู ได้ทั้งลงมือทำเองเลยนะคะ
ใกล้ๆ กับฐานเรียนรู้การทอผ้าไหม ก็มีศูนย์แสดงสินค้า OTOP ของชุมชนบ้านโคกเมืองอยู่ค่ะ
ซึ่งที่ศูนย์นี้ก็จะมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้าของชุมชนอยู่มากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผ้าไหม ผ้าฝ้ายทอมือ เสื่อกก ผ้าพันคอ ผ้าซิ่น กระเป๋าถือ หมอนข้าง หมอนหนุน ที่ทำจากเสื่อกกและผ้าไหม แจกันที่ทำจากเสื่อกก กระเป๋าใบเล็กใบน้อย รวมไปถึงข้าวหอมมะลิ และข้าวไรซ์เบอรี่ที่ปลูกบนดินภูเขาไฟด้วยอ่ะค่ะ
และนอกจากที่โคกเมืองจะมีสินค้า otop มากมายหลากหลายประเภทแล้ว ที่นี่ก็ยังโฮมสเตย์ที่จะให้นักท่องเที่ยวมาพักค้างคืน และใช้ชีวิตแบบชาวบ้านโคกเมืองอีกด้วยนะคะ ซึ่งโฮมสเตย์ของที่นี่ ในปัจจุบัน (กค. 2558) ก็มีอยู่ด้วยกัน 30 กว่าหลัง และสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้มากกว่า 100 คนเลยอ่ะค่ะ โดยมีค่าบริการเพียงแค่ 350 บาทต่อ 1 คน ซึ่ง 350 บาทเนี่ย รวมอาหารมื้อเช้ากะมื้อเย็นอีกด้วยนะคะ เรียกว่าคุ้มมากๆ เลยค่า
พูดถึงโฮมสเตย์แล้ว พี่น้อยก็เลยพาเรามาที่บ้านป้าควรกันค่ะ บ้านป้าควรเป็นหนึ่งในบ้านที่เข้าร่วมโครงการโฮมสเตย์ของบ้านโคกเมืองนะคะ ซึงบ้านป้าควรจะมีห้องพักสำหรับแขกอยู่ 2 แบบค่ะ แบบแรกก็คือห้องปูนทาสีเขียวสดใสอย่างในภาพนี้เลยนะคะ กับอีกแบบก็คือ ห้องไม้ที่อยู่บนชั้น 2 ของตัวบ้าน ซึ่งถ้าสมมติว่าเพื่อนๆ มากัน 3-4-5 คน เพื่อนๆ ก็มาพักที่ 2 ห้องนี้ได้อย่างสบายๆ เลยค่ะ
แต่ถ้าสมมติว่าเพื่อนๆ มากันแบบกลุ่มใหญ่ ก็ไม่ต้องกลัวว่าบ้านป้าควรจะรองรับไม่ได้นะคะ เพราะนอกจากห้องนอน 2 ห้องในภาพด้านบนแล้วเนี่ย บ้านป้าควรเค้าก็ยังมีห้องโถงใหญ่อยู่บนชั้น 2 ของตัวบ้านอีกด้วยค่ะ แถมมีหมอน มุ้ง เสื่อ ผ้าห่มอีกมากมาย รับรองว่าถ้ามากันสักสิบยี่สิบคน บ้านป้าควรก็ยังรับได้แบบสบายๆ เลยนะคะ
จากบ้านป้าควร จากโฮมสเตย์บ้านโคกเมือง จุดหมายถัดไปของพวกเราก็คือโรงแรมพนมรุ้งปุรี อ.นางรอง ซึ่งจะเป็นที่พักของเราในคืนนี้ค่ะ แต่ว่าระหว่างทางที่จะไปยังยังนางรอง Google Maps ก็พาเราผ่านไปแถวปราสาทหินพนมรุ้งอีกครั้งนะคะ (อยู่ในเส้นทางที่จะไปยังอำเภอนางรอง) แถมพาเราไปผ่านตรงประตูที่สามารถขับรถเข้าไปจอดด้านหลังของตัวปราสาทได้เลยอ่ะค่ะ >_<
ตอนแรกพวกเราก็คิดว่าจะแวะพนมรุ้งอีกครั้งดีไหมนะคะ แบบว่าเมื่อวานก็แวะแล้ว วันนี้จะแวะอีกทำไม - -" แต่คิดไปคิดมา เราไม่ได้มาบุรีรัมย์บ่อยๆ อาจจะมีมุมบางมุมของพนมรุ้งที่เรายังไม่ได้เห็น แถมเวลาก็ยังเหลือ ไม่จำเป็นต้องรีบ เพราะงั้นแวะพนมรุ้งอีกสักรอบก็ดีอยู่เหมือนกันอ่ะค่ะ
พนมรุ้งในวันนี้ ค่อนข้างจะต่างจากที่พิมได้มาชมเมื่อวานเยอะเลยนะคะ พนมรุ้งเมื่อวานแดดจ้ามาก อาจจะเพราะพวกเรามาตอนเกือบๆ จะเที่ยง แต่พนมรุ้งในวันนี้ ด้วยความที่เรามากันตอน 4 โมงเย็น แถมอากาศก็ยังครึ้ม ๆ แดดไม่ค่อยออก ฝนทำท่าเหมือนจะตก พนมรุ้งในวันนี้ก็เลยดูมีเสน่ห์แบบบขรึม ๆ ชวนให้มองไปอีกแบบอ่ะค่ะ
เราใช้เวลากันอยู่ที่พนมรุ้งประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นเราก็ได้เวลาเดินทางกันต่อล่ะค่ะ จุดหมายปลายทางของเราก็อยู่ที่โรงแรมพนมรุ้งปุรีนะคะ แต่ว่าก่อนจะเข้าไปเช็คอินที่โรงแรม ซึ่งเราคิดว่าคงจะไม่ออกมาข้างนอกอีกแล้ว เราก็เลยชวนไปหาอะไรกินหนักๆ ก่อนเข้าโรงแรมสักหน่อยค่ะ
พวกเราก็เลยแวะกันไปที่ร้านลักษณา ซึ่งเป็นร้านขายขาหมูเจ้าเก่าของอำเภอนางรอง ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมพนมรุ้งปุรีแค่ไม่กี่กิโลเองนะคะ
ที่ร้านลักษณาเนี่ย นอกจากจะมีขาหมูต้นตำรับอำเภอนางรองแล้ว ก็ยังมีอาหารประเภทอื่นๆ ให้เลือกสั่งมากมายเลยค่ะ ที่ดังๆ ก็คือ พะแนง ห่อหมก ผัดสะตอ ขาหมู ชุดน้ำพริกกะปิ เต้าหู้ทรงเครื่อง ที่ใครไปใครมาก็ต้องสั่ง เพราะงั้นพวกเราก็เลยขอสั่งบ้างค่ะ ^_^
ซึ่งหลังจากได้ชิมแล้ว รสชาติโดยรวมก็โอเคนะคะ ห่อหมกอร่อย แพนงอร่อย แต่ขาหมู พิมชอบนิ่มๆ กว่านี้ แบบนี้เลยยังไม่ค่อยถูกปากพิมสักเท่าไหร่อ่ะค่ะ ค่าเสียดายมื้อนี้เบ็ดเสร็จ ถ้าจำไม่ผิด น่าจะเกือบ ๆ 600 นะคะ
จากร้านขาหมูลักษณา พวกเราก็เดินทางไปที่โรงแรมพนมรุ้งปุรี ซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้ายของวันนี้กันเลยอ่ะค่ะ
โรงแรมพนุมรุ้งปุรีเป็นโรงแรมที่อยู่ติดถนนใหญ่เลยนะคะ หาง่ายมาก แถมที่จอดรถก็กว้างขวาง ที่สำคัญเป็นโรงแรมที่ได้รับรางวัล Green Hotel หรือโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พวกเราก็เลยตัดสินใจจองที่นี่ไว้อ่ะค่ะ
ตอนแรกที่จองก็ไม่ได้คิดอะไรนะคะ คิดแต่ว่าขอให้มีที่นอนสบายๆ ก็พอ แต่ปรากฎว่าพอมาเช็คอิน ได้เห็นห้อง ก็เกินกว่าที่คาดหวังไว้มากๆ เลยอ่ะค่ะ (อารมณ์เหมือนตอนไปเช็คอินที่บ้านเตอร์ คืนวันที่ 2 กับ 3) เพราะว่าห้องที่นี่เค้ากว้างมากจริงๆ เฟอร์นิเจอร์อะไรก็เยอะ
แถมมีระเบียงให้พิมได้ออกไปนั่งชิว ๆ ด้วยค่ะ
ซึ่งหลังจากที่พิมเข้าเช็คอินที่นี่แล้ว พิมก็ไม่ได้ไปไหนต่อนะคะ อาบน้ำอาบท่า ออกมานั่งชิว ๆ ชมวิวเพลินๆ ที่ระเบียงอยู่ประมาณชั่วโมง หิวก็ฏินหนมเล็กๆ น้อยๆ ที่ซื้อติดมือมา แล้วหลังจากนั้นก็ไปนอนกลิ้งที่เตียงนอน แล้วยังไงก็ไม่รู้ค่ะ ไปๆ มาๆ รู้สึกตัวอีกทีก็ 5 ทุ่มของวันนี้แล้ว - -" เพราะงั้นการเดินทางของพิมในวันนี้เลยจบลงที่พนมรุ้งปุรีนะคะ ส่วนวันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของทริปบุรีรัมย์ของพิม พิมจะไปที่ไหนบ้าง จะไปทำอะไรบ้าง มาคอยติดตามชมรีวิวของพิมกันอีกทีะนะคะ สวัสดีค่ะ ^_^
บุรีรัมย์ ตอนที่ 1 >> http://www.pim.in.th/outside/892-buriram-2015
บุรีรัมย์ ตอนที่ 2 >> http://www.pim.in.th/outside/893-buriram2015-2
บุรีรัมย์ ตอนที่ 3 >> http://www.pim.in.th/outside/897-buriram2015-3
บุรีรัมย์ ตอนที่ 4 >> http://www.pim.in.th/outside/898-buriram2015-4
บุรีรัมย์ ตอนที่ 5 >> http://www.pim.in.th/outside/900-buriram2015-5 << ตอนนี้เพื่อนๆ กำลังอ่านตอนที่ 5 อยู่จ้า
บุรีรัมย์ ตอนที่ 6 >> http://www.pim.in.th/outside/908-buriram2015-6
ทริปนี้พิมและลูกทีมทุกคน ขอขอบคุณสายการบิน Nokair ขอบคุณบริการรถเช่าจาก Thai Rent A Car CAR ขอบคุณรองเท้า KEEN ขอบคุณ Outdoor Innovation และขอบคุณเจ้าของงานครั้งนี้ คือ ททท ด้วยนะคะ ^_^