เช้าวันนี้เป็นเช้าวันที่ 4 ที่พิมมาเที่ยวบุรีรัมย์แล้วนะคะ ตอนแรกพวกเราคิดกันว่าเราจะตื่นกันแต่เช้าาาาาาา สักประมาณ 6 โมงกว่าๆ พอสัก 7 โมงก็ออกเดินทางไปปราสาทหินพนมรุ้ง เพื่อจะได้ถ่ายรูปพนมรุ้งตอนแดดยังอ่อนๆ อยู่อ่ะค่ะ
แต่ ....... เนื่องจากเมื่อวานเราเที่ยวกันหนักไปนิ๊ดดดดดดด ฮ่าๆ เพราะงั้นจากที่เรานัดว่าจะเจอกันตอน 7 โมง ปรากฎว่าเอาเข้าจริงกว่าเราจะกระดึ๊บๆ ลงจากเตียงนอนได้ก็ปาเข้าไป 8 โมงแล้วอ่ะค่ะ เพราะงั้นกว่าจะได้เจอกันที่หน้าโต๊ะกินข้าวของรีสอร์ทก็ปาเข้าไปเกือบ 9 โมง ฮ่าะๆ แต่ไม่เป็นไรค่ะ บอกแล้วว่าทริปนี้เราเที่ยวจริงจังแต่เที่ยวแบบชิวๆ สบายๆ เพราะงั้นจะเลทนิดช้าหน่อยากแผนการณ์ที่วางไว้ ก็ไม่เป็นไรค่า
เช้านี้ ... พิม แคช น้องพัช คุณอ๋อง ก็ขอฝากท้องไว้ที่รีสอร์ทเหมือนเดิมนะคะ เช้านี้พิมก็รับเป็นข้าวต้มเหมือนเดิม แต่ส่วนอีก 3 คน เค้าขอรับเป็นอาหารเช้าแบบขนมปังโฮลวีต เเสต๊ก และก็ไข่ดาว ซึ่งปกติที่อื่นเราจะเห็นมีแฮม มีไส้กรอก แต่ที่นี่จะเป็นเสต๊กไก่/หมู ชิ้นประมาณฝ่ามือ หนาประมาณ 1 ซม. แทนอ่ะค่ะ ^_^
อิ่มจากอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เช็คเอ้าท์เพื่อที่จะเดินทางกันต่อ จุดหมายแรกของพวกเราในวันนี้ก็คือปราสาทหินพนมรุ้ง ซึ่งอยู่ที่อำเภอเฉลิมพระเกียรติ์ ห่างจากที่บ้านเตอร์รีสอร์ทไปประมาณ 1 ชม. กว่าๆ นะคะ แต่ว่าระหว่างทางเราจะต้องผ่านอำเภอประโคนชัยกันก่อน และที่อำเภอประโคนชัยเนี่ยก็จะมีผลิตภัณฑ์อย่างนึงที่ได้ชื่อว่าเป็นของเด็ดของดี เป็นสินค้าขึ้นหน้าขึ้นตาของอำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์เลย นั่นก็คือ กุ้งจ่อม และกระยาสารท อ่ะค่ะ
จุดที่เราแวะ ไม่รู้คนอื่นเค้าเรียกอะไร แต่พิมขอเรียกว่าถนนสายกุ้งจ่อมล่ะกันนะคะ ^_^ (อยู่ในเส้นทางที่เราต้องขับรถผ่านเพื่อไปพนมรุ้งอยู่แล้ว) เพราะที่ถนนแห่งนี้เนี่ยจะมีร้านขายกุ้งจ่อม กระยาสาท นับเป็นสิบร้านเลยอ่ะค่ะ ..... กุ้งจ่อม ปลาจ่อม เป็นการถนอมอาหารแบบนึงที่เค้าจะนำกุ้งฝอย หรือปลาตัวเล็กๆ ที่ล้างสะอาดแล้วไปหมักกับเกลือหรือน้ำปลาก่อนสัก 2 วัน พอครบก็เอามาเคล้ารวมกับข้าวคั่ว บางคนก็อาจจะใส่ข้าวแดงลงไปด้วยเพื่อเพิ่มสีสีน แล้วก็หมักต่ออีกประมาณ 7-10 วัน หรือจนกระทั่งเริ่มได้กลิ่นหอมของข้าวคั่วก็เป็นอันใช้ได้ล่ะค่ะ ซึ่งกุ้งจ่อมเนี่ยช่วงที่หมักแรกๆ จะเค็ม แต่พอหมักไปนานๆ เนี่ย จะทั้งเปรี้ยว เค็ม และหอมเลยอ่ะค่ะ ^_^
ร้านที่พิมแวะก็คือร้านแม่ประชิดนะคะ เป็นร้านที่เข้าชุมชนมาสักประมาณครึ่งทางก็จะเจอ .... ที่ร้านแม่ประชิดเนี่ยเค้าก็จะมีขายทั้งกุ้งจ่อม ปลาจ่อมแบบยังดิบๆ อยู่ และแบบที่ปรุงสุกเป็นเหมือนน้ำพริกผัดด้วย มีขายปลาร้าปลานิลแบบเป็นตัวๆ และแบบปรุงรสแล้วสำหรับใส่ในส้มตำ แกงอ่อม มีขายกระยาสารทสไตล์คนอิสาน มีน้ำปลาที่หมักจากปลาน้ำจืด และมีขาย "อุ" หรือเหล้าในไห ที่ได้จากการหมักข้าว กับยีสต์และส่วนผสมอื่นๆ ด้วยอ่ะค่ะ สนนราคาแต่ละอย่างก็ไม่แพง อย่างกุ้งจ่อม ปลาจ่อม กระยาสารทก็มีตั้งแต่ถุงละ กล่องละ 35 บาท ส่วนอุไหเล็กๆ ก็เริ่มต้นที่ 50 บาท หรือ 70 บาทเนี่ยแหละค่ะ ^_^ ....... จริง ๆ พิมก็อยากได้ อุ กลับบ้านเป็นที่ระลึกสักสองสามไหนะคะ (แบบว่าไม่เคยเจอ >_<) แต่สัมภาระพิมเต็มเอี๊ยดดมาก ไม่อยากซื้อน้ำหนักเพิ่ม เลยคิดว่าไว้วันหลังขับรถมาเอง ค่อยแวะมาซื้อน่าจะดีกว่าอ่ะค่ะ
หลังจากที่เราซื้อกุ้งจ่อม ปลาจ่อม และกระยาสารทกันจนหนำใจแล้ว พวกเราก็เดินทางกันต่อล่ะนะคะ ซึ่งจากถนนสายกุ้งจ่อม ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงปราสาทหินเขาพนมรุ้งกันแล้วอ่ะค่ะ
พูดถึงปราสาทหินเขาพนมรุ้งแล้วเนี่ย .... พิมเชื่อว่าหลายคนน่าจะไม่เคยรู้มาก่อน ว่าที่นี่เดิมเคยเป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทมาประมาณ 9 แสนปีแล้วนะคะ ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 1532 หรือราวๆ พันกว่าปีที่ผ่านมา ก็ได้มีการสร้างศาสนสถานบนยอดเขาแห่งนี้ตามความเชื่อของศาสนาฮินดูที่นับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด เพราะงั้นปราสาทหินพนมรุ้งแห่งนี้ก็เลยเหมือนการสร้างวิมานเพื่อเป็นที่ประทับของพระศิวะซึ่งอยู่บนเขาไกรลาศอ่ะค่ะ โดยมีการดัดแปลงปากปล่องภูเขาไฟเดิมๆ ให้กลายเป็นอ่างเก็บน้ำ เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้กินใช้ดื่มนะคะ ^_^
ข้อมูลทั้งหมด ขอบคุณศูนย์บริการข้อมูลอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้งค่า
แต่ก่อนที่เราจะเดินขึ้นไปชมความงามของปราสาทหินพนมรุ้งกัน เราก็จะต้องซื้อบัตรเข้าชมกันก่อนนะคะ
ซึ่งค่าบัตรนั้นก็ไม่แพงเลยค่ะ แค่คนละ 20 บาทเท่านั้น หรือถ้าเพื่อนๆ จะไปชมปราสาทเมืองต่ำที่อยู่ไม่ไกลจากปราสาทพนมรุ้งนี่ด้วย ก็สามารถซื้อบัตรเข้าชม 2 ที่ได้ในราคาพิเศษสุด ๆ คือ 30 บาท จาก 40 บาทนะคะ ... ซึ่งถ้าให้พิมแนะนำ ซื้อไปเลย 2 ที่ค่า ^_^
จริงๆ แล้วเนี่ยการขึ้นไปชมปราสาทหินพนมรุ้ง สามารถขึ้นได้ 2 ทางนะคะ ทางแรกคือเดินขึ้นแบบที่เรากำลังจะเดินกันในวันนี้แหละค่ะ ส่วนแบบที่สองก็คือเอารถขึ้นไปจอดใกล้ๆ ตัวปราสาทได้เลย ซึ่งจริงๆ เราก็อยากทำอย่างนั้นนะคะ แต่ ....... พิมหาทางไปไม่เจอค่ะ>_< ก็เลยคิดว่าไหนๆ มาแล้ว ลองเดินดูสักครั้ง เก็บเกี่ยวบรรยากาศรอบข้าง เป็นประสบการณ์ระหว่างทางก็น่าจะดีเหมือนกันนะคะ (ปลอบใจตัวเองสุดๆ เลย ฮือๆ T__T)
ในเส้นทางการเดินจากจุดจำหน่ายตั๋วจนถึงปราสาทหินพนมรุ้งเนี่ย มีช่วงนึงที่เราจะต้องเดินผ่านทางที่เรียกว่าสะพานนาคราช ซึ่งชาวขอมโบราณผู้สร้างเชื่อว่าเป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์ (ปราสาทพนมรุ้ง) อ่ะค่ะ ซึ่งตรงจุดนี้เนี่ยก็จะมีรูปปั้นนาค 5 เศียร ซึ่งแม้ว่าวันเวลาจะผ่านมาเป็นพันๆ ปีแล้ว แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความสวยงาม และความน่าเกรงขามอยู่มากเลยทีเดียวนะคะ
และหลังจากเราเดิน ๆ กันมาเป็นเวลาประมาณ 10 กว่านาที พวกเราก็ถึงตัวปราสาทพนมรุ้งกันแล้วค่ะ ซึ่งสระบัวด้านหน้า หรือที่เรียกว่า บาราย นี่แหละที่เดิมเคยเป็นปากปล่องภูเขาไฟมาก่อนและถูกปรับให้กลายเป็นอ่างเก็บน้ำแทนนะคะ
ปราสาทหินพนมรุ้งเป็นปราสาทหินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งนึงในภาคดิสานของไทยเรา ตัวปราสาทจะทำจากหินทรายสีชมพู และไม่ได้สร้างเสร็จในครั้งเดียว แต่ทยอยสร้างทีละส่วนอ่ะค่ะ โดยในครั้งแรกจะเป็นการสร้างปราสาทอิฐ 2 หลังก่อน แต่ว่าในปัจจุบันได้พลังทลายไปแล้วเหลือแต่ฐานและกรอบประตูเท่านั้นนะคะ ต่อมาก็ได้มีการสร้างส่วนอื่น ๆ ของปราสาทเพิ่มเติม และประมาณปีพุทธศักราชที่ 1600 กว่าๆ ก็ได้มีการสร้างปราสาทประธานขึ้นมาให้อยู่ตรงกลางลานปราสาทชั้นใน ซึ่งก็คือปราสาทในรูปด้านล่างนี้เองอ่ะค่ะ
และที่ปราสาทประธาน ตรงเหนือซุ้มประตู้ด้านทิศเหนือ หากเพื่อนๆ แหงนหน้าขึ้นไปดูก็จะพบกับ "ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์" ที่เคยถูกโจรกรรมไปจากปราสาทพนมรุ้งตั้งแต่ปี 2503 และถูกนำไปจัดแสดงอยู่ที่สถาบันศิลปะชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกานะคะ แต่ในที่สุด หลังจากที่คนไทยและรัฐบาลไทยในสมัยนั้นได้ร่วมพลังต่อสู้ ก็ถูกนำกลับมาไว้ที่เดิมในปี พ.ศ. 2531 อ่ะค่ะ
ส่วนในภาพด้านล่างนี้ก็คือปราสาทอิฐ 2 หลังที่ได้สร้างขึ้นในครั้งแรก และพังทลายลงไปแล้วนะคะ
พิมและเพื่อนๆ ใช้เวลาเดินชมและถ่ายภาพปราสาทหินพนมรุ้งอยู่ประมาณครึ่ง ชม. ก็ได้ฤกษ์เดินทางต่อแล้วอ่ะค่ะ ซึ่งตรงใกล้ๆ กับลานจอดรถ จะมีขายของที่ระลึกเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าหมวก เสื้อผ้าพืนเมือง เสื้อยืดลายทับหลัง ลายปราสทพนมรุ้ง และอื่นๆอีกมากมาย รวมถึงมีขายน้ำดื่ม ไอติมและของกินเล็กๆ น้อย ๆ อีกทั้งมีที่นั่งพักด้วย หากเพื่อนๆ คนไหน รู้สึกว่าเดินขึ้นก็เหนื่อย เดินลงก็เหนื่อย ก่อนเดินทางต่อ ก็แวะพักแถว ๆ นี้ก่อนก็ได้นะคะ ^_^
จากปราสาทหินพนมรุ้ง เราใช้เวลาขับรถประมาณ 10 กว่านาที ก็จะถึงปราสาทเมืองต่ำแล้วล่ะค่ะ
ซึ่งปราสาทเมืองต่ำเนี่ยถูกสร้างขึ้นเมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ 16 หรือราวปีพุทธศักราช 1500 ปลายๆ แต่ว่ามีอายุการใช้งานไม่นาน ประมาณปลายพุทธศักราช 1700 ก็เริ่มถูกลดความสำคัญลง และในที่สุดก็ถูกทิ้งร้างไปอ่ะค่ะ และคำว่า "เมืองต่ำ" ไม่ใช่ชื่อดั้งเดิมของปราสาทแห่งนี้นะคะ แต่ว่าเป็นชื่อที่ชาวบ้านตั้งให้เนื่องจากปราสาทแห่งนี้เนี่ยตั้งอยู่ในที่ต่ำเมื่อเทียบกับปราสาทพนมรุ้ง ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาอ่ะค่ะ
ปราสาทเมืองต่ำเป็นอีกหนึ่งปราสาทที่ถูกสร้างขึ้นตามความเชื่อของศาสนาฮินดู ที่ว่าสร้างขึ้นเพื่อถวายพระศิวะนะคะ ซึ่งปราสาทที่มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สร้างขึ้นจากอิฐ หินทราย ศิลาแลง และมีบาราย หรืออ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ก่อด้วยศิลาแลงอยู่ภายในกำแพงปราสาทด้วยอ่ะค่ะ
แต่มีสิ่งหนึ่งที่พิมว่าน่าสนใจไม่แพ้ตัวปราสาทเมืองต่ำเลย ก็คือต้นก้ามปูที่อยู่บริเวณโดยรอบปราสาทและภายในปราสาทเมืองต่ำค่ะ เพราะว่าแต่ละต้นนั้นmyh'ใหญ่โตและมีกิ่งก้านสาขามาก ให้พิมคาดเดาอายุของต้นก้ามปูเหล่านี้ พิมว่าน่าจะหลักร้อยปีนะคะ เพราะตอนสมัยพิมเด็ก ๆ แถวบ้านพิมก็มีต้นก้ามปูอยู่ต้นนึง อายุหลายสิบปีแล้วยังต้นไม่ใหญ่เท่าครึ่งนี้เลยค่ะ ซึ่งพอพิมเห็นแล้วก็อดถ่ายภาพมาากเพื่อน ๆ ไม่ได้นะคะ และคิดว่าถ้าเพื่อนๆ ได้ไปบุรีรัมย์ หรือได้ผ่านไปแถวๆ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ์ ก็อยากให้ได้แวะไปชมความยิ่งใหญ่ของต้นก้ามปูหน้าปราสาทเมืองต่ำกันสักครั้งอ่ะค่ะ ^_^
จากปราสาทเมืองต่ำ เราตั้งใจขับรถไปที่ชุมชนบ้านเจริญสุข ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากปราสาทเมืองต่ำสักเท่าไหร่ เพื่อที่จะไปดูการทำผ้าภูอัคนีหรือผ้าที่ย้อมสีที่ทำจากดินภูเขาไฟ ตามที่พิมได้โทรติดต่อเอาไว้ก่อนจะมาประมาณ 2 สัปดาห์นะคะ แต่ปรากฎว่าพอไปถึง ทางชุมชนเค้ามีเหตุไม่สะดวกบางอย่างที่ค่อนข้างเป็นเรื่องสำคัญมาก กว่าจะกลับมาก็อีก 2-3 ชม. ซึ่งเราไม่สามารถรอได้ เพราะมีนัดที่อื่นต่อ เราก็เลยไม่ได้ชมอ่ะค่ะ T__T แต่พิมก็และเพื่อนร่วมทริปก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรนะคะ คิดเอาไว้ว่าถ้าวันหลังว่างๆ ค่อยมาใหม่ก็ไม่เสียหายอะไรอ่ะค่ะ ^_^
เพิ่มเติม :: ชุมชนบ้านเจริญสุข เป็นชุมชนที่มีชื่อเสียงในหลายๆ เรื่องนะคะไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผ้าภูอัคนีที่ย้อมสีด้วยดินภูเขาไฟ การทอเสื่อกก และการปลูกลำไย ถั่วเขียว ข้าวหอมมะลิบนดินภูเขาไฟค่ะ
และจากชุมชนบ้านเจริญสุข จุดหมายถัดไปของพิมก็คือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านเจริญสุขประมาณ 50 กว่ากิโล หรือถ้านับเวลาขับรถก็น่าจะประมาณ 1 ชม. นะคะ ... แต่ว่าตั้งแต่เช้าเนี่ย พวกเราได้กินแค่อาหารเช้าแบบเบาๆ จากที่รีสอร์ทไปมื้อเดียวเอง ดูเวลาตอนนี้ก็ปาเข้าไปบ่าย 2 โมง 40 แล้วพวกเราก็เลยแวะที่ตลาดสดเทศบาลละหานทรายสักหน่อย เพื่อจะหาอะไรกิน และก็หาเสบียงสำหรับการเข้าไปนอนในป่าคืนนี้ด้วยอ่ะค่ะ ซึ่งมื้อนี้เราก็กินกันแบบง่ายๆ มากเลยนะคะ เป็นข้าวผัดกะเพราที่ร้านข้าง ๆ ตลาดละหานทรายนั่นเองค่ะ ^_^
กินเสร็จแล้วพวกเราก็พากันไปเดินซื้อผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ที่จะไว้ใช้ทำอาหารตอนอยู่ในป่านะคะ ซึ่งเราก็แพลนเอาไว้ว่ามื้อเย็นนี้จะซื้อแบบสำเร็จเข้าไปกิน (ไก่ย่าง ข้าวเหนียว หมก) ส่วนมื้อเช้าพรุ่งนี้จะอาศัยครัวของเจ้าหน้าที่ทำข้าวต้มหมู และพอกลางวันก็จะทำผัดผักบุ้ง กับแกงจืดเต้าหู้ค่ะ
แต่คุณอ๋อง หนึ่งในสมาชิกของทีมพิม เค้าชอบกล้วยน้ำว้ามาก พอเจอกล้วยน้ำว้าแบบชาวบ้านๆ ก็เลยอดซื้อติดไม้ติดมือมาด้วยหวีนึงอ่ะค่ะ ^_^
จากตลาดสดละหานทราย เราก็ขับรถตรงดิ่งไปที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่เลยนะคะ ซึ่งตอนแรกจากที่ดูเส้นทางใน google map เค้าบอกเราเอาไว้ว่าจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาทีค่ะ แต่ในความเป็นจริงแล้วเส้นทางที่เรากำลังจะไปดงใหญ่ อยู่ในระหว่างก่อสร้างหลายจุด ทำให้เวลาที่เรากะไว้จาก 20 นาที กลายเป็น 40 กว่านาทีอ่ะค่ะ
และหลังจากเราเดินทางมาตลอดทั้งวัน ประมาณ 4 โมงเย็นเกือบครึ่งเราก็ถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ล่ะนะคะ ซึ่งก่อนหน้าที่จะมาเนี่ยพิมได้โทรติดต่อกับหัวหน้าเขตไว้แล้วอ่ะค่ะ เพราะปกติแล้วเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวเหมือนอย่างปราสาทพนมรุ้ง หรืออุทยานแห่งชาติทั่วไป การที่เราจะเข้ามาในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เราจะต้องติดต่อมาก่อนนะคะ เพื่อที่เจ้าหน้าที่เค้าจะได้สอบถามว่าทำไมเราถึงอยากจะเข้ามา และจะได้เตรียมในส่วนของที่หลับที่นอน รวมถึงเจ้าหน้าที่ไว้นำทางให้เราด้วยอ่ะค่ะ
ซึ่งเมื่อพิมมาถึงที่ทำการเขต และได้คุยกับหัวหน้าเขตฯ สักพัก ทางหัวหน้าเค้าก็ได้ให้คุณยักษ์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่คอยดูแล นำทาง และให้คำแนะนำแก่เรานะคะ
หลายคนอาจจะสงสัยว่า เรามาเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ากันทำไม ในเมื่อไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว ..... แต่ในความเป็นจริงแล้วการท่องเที่ยวมันมีหลายแบบนะคะ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศก็เป็นอีกรูปแบบนึงของการท่องเที่ยวค่ะ ^_^
พูดถึงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศแล้ว หลายคนอาจจะสงสัยว่ามันคือการท่องเที่ยวแบบไหน.... การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ คือ การท่องเที่ยวที่มีการเดินทางเข้าไปยังแหล่งธรรมชาติ จุดประสงค์เพื่อชื่นชม เรียนรู้ และเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติรอบข้าง พืชพรรณ สัตว์ป่า ที่สำคัญจะต้องเป็นการเดินทางท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ ไม่ไปรบกวนหรือสร้างความเสียหายให้แก่ธรรมชาตินะคะ
โดยจุดประสงค์ของการเดินทางมาเที่ยวในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ของพิมและเพื่อนร่วมทริป คือ การมาชื่นชมความงามของธรรมชาติ ต้นหญ้า ป่าไม้ และการได้มาเห็นสัตว์ป่าที่อยู่ในธรรมชาติจริง ๆ ค่ะ
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ เป็นป่าดิบทึบและกว้างใหญ่ มีอาณาเขตเชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกับป่าเขาใหญ่ ทับลาน ปางสีดา ตาพระยา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของป่าสงวนแห่งชาตินะคะ และดงใหญ่ยังเป็นป่าผืนสุดท้ายที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด อีกทั้งเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญหลายสายของจังหวัดบุรีรัมย์ด้วยค่ะ
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ เป็นป่าผืนเดียวกันกับ "ผืนป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่" ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ของสถานที่ในประเทศไทยที่ได้รับประกาศให้ขี้นทะเบียน เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติด้วยนะคะ
เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดงใหญ่ มีเนื้อที่ครอบคลุมหลายตำบลในอำเภอโนนดินแดงและอำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 2 แสนไร่ สภาพพื้นที่ป่าส่วนใหญ่ก็จะเป็นป่าดิบแล้ง ผสมป่าเต็งรัง โดยจะมีพื้นที่บางส่วนเป็นทุ่งหญ้าและก็เป็นแหล่งน้ำค่ะ
นักท่องเที่ยวหลายคนที่มาเยี่ยมเยือนดงใหญ่ เท่าที่พิมได้คุยๆ ดู บางคนก็จะมาเดินป่า ศึกษาธรรมชาติ ไม่ก็มาชมน้ำตก ชมวิวที่ผาแดง แต่สำหรับพิมและเพื่อนๆ ร่วมทริป พวกเราอยากจะมาเฝ้าดูสัตว์ป่ามากกว่าอ่ะค่ะ เพราะด้วยความที่ว่าพื้นที่ดงใหญ่บางส่วนมีลักษณะเป็นทุ่งหญ้า มีโป่ง และมีแหล่งน้ำ กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ ก็เลยทำให้ที่นี่มีสัตว์ป่าชุกชุม ไม่ว่าจะเป็นช้างป่า นกยูง กวาง ไก่ฟ้า กระทิง วัวแดง เก้ง กวาง หมี อีเห็น กระจง หมูป่า หมาใน แมวดาว ลิง ชะนี สัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ เรียกว่ามากมายเลยค่ะ และที่สำคัญมีเลียงผา ซึ่งเป็น 1 ใน 12 สัตว์สงวนที่หายากมาก ๆ ของไทยด้วยนะคะ
ช่วงที่พิมไปดงใหญ่ เป็นช่วงที่ป่าด้านบนค่อนข้างแห้งแล้งเพราะว่าฝนไม่ตกมานานแล้ว เพราะงั้นช้างป่าก็เลยพากันลงมาหากินกับที่ป่าด้านล่าง ทำให้เราสามารถพบเห็นช้างป่าได้เกือบทุกวันอ่ะค่ะ ซึ่งเวลาที่ช้างป่ามักจะลงมาหากิน ก็มักจะเป็นช่วงค่ำๆ หรือไม่ก็ช่วงเช้ามึดนะคะ ตอนที่พิมไปถึงเนี่ยเป็นช่วงเวลาประมาณเกือบๆ 5 โมงเย็น ยังไม่ใช่เวลาช่วงที่ช้างจะลงมา เพราะงั้นแล้วพวกเราก็เลยต้องนั่งพักและคุยกับพี่ๆ เจ้าหน้าที่ที่ด่านตรวจที่ 1 เพื่อรอเวลาก่อนอ่ะค่ะ
แล้วพอเวลาสักเกือบๆ 6 โมงเย็น พวกเราก็ได้ฤกษ์ที่จะเข้าป่าไปดักดูช้างกันแล้้วนะคะ ซึ่งจุดแรกที่เราขับรถไปจอด ก็จะอยู่ห่างจากจุดตรวจที่ 1 ประมาณ 10 นาทีค่ะ
จะที่เราไปจอดรถ และทำตัวเงียบ ๆ เพื่อพักดูช้างป่าที่จะลงมาหากิน ก็มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าแบบในภาพด้านล่างนี่แหละค่ะ ซึ่งคุณยักษ์บอกกับเราว่า 2-3 วันที่ผ่านมา มีช้างป่าเดินออกมาหากินจนถึงบริเวณทุ่งหญ้าตรงนี้ 30 กว่าตัวเลยนะคะ (สร้างความหวังให้พวกเรามาก ฮ่าๆ)
แต่หลังจากเรายืนรอแล้วรออีกอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ก็เจอแต่ความเงียบ เงียบ และเงียบ ....... ไม่เจอช้างป่าสักตัวเลยอ่ะค่ะ
แล้วพอถึงเวลาประมาณ 18.35 น. ก็มีรถของเจ้าหน้าที่อีกคัน ขับผ่านมาและแวะมาบอกว่า ตรงป่าด้านใน ช้างน่าจะกำลังลงมาหากิน เพราะว่าได้ยินเสียงแปร๋นๆ ของจ่าโขลงที่เรียกสมาชิกในโขลงดังออกมาจากในป่า พวกเราก็เลยรีบขยับขยายและย้ายไปยืนรอตรงจุดนั้นทันทีอ่ะค่ะ
และหลังจากย้ายจุดดักดูช้าง สักพักประมาณเกือบๆ 1 ทุ่ม คุณยักษ์ก็ชี้ให้เราดูช้างป่าที่ค่อยๆ เดินออกมาจากป่าด้านใน เพื่อออกมาหากินกินหญ้าที่อยู่ตรงป่าด้านนอกอ่ะค่ะ
แต่ว่าวันนี้เหมือนว่ามีเสียงรถวิ่งไปวิ่งมาบนถนนตลอด ทำให้ช้างป่าไม่ลงมาใกล้ถนนมากนัก กล้องของพิมที่ซูมได้ไม่มาก ก็เลยไม่สามารถถ่ายภาพช้างได้ เลยต้องรบกวนขอยืมภาพจากกล้องคุณอ๋องมาให้ได้ดูกันนะคะ
(ภาพด้านบน จากกล้องคุณอ๋อง Go Travel Photo ค่ะ / เร่งแสงให้สว่างกว่าปกตินิดนึง จะได้เห็นช้างกันชัด ๆ นะคะ)
และหลังจากยืนดูช้างป่าในระยะไกลๆ กันสักพัก ท้องฟ้าก็เริ่มมึดขึ้นเรื่อยๆ คุณยักษ์ก็เลยบอกพวกเราว่าควรจะไปยังที่พักได้แล้วอ่ะค่ะ เพราะว่าที่พักห่างจากจุดดูช้างหลายกิโลเหมือนกัน ถ้าไม่รีบกลับมันจะมืดเกิน ระหว่างทางอาจจะเจอช้างป่าที่เดินตัดข้ามถนน อาจจะเป็นอันตรายได้นะคะ
และหลังจากใช้เวลาขับรถกันมาสักพัก พวกเราก็มาถึงบ้านพักที่ละเลิงร้อยรูปแล้วอ่ะค่ะ ซึ่งพอถึงบ้านพักแล้ว เราก็เอาข้าวของมาเก็บไว้ที่นี่กันก่อน จากนั้นก็ไปกินข้าวเย็นกันที่บ้านคุณยักษ์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันเลยนะคะ แล้วก็ไปนั่งคุยโน่นนี่เกี่ยวกับเรื่องในป่าอยู่สักพักใหญ่มาก แบบว่าเพลินสุดๆ เลยค่ะ จนกระทั่งคุณยักษ์บอกว่าถ้าพรุ่งนี้เช้าเราจะไปดักดูช้างกันอีก จะต้องตื่นกันตั้งแต่ตี 4 เพราะว่าเราจะต้องออกจากที่พักกันตอนตี 4 ครึ่งนะคะ ..... ซึ่งพอได้ยินดังนี้ พวกเราก็เลยรีบขอตัวกลับมาบ้านพักเพื่ออาบน้ำอาบท่า และเข้านอนก่อน ไม่งั้นพรุ่งนี้คงลุกไปดักดูช้างไม่ไหวแน่ ๆ เพราะว่ามัน 4 ทุ่มกว่าแล้วน่ะค่ะ >_<
สำหรับวันพรุ่งนี้ ... แผนการของพวกเราก็คือ ตอนเช้ามึดเราจะไปดักดูช่างป่ากันอีกรอบนะคะ เสร็จแล้วก็จะขับรถไปตามทางในป่า ไปดูสัตว์ป่าตัวเล็กๆ อย่าง ไก่ฟ้า นกยูง เก้ง กวาง พวกนี้อ่ะค่ะ และพอสายๆ ก็กลับมาทำอะไรกินกัน เสร็จแล้วก็เดินทางออกจากดงใหญ่ ไปที่หมู่บ้านโคกเมือง เพื่อไปดูการทอผ้าไหม ทอเสือกก และไปดูโฮมสเตย์ของเค้านะคะ แล้วพอเย็นๆ ก็จะไปกินข้าวที่ร้านขาหมูลักขณา ซึ่งเค้าว่ากันว่าเป็นร้านขาหมูที่อร่อยมากร้านนึงในอำเภอนางรอง ก่อนที่จะไปที่พักผ่อนที่โรงพรมพนมรุ้งปุรี ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอนางรองเช่นกันอ่ะค่ะ ... ซึ่งขอบอกเลยว่าทุกที่ ๆ พิมจะไปในวันพรุ่งนี้ น่าสนใจมาก เพราะงั้นก็อยากให้เพื่อนๆ รอชมกันนะคะ ...... แล้วพบกันอีกทีในรีวิวหน้า สวัสดีค่ะ ^_^
บุรีรัมย์ ตอนที่ 1 >> http://www.pim.in.th/outside/892-buriram-2015
บุรีรัมย์ ตอนที่ 2 >> http://www.pim.in.th/outside/893-buriram2015-2
บุรีรัมย์ ตอนที่ 3 >> http://www.pim.in.th/outside/897-buriram2015-3
บุรีรัมย์ ตอนที่ 4 >> http://www.pim.in.th/outside/898-buriram2015-4 << ตอนนี้เพื่อนๆ กำลังอ่านตอนที่ 4 อยู่จ้า
บุรีรัมย์ ตอนที่ 5 >> http://www.pim.in.th/outside/900-buriram2015-5
บุรีรัมย์ ตอนที่ 6 >> http://www.pim.in.th/outside/908-buriram2015-6
ทริปนี้พิมและลูกทีมทุกคน ขอขอบคุณสายการบิน Nokair ขอบคุณบริการรถเช่าจาก Thai Rent A Car CAR ขอบคุณรองเท้า KEEN ขอบคุณ Outdoor Innovation และขอบคุณเจ้าของงานครั้งนี้ คือ ททท ด้วยนะคะ ^_^